Skip to main content

จดหมายรักระหว่างเพื่อน 2 : ฉันจะรักเธอให้มากที่สุด

คอลัมน์/ชุมชน




ย้อนกลับไปในปี 2529


 


ตอนนั้นเราอายุประมาณ 16 - 17 ปี วรางคนางค์อายุมากกว่าฉันปีหนึ่ง แต่ถ้าใครสักคนบรรยายบุคลิกของเรา เขาคงบอกว่า  "แก่เกินตัว"


 


ชีวิตของเราสองคนในตอนนั้น ถูกบันทึกไว้ในไดอะรี่หลายเล่ม


 


เราเคยนำมาแลกกันอ่าน และดูเหมือนว่าหลายครั้ง เราคนใดคนหนึ่ง น้ำตาคลอ กับเรื่องราวของอีกฝ่าย


 


 







 


ถึงแม่…


แม่จ๋า… 1 ปีเต็มแล้วสินะ ที่แม่ไม่ได้เจอลูก แม่คิดถึงลูกบ้างมั้ย ลูกคิดถึงแม่จังเลย ลูกไม่มีเวลาว่างสักนิด อยากไปหาแม่ แม่จ๋า ลูกหวังว่าแม่คงสบายดีน่ะ ลูกก็สบายมั่ง ไม่สบายมั่ง


 


แม่…ไม่คิดที่จะมาเริ่มต้นชีวิตใหม่กับลูก ๆ เลยเหรอ แม่รู้มั้ย ลูกเสียใจ ที่แม่ไม่คิดถึงลูกเลยสักนิด แม่ปล่อยให้ลูกเดินเส้นทางชีวิตเพียงคนเดียว ลูกมืดมิดหมดแล้วแม่จ๋า ลูกไร้ที่พึ่ง ขาดทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต ปราศจากคนดูแลเอาใจใส่


 


ความหวังสุดท้ายคือ…ผู้บังเกิดเกล้า ลูกอยากมีชีวิตเหมือนคนอื่น ๆ ลูกต้องการความอบอุ่น ความดูแล เอาใจใส่จากแม่ผู้เป็นที่รัก


 


ลูกอยากซบกับอกอุ่น ๆ ของแม่ร้องไห้ เพื่อให้แม่ปลอบใจลูก แม่จ๋า…ลูกอยากเริ่มต้นชีวิตใหม่อยู่กับแม่ ลูกสัญญาว่าจะเลี้ยงแม่ตลอดไป ลูกโตพอที่จะทำให้แม่มีความสุข ไม่ลำบากเหมือน ๆ ก่อน ๆ มา


 


ลูกรักแม่ เมื่อขาดจากแม่ รู้สึกขาดทุกสิ่งในชีวิต มองหาอนาคตมืดมน ลูกอยากให้แม่เป็นแสงช่วยส่องชี้ นำทางให้ลูกเดินถูกทางด้วยจ๊ะแม่


 


ขอให้แม่มีความสุข


รักและเคารพ


 


ลูก…เตือนใจ


9/6/2528


 


 


อนาคต…หลายคนให้นิยามว่า คือความไม่แน่นอน แล้วหลายคนก็บอกกับฉันว่า มันคือความฝันที่เต็มเปี่ยมด้วยเสน่ห์ของการแสวงหา


 


ฉันพยายามหาความหมายของคำว่า "อนาคต" ให้มากกว่านั้น แต่มันก็ดูมืดมน…ว่างเปล่า…


 


ฉันพยายามหาคุณค่าให้กับชีวิต หาอนาคตให้กับตัวเอง ไม่ทราบว่าวันข้างหน้า ฉันจะเป็นอย่างไร


 


ความฝันที่บรรจงสร้างขึ้นวันแล้ววันเล่า ดูจะไม่มีพื้นฐานความเป็นจริงเลย


 


ชีวิต มันเป็นทั้งความคิดและความฝัน


คือการเร่ร่อนชั่วนิรันดร์ คือการเปลี่ยนผัน – ไม่แน่นอน


…………….


เหมือนปุยเมฆลอยวนอยู่บนฟ้า ผ่านวนา โขดเขา น้อยใหญ่


แต่ไม่อาจฉวยยึดเอาสิ่งใด ได้แต่ลอยล่องไปชั่วนิรันดร์


 


บางครั้งก็คล้ายเรือเร่ เวิ้งว้างกลางทะเลความคิดฝัน


ลอยโล้โต้คลื่นแห่งคืนวัน ท่ามกลางความเงียบงันของชะตา


 


ฉันเริ่มต้นชีวิตจากวัยเพียง 12 ปี  ร่อนเร่ไปหลายทิศหลายทาง หันหลังจากบ้าน จากพ่อแม่พี่น้อง จากห้วยหนองคลองนา จากเขา เดินทางอย่างไม่มีจุดหมาย


เสาะแสวงหาความรู้เพิ่มเติม ได้พานพบหลายสิ่งหลายอย่าง เรียนรู้แง่มุมชีวิตจากคนรอบข้าง


 


ฉันคงเหมือน Tomboy แต่งตัวง่าย ๆ กางเกงง่าย ๆ เสื้อเชิ้ต รองเท้าสีฝุ่น…ย่ำไปบนทางสายแล้วสายเล่า รอยยิ้มเปื้อนใบหน้า…ก้าวย่างอย่างมั่นใจ


แต่ใครจะรู้ บางครั้งฉันท้อแท้ ฉันเจ็บปวด


           


จาริก


21 ธันวา 28


 


      








คืนนี้...


คืนนี้ ฉันรู้สึกเหงา คิดถึงอะไรหลาย ๆ อย่าง ภายในห้องแคบ ๆ


มีแสงเทียนอยู่ 2 เล่ม ไฟฟ้าดับตั้งแต่หัวค่ำจึงจำเป็นต้องจุดเทียน


คืนนี้เหงา ว้าเหว่ อ้างว้าง เปล่าเปลี่ยว


 


ลมพัดแรงมากตอน 4 โมงของวันนี้ ฝนตกเม็ดใหญ่ คืนนี้ดึก ๆ


คงตกอีกไม่มากก็น้อย


เมื่อเห็นสภาพของตัวเองแล้ว ฉันนึกหวาดกลัวทุกอย่าง


มองทางไหนมืดมิด


ไร้แม้กระทั่งแสงของดวงดาวที่บนฟ้า ความมืด ฉันกลัวมากที่สุด


กลัวทุกสิ่งที่แฝงอยู่ในความมืด และความเงียบเหงา วังเวง


 


ใช่ ! สิ มันคงเหมือนชีวิตของฉัน ปราศจากแม้แสงนำทางช่วยส่องชี้...


ยามฉันเหงา เศร้า ไร้คนเข้าใจ อะไรล่ะ ที่ทำให้ชีวิตเป็นอย่างนี้


อยากทำในสิ่งที่ใจต้องการ แต่ไม่อยากทำเพราะชีวิตไม่ต้องการ


ชีวิต...หรือคืออะไร


 


เตือนใจ


1/5/2529


 


 


เมื่อครั้งยังเยาว์ ฉันจำได้


ครูเคยให้เขียนเรียงความเรื่อง โตขึ้นอยากเป็นอะไร


 


ฉันสนุกกับความฝัน วาดความหวังไว้งดงาม ฉันเขียนเอาไว้ว่า


ฉันอยากเป็นครู หรือไม่ก็หมอ มีบ้านสีขาวหลังเล็ก อยู่กับพ่อแม่ พี่น้อง  มีหมาน่ารักสักตัว


ฝันว่า ฉันจะช่วยทำสวนครัวหลังบ้าน หลังเลิกงาน แล้วเราจะกินข้าวพร้อมกัน


 


จากวันนั้น ถึงวันนี้ ฉันเติบโต ก้าวสู่การเปลี่ยนแปลง ความฝันที่เคยฝัน


ไม่มีอะไรจริงสักอย่างเดียว...


 


ฉันโตขึ้น รู้จักโลกมากขึ้น ฉันจำดิ้นรนหาเลี้ยงตัวและครอบครัว  รับผิดชอบชีวิตที่พ่อแม่แบกภาระมานานนักหนา...


 


โลกไม่ได้บานเบ่งด้วยมวลดอกไม้


คืนวันที่โลกส่องประกายสีทอง...เลือนราง


 


นึกถึงความฝันวันเยาว์...หลายครั้งที่ฉันนั่งปล่อยใจไปกับอดีต  พาความรู้สึกล่องลอยสู่จินตนาการ...คิดถึง เพื่อนที่เคยเรียน - เล่น


บัดนี้ทุกคนต่างมีทางไปของตัวเอง หลายคนยังคงเรียนหนังสือ


บางคน ทำงานแล้ว และอีกหลายคนแต่งงานแล้ว มีลูกแล้ว บางคนก็เลิกกันแล้ว...


 


แต่สำหรับฉัน ฉันยังอยู่ที่เดิม ที่ไม่มีอะไรแตกต่างจากเมื่อวาน..


 


จาริก,


5 เมษา 29


 


แต่มีเหมือนกัน เมื่อเรากลับไปอ่านบันทึกในอดีต ต้องหัวเราะ  ขบขันกับสำนวนการใช้ภาษา วิธีคิด และอื่นๆ อีกมากของเรา ที่ทั้งไร้เดียงสา และตลกสิ้นดี


 







 


เวลานี้…


ก็ไม่รู้จะไป LOVE ใคร ขอให้อนาคตไกลกว่านี้เสียก่อน


เพื่อน ๆ เขามี LOVE…กันหมดแล้ว เหลือแต่ตัวเอง เฮ่อ…


เหงา อ้างว้างเสียจริง ๆ


คนที่มี LOVE ก็ขอให้ LOVE กันนาน ๆ เถอะนะ อย่าทิ้งขว้างกันเลยน่ะ


มีลูก ๆ หลาน ๆ ได้ชื่นชมกันเยอะนะ ฮึ


จาก…ผู้หวังดีในเรื่อง LOVE


 (เตือนใจ)


 


 




นั่งคิดถึงความหลังครั้งแปลงเพาะ


เคยหัวเราะหยอกเย้าอยู่เราสอง


ร่วมสร้างฝันโลกนี้ด้วยสีทอง


ต่างก็ปองหวังเก็บเกี่ยวถึงเสี้ยวจันทร์


           


เคยออดอ้อนวอนพร่ำในคำรัก


คำหวานนักบอกรักแท้มิแปรผัน


อุปสรรคขวางหน้าร่วมฝ่าฟัน


เข้าใจกันฉันและเธอเสมอมา


                                   


แต่แล้วไยรักแท้มาแปรผัน


เธอลืมฉันมิอาวรณ์สังหรณ์หา


มีแต่แววแหนงหน่ายจากสายตา


อนิจจา…นี่หรือคือใจเธอ


(จาริก แรมรอน)


           


ทางชีวิตของเรา หากเขียนเป็นย่อความสั้น ๆ คงมีดังนี้...


 


ปี 2524 เราเรียนจบชั้นประถม 6 ด้วยกัน ฉันย้ายไปเรียนขับเพลงซอที่ ต. เวียง แต่ไม่นานก็กลับมา และเข้าทำงานในโรงบ่มใบยาสูบ, แปลงเพาะต้นกล้ายาสูบ อ. พร้าว


ส่วนเธอไปทำงานเป็นคนรับใช้ในบ้านที่ อ. เมือง จ. เชียงใหม่


เราเขียนจดหมายคุยกันตลอดทั้งปี ฉันเริ่มหัดเขียนกลอน เธอก็เช่นกัน


 


ปี 2525 ฉันยังทำงานที่เดิม แต่เริ่มหัดทำนาไปด้วย


กลอนชิ้นแรกของฉัน (ความหลังที่แปลงเพาะ) ได้อ่านออกอากาศทางวิทยุ (AM) (ได้รางวัลเป็นเสื้อตราปลากระป๋องยี่ห้อหนึ่ง)


เธอกลับมาหมู่บ้าน เข้ามาทำงานที่เดียวกับฉัน เรามีความสุขมาก และมีความฝันมากมายถึงชีวิตที่จะดีขึ้น


เป็นช่วงที่เราเริ่มเขียนกลอนมากขึ้น, บันทึกชีวิต แต่งเรื่องแบ่งกันอ่าน


 


ปี 2526 ฉันเข้ามาอยู่เชียงใหม่ ทำงานในโรงงานคัดใบยาสูบ ต. หนองหอย         เชียงใหม่ เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ


เธอกลับเข้ามาทำงานบ้านในตัวเมืองเชียงใหม่


เรานัดพบกันเสมอ เท่าที่จะมีโอกาส


 


ปี 2527 เธอย้ายมาทำงานบ้านในบ้านพักผู้พิพากษาศาล จ. เชียงใหม่ และชวนฉันมาทำด้วย ก่อนหน้านั้น ฉันตระเวนรับจ้างหลายแห่ง


ในที่สุด เราก็ได้อยู่ในบ้านใกล้ ๆ กัน มีแค่รั้วขาวกั้นกลาง หน้าที่ของเราคล้าย ๆ กัน คือเลี้ยงเด็ก ทำงานบ้าน ทำกับข้าว


บ้านที่เราอยู่ มีต้นแคขาวรายรอบ ฤดูที่แคออกดอกสีขาวสะพรั่ง เราจะมีความสุขมาก เราชอบขอเพลงทางวิทยุ และระบุชื่อว่ามอบให้กันและกัน


 


แต่ปีนี้เราโชคดีมาก มีหนังสือให้อ่านเยอะแยะไปหมด เราอ่านกันอย่างหิวกระหาย (แอบอ่าน) ตั้งแต่นวนิยายเล่มละ 10 บาท จนถึงวรรณกรรมไทย - เทศ (แปล) และตำรากฎหมาย เพราะบ้านอีกหลังที่เพื่อนอีกคนของเราอยู่ ภรรยาท่านผู้พิพากษาเป็นอาจารย์สอนมหาวิทยาลัย


 


เขามีตู้หนังสือสูงเกือบจรดเพดาน และมีหนังสือแทบทุกประเภท


เราเริ่มรู้จักชื่อ คึกฤทธิ์ ปราโมช, มนันยา, วาณิช จรุงกิจอนันต์, อีแร้ง, พลอยแกมเพชร, จันทรำไพ, มิชิมา, ศศิวิมล, ประมูล อุณหธูป, นิดา, เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์, สิริมา อภิจาริน, สุวรรณี สุคนธา, . ณ ประมวลมารค ฯลฯ


 


แล้วยังได้อ่านนิตยสารสกุลไทย, ขวัญเรือน, ดิฉัน, อาทิตย์-วิวัฒน์, สตรีสาร ฯลฯ


โดยเฉพาะสกุลไทย เราได้อ่านฉบับย้อนหลังกันเป็นตั้ง ๆ จากในห้องเก็บของ


ยังไม่นับการ์ตูนญี่ปุ่นของลูก ๆ หลาน ๆ ของท่านเจ้าของบ้าน


 


เวลาแห่งการอ่านหนังสือของเรา คือเวลาอิสระอย่างแท้จริง เพราะหมายถึงยามดึกดื่น ที่ทุกคนในบ้านนอนกันหมดแล้ว


 


เราปราศจากหน้าที่การงานอื่นใดอีกแล้ว


เราจะนอนอ่านหนังสือกันอย่างมีความสุข เป็นอิสระ เป็นเวลาที่เราตระหนักถึง          "ความเป็นส่วนตัว" จินตนาการที่ไร้ขอบเขต


 


ฉันเคยนอนร้องไห้ตั้งครึ่งคืนกับหนังสือ กุหลาบสีแดง ของ สิริมา อภิจาริน


และเธอเคยท่องบทกลอนของ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์


 


น้ำตารินไหลพร่างอย่างเงียบ ๆ


มันเย็นเฉียบเหมือนจะเชือดให้เลือดไหล


ความปวดลึกร้าวทั่วเนื้อหัวใจ


วันทำไมจึงมืดยืดยาวนัก


 


แล้วเราก็ร้องไห้กัน ใต้ต้นหางนกยูง ที่กำลังออกดอกสีส้มสะพรั่ง


 


ที่นี่เอง เธอได้พบเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เขาชื่อ ยุทธ เป็นนักศึกษาวิทยาลัยครูเชียงใหม่ เป็นคนพร้าวเหมือนกัน แต่ได้ทุนมาเรียนต่อ


 


เจ้าของบ้านหลังที่เธออยู่ รับอุปการะเขาโดยให้ที่พักอาศัย


เธอกับเขาชอบกัน แต่ใคร ๆ มักตอกย้ำเสมอว่า


"มันเป็นไปไม่ได้ เขาเป็นนักศึกษา แต่เธอเป็นคนรับใช้"


 


ปี 2528 ฉันเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ ช่วงสั้น ๆ ได้นั่งรถไฟเป็นครั้งแรก


เธอยังทำงานอยู่ที่เดิม


กลางปี ฉันขึ้นไปอยู่เชียงราย อาศัยอยู่กับแม่อุ๊ยคนหนึ่ง ทำงานรับจ้างทั่วไป


เธอย้ายไปทำงานบ้านหลังอื่น เราแทบไ