ทางออกอื่นที่ กฟผ.และรัฐบาลไม่คิด
คอลัมน์/ชุมชน
ผมได้อ่านบทความเรื่อง "กฟผ." ซึ่งเขียนโดยท่านอาจารย์ชัยอนันต์ สมุทวณิช (ผู้จัดการรายวัน 4 ธันวาคม 2548) แล้วรู้สึกไม่ค่อยสบายใจหลายอย่าง ที่รู้สึกอย่างนี้ก็เพราะในสายตาของผม ท่านเป็นนักวิชาการที่ผมเคารพนับถือมานาน ขณะเขียนบทความนี้ก็ยังนับถืออยู่ แม้จะไม่เคยรู้จักท่านเป็นส่วนตัวก็ตาม
แต่ในฐานะที่ท่านเป็นประธานคณะกรรมการ กฟผ. และเป็นผู้เขียนบทความชิ้นนี้ ผมมีข้อมูลและความเห็นที่แตกต่างไปจากท่านรวม 4 ประการ
นี่คือความรู้สึกจริงๆ ที่ขัดแย้งกันอยู่ในใจของผมเอง ผมอาจจะติดกับความคิดเชิง "อุปถัมภ์" ตามที่ท่านว่าไว้ก็เป็นได้
ต่อไปนี้ ผมจะแจงทีละประเด็น ดังนี้
ประเด็นที่หนึ่ง ตอนหนึ่งในบทความท่านได้กล่าวว่า "กฟผ.มีหน้าที่ดูแลให้คนไทยมีไฟฟ้าใช้อย่างพอเพียงโดยไม่มีไฟดับ เท่าที่ผ่านมาก็ทำได้ดี ในรัฐแคลิฟอร์เนียก็ยังมีไฟดับทั่วรัฐ ของเรายังดี และค่าไฟเราก็นับว่าถูกกว่าหลายประเทศรอบบ้าน"
กล่าวอย่างกระชับ ผมเห็นด้วยข้อความเกือบทั้งหมดนี้ แต่สิ่งที่ท่านอาจารย์ชัยอนันต์ไม่ได้บอกก็คือ
ทำไมบริษัทผลิตไฟฟ้าเอกชน (หรือที่เรียกกันย่อๆว่าไอพีพี) จึงสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ในราคาที่ต่ำกว่าที่ กฟผ.ผลิตเองเยอะเลย
กล่าวคือ เฉพาะต้นทุนค่าเชื้อเพลิงเพียงอย่างเดียวของ กฟผ.ราคาหน่วยละ 1.59 บาท ในขณะที่ กฟผ. รับซื้อจากบริษัทเอกชน(ซึ่งบวกกำไรแล้ว)เพียง 1.35 บาทต่อหน่วยเท่านั้น (คำนวณโดยใช้ข้อมูลจาก รายงานประจำปีของ บมจ. กฟผ. ปี 2547)
ถ้าคิดต้นทุนที่ไม่ใช่ค่าเชื้อเพลิงแต่เป็นค่าการผลิตไฟฟ้า(ไม่รวมค่าสายส่ง) อีก 0.37 บาทต่อหน่วย รวมเป็น 1.96 บาทต่อหน่วย
สรุปสั้น ๆ ได้ความว่า เฉพาะขั้นตอนการผลิตไฟฟ้าอย่างเดียว พบว่าต้นทุนบวกกำไรของบริษัทเอกชนยังต่ำกว่าต้นทุนอย่างเดียวของ กฟผ. ถึง 0.61 บาทต่อหน่วย
ปัจจุบันคนไทยใช้ไฟฟ้าปีละประมาณ 1.25 แสนล้านหน่วย ดังนั้น ทุก ๆ 10 สตางค์ต่อหน่วยที่ค่าไฟฟ้าแพงขึ้น ย่อมหมายถึงเงินจำนวน 1 หมื่น 2 พัน 500 ล้านบาทเลยทีเดียว
การที่ท่านประธานบอร์ด กฟผ. นำค่าไฟฟ้าในประเทศไทยไปเปรียบเทียบกับของประเทศเพื่อนบ้าน โดยไม่ยอมเปรียบเทียบระหว่าง กฟผ. กับบริษัทเอกชนในประเทศไทย(ซึ่งมีระบบเศรษฐกิจเดียวกัน)เลยนั้น เป็นการให้ข้อมูลเพียงครึ่งเดียว และเป็นการหลีกเลี่ยงการปรับปรุงและพัฒนาตนเองขององค์กร
ผมไม่ทราบว่าท่านอาจารย์ชัยอนันต์ได้ทราบข้อมูลที่ผมได้กล่าวถึงนี้หรือไม่ แต่นี่คือโจทย์สำคัญมากที่กฟผ.จะต้องนำไปปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับองค์กรของตน และลดภาระค่าไฟฟ้าให้กับประชาชน
ประเด็นที่สอง เป็นประเด็นชนิดของเชื้อเพลิงที่ใช้ผลิตไฟฟ้า ท่านประธานบอร์ด กฟผ. กล่าวว่า "ขณะนี้เราใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิงประมาณ 70% ที่เหลือเป็นน้ำมันเตาบ้าง และพลังน้ำบ้าง ในสิบปีข้างหน้า เราคงซื้อกระแสไฟฟ้าจากเขื่อนน้ำงึม และน้ำเทินในลาวเพิ่มมากขึ้น ยิ่งโครงการสาละวินเกิดขึ้นในอนาคตด้วยแล้ว เราก็ยิ่งจะได้อาศัยไฟจากเพื่อนบ้านมากขึ้น โดยต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังน้ำจะต่ำกว่าก๊าซ"
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มากๆ ที่เป็นปัญหาทั้งระดับโลก ระดับภูมิภาค และระดับท้องถิ่น ไม่ว่าจะมองในเชิงรัฐศาสตร์หรือเชิงสิ่งแวดล้อมก็ตาม เราจำเป็นต้องมีกรอบความคิดที่จะต้องคำนึงถึงผลกระทบทั้ง 3 ระดับนี้พร้อม ๆ กัน
เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ หรือเขื่อนขนาดใหญ่ ล้วนส่งผลกระทบที่ทำให้โลกร้อนและกระทบต่อวิถีชีวิตของผู้คนและสิ่งมีชีวิตอื่นๆโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆกันอีกแล้ว
หลายประเทศทั่วโลก จึงได้หันมาใช้พลังงานหมุนเวียน(ซึ่งได้แก่ พลังงานลม แสงอาทิตย์ ชีวมวล) ในการผลิตไฟฟ้ามากขึ้น
กระทรวงพลังงานของเราเองรวมทั้งธนาคารโลกก็ได้ศึกษาพบว่าประเทศไทยเรามีศักยภาพที่จะทำกังหันลมได้ถึง 1600 ถึง 3067 เมกกะวัตต์
กฟผ.เองก็ได้ข้อสรุปจากการทดลองที่แหลมพรหมเทพ (จังหวัดภูเก็ต) ว่า "ผลการศึกษาเป็นที่น่าพอใจ" เมื่อหลายปีก่อน แต่ก็ยังไม่มีการขยับใดๆ จาก กฟผ.
เวทีประชุมพลังงานหมุนเวียนระดับโลก ทั้งที่เยอรมนี (2004) และปักกิ่ง (2005) ที่เป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันของชาวโลก แต่ก็แทบจะไม่มีผู้แทนจากประเทศไทยเข้าร่วมเลย(ครั้งแรกมี 15 ท่าน แต่เข้าร่วมประชุมเพียงเพื่อฟังรัฐมนตรีของไทยพูด ครั้งที่สองมีระดับรองอธิบดี 1 ท่าน ทั้งๆที่มีการเชิญระดับรัฐมนตรี ไม่มีผู้แทน กฟผ.เลย)
ในขณะที่ประเทศอินเดีย จีน ได้เริ่มต้นไปแล้วเมื่อ 4-5 ปีก่อน ล่าสุดประเทศฟิลิปปินส์ ก็ได้มีฟาร์มกังหันลมขนาด 27 เมกกะวัตต์ไปแล้วเมื่อกลางปีนี้เอง
ต้นทุนการผลิตที่ผู้บริหารระดับสูงของ กฟผ.อ้างว่ายังแพงมากนั้นก็ไม่เป็นความจริง ปัจจุบัน (2548) ประสิทธิภาพของกังหันลมสูงกว่าเมื่อ 20 ปีที่แล้วถึง 200 เท่า
ผลการศึกษาของ American Wind Power Association (http://www.awea.org/pubs/factsheets/EconomicsofWindMarch2002.pdf) พบว่า ถ้าความเร็วลมเฉลี่ยที่ 7.15 เมตรต่อวินาทีและเป็นฟาร์มขนาดใหญ่ ต้นทุนจะอยู่ที่ 1.50 บาทต่อหน่วยเท่านั้น และสามารถได้ทุนคืนภายใน 8 ปีเท่านั้น
ในด้านการผลิตไฟฟ้าจากชีวมวล ไม่ว่าจะเป็นของฟาร์มหมู ก็สามารถคุ้มทุนเชิงการเงินได้ภายใน 4 ปี ถ้านับถึงการลดกลิ่นไปด้วยก็ถือว่าคุ้มเกินคุ้ม ทั้งกังหันลม ขี้หมู และชีวมวลอื่นๆ องค์กรชุมชนขนาดเล็ก เช่น อบต. ก็สามารถเป็นผู้ประกอบการเองได้ ซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาความยากจน คนว่างงาน และมลพิษอีกด้วย
กฟผ.เองก็ไม่ต้องลงทุนสร้างโรงไฟฟ้ามาก เหตุผลหลักที่โรงไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนไม่เกิดขึ้นก็เพราะ กฟผ. พยายามกีดกันไว้นั่นเอง (หากมีโอกาสจะกล่าวถึงอีกสักบทความต่างหาก)
ประเด็นที่สาม ท่านอาจารย์ชัยอนันต์กล่าวว่า "การกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เป็นวิธีการทางการทำธุรกิจที่ต้องการระดมทุนที่ไม่มีอัตราดอกเบี้ยเพื่อมาลงทุนในกิจการไฟฟ้า หาก กฟผ.ต้องไปกู้เงินจากธนาคารทั้งภายใน และต่างประเทศมาลงทุนทั้งหมด ค่าดอกเบี้ยก็จะทำให้ต้นทุนการผลิตสูง สู้ระดมทุนจากตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้"
จากรายงานประจำปี 2547 ของ กฟผ. พบว่า กฟผ. มีกำไรขั้นต้นถึง 52,332 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิหลังหักษีแล้วถึง 28,198 ล้านบาท สำหรับแผนการลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ ในช่วงปี 2547 -2558 ประเทศเรามีความจำเป็นต้องสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มปีละ 1,000 เมกกะวัตต์ จากที่เคยวางแผนว่า 1,860 เมกกะวัตต์ เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัว (ผู้จัดการออนไลน์-20 ตุลาคม 2548)
ถ้าคิดจะลงทุนกันจริงๆ ด้วยกำไรขนาดนี้ ไม่ต้องกู้เงินใครเลยก็ยังสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ได้มิใช่เหรอครับ
ประเด็นที่สี่ ท่านกล่าวว่า "การขายหุ้นออกไปเพียง 25% และใน 25% นั้น ต่างชาติซื้อได้เพียง 30% คือหนึ่งในสามจะเรียกว่า ขายสมบัติของชาติได้อย่างไร"
ท่านอาจารย์ไม่ทราบเลยหรือครับว่า ตอนที่ ปตท. เข้าตลาดหลักทรัพย์นั้น กระทรวงการคลังถือหุ้นไว้ถึง 70% แต่อีก 3 ปีต่อมาก็ต้องขายไปอีกจนเหลือเพียง 52%
ท่านอาจารย์ไม่คิดบ้างหรือครับว่า แรงขับเคลื่อนที่ผลักดันให้มีการกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์อยู่ที่ผลประโยชน์ของกลุ่มทุนขนาดใหญ่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น
ถึงคราว กฟผ. คำถามไม่ได้อยู่ที่ว่าจะขายออกไปสักกี่เปอร์เซ็นต์ แต่อยู่ที่ว่ามีความจำเป็นต้องขายหรือไม่
ถ้าจะลงทุนเพิ่มก็มีเงินกำไรอยู่แล้ว หรือให้เอกชนลงทุนด้วยพลังงานหมุนเวียนก็ยิ่งดีขึ้นอีก
ถ้าคิดจะปรับปรุงประสิทธิภาพหลังการขาย ก็โปรดปรับปรุงเสียแต่เดี๋ยวนี้ นั่นคือทำต้นทุนให้ต่ำลงมาอีก 0.61 บาทต่อหน่วยให้เท่ากับเอกชนไทยก่อน แล้วค่อยเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในภายหลัง
ทั้งหมดนี้ผมเรียนมาด้วยความเครารพต่อท่านอาจารย์เสมอมา ไม่เคยคิดจะดูหมิ่นแม้แต่น้อย และแอบยังหวังอยู่ลึกๆว่า ท่านจะเป็นจุดเริ่มต้นของพลังการเปลี่ยนแปลงที่สร้างสรรค์ในโอกาสต่อไป