ต้านอำนาจรัฐ
คอลัมน์/ชุมชน
-1-
กี่ยุคสมัย - - จากอดีตถึงปัจจุบัน ความฝันของชาวนา ยังคงเหมือนเดิม ขอเพียงมีข้าวเต็มยุ้ง มีผืนนาไว้ไถหว่านเพาะปลูกและเก็บเกี่ยว แต่ก็อีกนั่นแหละ, ความฝันพลันสิ้นสูญ เมื่อนายทุนเข้ามากอบโกยไปต่อหน้าต่อตา ยุ้งฉางว่างเปล่า ที่นาหลุดลอย... หรือประเทศไทยคือความแตกต่าง ความเป็นธรรม ความเท่าเทียมถูกทิ้งขว้าง ระหว่างชนชั้นถูกพอกพูนในสังคมจนแน่นหนา ยากนักจักฝ่าข้ามไปถึงได้... นักการเมืองนักปกครองมีเงินทองหมื่นแสนล้าน ประชาชนล้มลุกคลุกคลานทุกข์ยากในชีวิต แต่ก็อีกนั่นแหละ, มีคนบอกว่าเขาบกพร่องโดยสุจริต และนี่คือผลิตผลแห่งความชอบธรรมของรัฐบาลในยุคนี้ ปราชญ์ท่านหนึ่งใครกล่าวว่าไว้... เหล่านักปกครองใดมีความมั่งคั่งมีทรัพย์สมบัติมากจนเกินการ ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี ดื่มกินอิ่มหนำสำราญอย่างฟุ่มเฟือย สะพายดาบแห่งอำนาจ ใช้ชีวิตอย่างฉ้อฉล หากประชาชนนั้นท้องกิ่วหิวโหย ไร่นารกร้าง ยุ้งฉางว่างเปล่า เราอาจเรียกเหล่านักปกครองนั้นได้ว่า - - "มหาโจร!"
ผมเขียนงานชิ้นนี้เอาไว้นานหลายปีแล้ว ทว่ายังคงเป็นจริงอยู่อย่างนั้น ไม่เปลี่ยนแปลง ทำให้ต้องค้นหาเอามาอ่านย้ำซ้ำ ๆ อีกหน และเชื่อได้เลยว่า มันจะต้องเป็นเช่นนี้ต่อไป ตราบใดที่อำนาจรัฐที่ขาดความชอบธรรมยังคงลอยวนอยู่เหนือทั่วผืนแผ่นดิน คลอบคลุมวิถีการดำรงอยู่ของประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศให้ยินยอมจำนนจองจำโดยไร้สิทธิการโต้แย้งใด ๆ
-2-
"...ที่จริงแล้ว รัฐบาลนั้นเป็นเพียงแค่เครื่องมือซึ่งประชาชนเลือกขึ้นมาเพื่อกระทำตามเจตจำนงขอมหาชน ทว่าเครื่องมือนั้นกลับบิดเบี้ยวฉ้อฉลไปเสียก่อน ที่จะได้สนองเจตนารมย์ของประชาชน..." นั่นเป็นถ้อยคำของเขา- -เฮนรี่ เดวิด ธอโร ในความเรียงที่ชื่อ "ต้านอำนาจรัฐ"
"เฮนรี่ เดวิด ธอโร เป็นใคร?..."
เชื่อว่าใครหลายคนคงจะรู้จักเขาในงานนิพนธ์ที่ชื่อ "วอลเดน" อันลือชื่อ ใช่ ถือว่าเป็นงานชิ้นเอกของเขาที่คนทั่วโลกรู้จัก เมื่อเขาพาตัวเองไปพักอาศัยอยู่กลางป่าริมบึงวอลเดน และลงมือสร้างกระท่อมเพื่อทดลองใช้ชีวิตพึ่งตนเองอย่างสงบ สมถะ เรียบง่าย ทว่าเมื่อเขาออกมาพร้อมกับงานนิพนธ์ชุดนี้ หลายคนรับรู้ว่า งานชิ้นนี้ทรงพลังอย่างยิ่ง
เหมือนกับงานความเรียง ชื่อ "ต้านอำนาจรัฐ" ที่ผมหยิบเอามาอ่านอีกครั้ง
ว่ากันว่า งานเขียนของธอโรมีทั้งความสำคัญ และความยิ่งใหญ่อยู่ในตัวเอง
วีระ สมบูรณ์ ได้เขียนคำนำเอาไว้ในหนังสือชื่อ "ต้านอำนาจรัฐ" นี้ว่า ประเด็นต่าง ๆ ที่เขาหยิบยกขึ้นมานั้น นอกจากจะท้าทายและเสนอแนะให้แก่คนร่วมยุคสมัยแล้ว ยังเกี่ยวพันกับปัจจุบันอย่างไม่ล้าสมัย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องคุณค่าของมนุษย์ ศักดิ์ศรีและวิถีชีวิตของมนุษย์ สังคม อำนาจรัฐ ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ
ดังที่ข้อเขียนที่สำคัญที่ของเขาสองชิ้น คือ วอลเดน (แปลเป็นไทยโดย สุริยฉัตร ชัยมงคล ) และต้านอำนาจรัฐ (แปลโดย พจนา จันทรสันติ) จัดพิมพ์โดยโครงการจัดพิมพ์คบไฟ มูลนิธิโกมลคีมทอง ที่ยังคงเป็นที่นิยมอ่านและกล่าวขวัญถึงอย่างไม่เสื่อมคลาย
"ความยิ่งใหญ่ของงานเขียนของเขา อยู่ที่สำนวนการเขียนและลีลาการนำเสนอ ซึ่งตรงไปตรงมา เข้มข้น แต่ขณะเดียวกันก็สละสลวยและกระตุ้นเร้าจินตนาการ ธอโรไม่ใช่นักวิชาการที่รอบรู้ ไม่ใช่กวีที่โดดเด่น ไม่ใช่ปัญญาชนนักวิจารณ์ ไม่ใช่ศาสดาผู้ไขคำตอบ นอกจากนี้ ความคิดของเขาก็ไม่ใช่ต้นแบบ ไม่ใช่คำตอบหรือทางออกที่ชัดเจนสวยหรู แต่งานเขียนที่สามารถเขย่าความรู้สึกนึกคิดของผู้คนได้อย่างถึงรากถึงโคน" วีระ สมบูรณ์ พูดถึงเขา
-3-
เมื่อธอโรพูดถึงเรื่อง อำนาจรัฐ
ธอโร บอกว่า...เมื่อใดที่อำนาจตกไปอยู่ในมือของประชาชนแล้ว เมื่อนั้นคนหมู่มากก็จะได้ทำการปกครองอย่างต่อเนื่องยาวนาน นั่นมิใช่เพราะว่าการเป็นฝ่ายข้างมากเป็นความชอบธรรม ทั้งมิใช่ดูยุติธรรมดีแล้วในสายตาของฝ่ายข้างน้อย แต่เป็นเพราะเหตุว่า ฝ่ายข้างมากนั้นมีกำลังเข้มแข็งที่สุด
ทว่ารัฐบาลซึ่งปกครองโดยคนหมู่มากส่วนใหญ่แล้ว เท่าที่เห็นมาก็ไม่อาจยึดมั่นอยู่ในบรรทัดฐานแห่งความยุติธรรมได้ จะมีรัฐบาลใดไหมที่คนหมู่มากมิได้กระทำการตัดสินถูกผิดชั่วดีลงไปอย่างเด็ดขาด แต่ปล่อยให้เป็นเรื่องของมโนธรรม จะมีรัฐบาลใดไหมที่เสียงข้างมากตัดสินแต่เพียงเรื่องที่เกี่ยวพันกับการอำนวยผลประโยชน์ ควรหรือที่ประชาชนพลเมืองจะยอมสละละมโนธรรมของตนให้แก่ผู้ออกกฎหมาย แม้แต่เพียงชั่วอึดใจหนึ่งหรือชั่วพริบตาหนึ่ง
"ซึ่งถ้าเป็นดังนั้นแล้ว มนุษย์จะมีมโนธรรมไว้เพื่อสิ่งใดกันเล่า ข้าพเจ้าคิดว่า เราควรจะเป็นมนุษย์ก่อนสิ่งอื่นใด และเป็นพลเมืองในอันดับถัดไป คงจะไม่ถูกต้องนักที่ที่จะมอบที่จะมอบความเคารพให้แก่กฎหมายยิ่งกว่าความถูกต้องเที่ยงธรรม"
เมื่อธอโร พูดถึงเรื่อง พรรคการเมือง
เขาบอกว่า มีคำกล่าวอยู่ว่า พรรคการเมือง นั้นหามีมโนธรรมใด ๆ ไม่ คำกล่าวเช่นนี้นับว่าจริงแท้ ทว่าพรรคการเมือง ซึ่งประกอบขึ้นด้วยบุคคลซึ่งเปี่ยมมโนธรรม ย่อมนับเป็นพรรคการเมืองซึ่งมีมโนสำนึกได้ กฎหมายนั้นไม่อาจทำให้คนมีความเที่ยงธรรมมากขึ้นมาได้แม้แต่เศษธุลีหนึ่ง และด้วยเหตุแห่งการถือเคร่งในตัวบทกฎหมายนี้เอง แม้แต่คนดี ๆ เอง ก็ยังกลายเป็นตัวแทนของความอยุติธรรมอยู่ได้ทุกวี่วัน
เมื่อพูดถึงเรื่อง การเลือกตั้ง
ธอโร บอกว่า การเลือกตั้งทุกชนิดนั้นเป็นเหมือนกับเกมการเล่นชนิดหนึ่ง เหมือนกับหมากรุกและสกา ซึ่งมีศีลธรรมเจือเป็นกระสายอยู่เล็กน้อย เป็นการเล่นกับเรื่องถูกเรื่องผิด เล่นกับปัญหาด้านศีลธรรม และก็มักจะมีการพนันขันต่อติดตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
"ซึ่งในการนี้ ผู้ออกเสียงเลือกตั้ง ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงใด ๆ เลย ฉันเพียงแต่ลงคะแนนเสียงดังที่ฉันคิดว่าเหมาะสมที่สุด แต่ฉันก็ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบว่า สิ่งที่ฉันคิดว่าถูกต้องที่สุดนั้นจะคงเส้นคงวาหรือไม่ เพราะนั่นเป็นเรื่องที่มหาชนจะต้องร่วมกันรับผิดชอบ"
เมื่อธอโร พูดถึงเรื่อง ความรักชาติ
"...ความผิดที่ได้รับการยอมรับและกระทำกันอย่างกว้างขวางนั้น ย่อมต้องอาศัยคุณความดีชนิดไม่เห็นแก่ตัวคอยหล่อเลี้ยง ความรักชาติอาจนำมาซึ่งการกระทำอันน่าตำหนิได้ไม่ยาก และยิ่งมีจิตใจสูงส่งกลับยิ่งทำได้ง่ายเข้าไปใหญ่ ใครก็ตามที่ประณามพฤติกรรมการกระทำของรัฐบาล แต่กลับยังให้ความภักดีและการสนับสนุน ก็คือผู้สนับสนุนรัฐบาลนั้นอย่างเต็มใจที่สุดนั่นเอง และพวกนี้แหละ ที่มักเป็นอุปสรรคที่ร้ายแรงที่สุดต่อการปฏิรูปเปลี่ยนแปลง..."
ธอโร ยังมองรัฐบาลเป็นเพียงเครื่องจักร
เขาบอกว่า ถ้าหากว่า ความอยุติธรรมเป็นส่วนหนึ่งของแรงเสียดทานและความสึกหรอของเครื่องจักรรัฐบาลนี้ ก็ช่างหัวมันเถอะ ช่างมัน เพราะบางทีเครื่องจักรนี้อาจเดินได้อย่างราบเรียบอีกครั้ง หรือไม่ก็พังพินาศไปเลยก็เป็นได้ ถ้าหากว่าความยุติธรรมนี้มีสปริง มีรอก สายพานหรือเพลาอยู่ในตัวของมันเอง ท่านก็อาจพิจารณาดูได้ว่า การแก้ไขนั้นควรจะหนักเบาสถานใด
"แต่ถ้าหากว่าถึงขนาดที่ทำให้ท่านต้องกลายเป็นแทนของความอยุติธรรมที่กระทำต่อผู้อื่นด้วยแล้วไซร้ ข้าพเจ้าก็ขอบอกว่า จงขัดขืนต่อกฎหมายชนิดนั้น ขอให้ชีวิตของท่านเป็นแรงเสียดทานที่จะหยุดเครื่องจักรนั้นเสีย เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าใส่ใจเหนือสิ่งอื่นใด ก็คือจะไม่ยอมให้รัฐหยิบมือข้าพเจ้าไปกระทำในสิ่งผิด ซึ่งตัวข้าพเจ้าเอง ประณามหยามเหยียด"
"รัฐนั้นไม่เคยกล้าเผชิญหน้ากับจิตสำนึกของมนุษย์โดยตรงเลย ไม่ว่าจะเป็นจิตสำนึกทางศีลธรรมหรือสติปัญญา ทว่ากลับถือเอาร่างกายของมนุษย์เป็นดุจดังจิตสำนึก รัฐนั้นมิได้มีสติปัญญาหรือความสัตย์ซื่อเที่ยงธรรมเป็นอาวุธ ทว่ากลับมีพลังทางกายที่เหนือกว่า แต่ข้าพเจ้าก็มิได้เกิดมาเพื่อที่จะถูกย่ำยีบีฑา ข้าพเจ้าจะหายใจอยู่ด้วยหลักการของตนเอง ขอให้ลองดูกันต่อไปเถิดว่า ใครจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุด มหาชนจะมีพลังอำนาจเยี่ยงไรเล่า"
แน่นอน - - ธอโร ได้พูดถึงเรื่อง การปฏิวัติ
"มนุษย์ทุกคนย่อมตระหนักได้ถึงสิทธิอันชอบธรรมแห่งการปฏิวัติ นั่นก็คือ สิทธิที่จะปฏิเสธไม่ยอมภักดีและต่อต้านขัดขืนต่อรัฐบาล เมื่ออำนาจเผด็จการและความเหลวแหลกของมันไปถึงจุดที่ไม่อาจทนทานได้..."
"...ทว่าเมื่อใดที่เครื่องจักรนั้นผุกร่อนสึกหรอจนหมดสภาพ เมื่อใดที่การกดขี่ข่มเหง การเบียดเบียนได้ผนึกรวมตัวเป็นขุมกำลังกล้าแข็ง ข้าพเจ้าก็อยากจะบอกว่า ขอให้เราเลิกใช้เครื่องจักรเครื่องนั้นได้แล้ว..."
"ขณะที่ทั่วทุกหย่อมหญ้ายังถูกความอยุติธรรมปกคลุมครอบงำอยู่ และถูกยึดครองอยู่ด้วยกองทัพต่าง ๆ และยังถูกอยู่ภายใต้กฎอัยการศึกกระนี้แล้ว ข้าพเจ้าคิดว่าภายใต้สภาพการณ์เช่นนี้ คงจะไม่เป็นการเร็วเกินไปสำหรับคนผู้ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง ที่จะทำการกบฏและปฏิวัติต่อต้าน..."
เมื่อผมหยิบหนังสือเล่มนี้มาอ่านอีกรอบ แล้วย้อนกลับมามองอำนาจรัฐการเมืองของไทยในห้วงขณะนี้ ช่างตรงและสอดคล้องอย่างไม่น่าเชื่อ กับความเรียงชิ้นนี้ "ต้านอำนาจรัฐ" ของ เฮนรี่ เดวิด ธอโร ซึ่งเขียนเอาไว้เมื่อ ปี ค.ศ.1849
และเมื่อมาถึงตอนนี้ ผมเริ่มเชื่อในคำกล่าวของปราชญ์ท่านหนึ่งที่เคยว่าไว้...
เหล่านักปกครองใดมีความมั่งคั่งมีทรัพย์สมบัติมากจนเกินการ
ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี ดื่มกินอิ่มหนำสำราญอย่างฟุ่มเฟือย
สะพายดาบแห่งอำนาจ ใช้ชีวิตอย่างฉ้อฉล
หากประชาชนนั้นท้องกิ่วหิวโหย
ไร่นารกร้าง ยุ้งฉางว่างเปล่า
เราอาจเรียกเหล่านักปกครองนั้นได้ว่า - - "มหาโจร!"