Skip to main content

ชีวิตของเรา สำคัญเท่ากับ ทัศนคติเรา ???

คอลัมน์/ชุมชน

เชาวฤทธิ์ แดงซอน


เชาวฤทธิ์ แดงซอน หรือ เก่ง เยาวชนที่ทำกิจกรรมทางสังคม ได้เกิดแรงบันดาลใจเล็กน้อยจากการอบรมมา เลยมานั่งจรดปลายปากกา เขียน "ชีวิตของเราสำคัญเท่ากับทัศนคติเรา" ขึ้นมาเพื่อสื่อสารกับผู้คนในสังคม ผ่านคอลัมน์หนุ่มสาวสมัยนี้


๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑


คุณลองอ่านข้อความนี้ดู "ทุกปัญหามีทางแก้ เพียงแค่เปลี่ยนทัศนคติของเรา ทัศนคติเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง เปลี่ยนทัศนคติของคุณแล้ว ชีวิตคุณจะเปลี่ยน"


เมื่อได้ยินข้อความนี้ คุณกำลังคิดอะไรอยู่
ทัศนคติคืออะไร คุณเคยสงสัย และตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่


ผู้เขียนเพิ่งได้รับข้อความนี้จากเพื่อนแดนไกล ส่งมาให้อ่านเป็นลักษณะเพาเวอร์พอยท์ดูสวยงาม


เมื่อเปิดอ่านจบแล้วเกิดคำถามขึ้นกับตัวเองที่ต้องนั่งทบทวน จริง ๆ แล้วทัศนคติมันมีผลทำให้ชีวิตเปลี่ยนจริง ๆหรือ เลยอยากแลกเปลี่ยนดัง ๆ ถึงใคร ๆ ก็ตาม


เป็นเรื่องเกี่ยวกับความคิดล้วน ๆ อย่างแรก เกิดคำถามว่า จริง ๆ แล้วตัวเองยอมรับความแตกต่างของคนได้มากน้อยแค่ไหน ความหลากหลายของสิ่งรอบกายเราทั้งที่เราเกี่ยวข้องและถึงแม้จะไม่เกี่ยวข้องโดยตรง ความเป็นมนุษย์ที่เป็นเด็ก เป็นผู้ใหญ่ หรือเป็นวัยไหน ๆ เป็นเพศอะไร ชาย หญิง และอื่น ๆ สถานะแต่ละท่านเป็นเช่นไร รวย จน ฉลาดมาก จนถึงฉลาดน้อย เชื้อชาติไหน ๆ หรือมีอาชีพอะไร เป็นคนที่อยู่นอกเมือง หรือในเมือง เป็นคนที่ถูกเรียกว่าด้อยโอกาส หรือมีโอกาส เป็นคนที่หน้าตาดีมากหรือน้อย เป็นคนที่มีรสนิยมดี หรือไม่ดี ….เกิดคำถามต่ออีกนิดหนึ่งว่าใครเป็นคนตัดสิน หรือให้คำนิยามในเรื่องเหล่านี้..มีเรื่องท้าทายต่อหรือไม่ว่าถ้าเราจะทำให้มันสมดุล คือให้มันเท่า ๆ กัน เราจะต้องเสียอะไรบ้างหรือได้อะไร หรือ..อาจต้องแลกกับอะไร


อันต่อมาเป็นเรื่องการมองคนแบบเหมารวม จะมีใครรู้สึกขึ้นมาบ้างสักครั้งในชีวิตหรือไม่ ว่าวันหนึ่ง ๆ เราเหมารวมพฤติกรรมใด ๆ ของคนที่เราพานพบในแต่ละวันแล้ว วันละกี่คน อะไรทำให้เราคิดเช่นนั้น และพฤติกรรมนั้น ๆ ทำให้เราตัดสินถูก ผิด ชี้ดี ชี้ชั่วไปแล้วใช่หรือไม่ คิดว่าคนเหล่านั้นเขาจะรู้สึกเช่นไร


เราเคารพความต้องการของเรา คนที่ทำงานกับเรา คนที่เป็นเพื่อนเรา แฟนเรา หรือคนที่เราเดินไปพัวพันแค่ไหน และเรารู้ว่าสิทธิของเราและสิทธิของบุคคลเหล่านั้น จริง ๆ แล้วก็คล้าย ๆ กัน จนเกือบจะเป็นเรื่องเดียวกัน จะต่างก็ตรงที่เราเป็นเรา และเขาก็คือเขา เราจะคิดถึงตรงนี้หรือเปล่า


เมื่อใดก็ตามที่การตัดสินใจเกิดขึ้น ไม่ว่าการตัดสินใจนั้นจะเกิดขึ้นบนฐานของความรู้สึกนึกคิดของเราเอง หรืออยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่มีอย่างรอบด้านแล้ว เราพร้อมที่จะยอมรับ และรับผิดชอบผลที่ตาม มาของการตัดสินใจนั้น ๆ ได้หรือไม่ อย่างไร


ในฐานะที่เราเป็นเรา คือตัวตนของเราเราเห็นหรือตระหนักจะที่มองเห็นในความเป็นธรรมชาติ การดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ ได้มากน้อยแค่ไหน เพราะเมื่อเรารู้ว่าความรู้สึกไหนมันเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เราจะได้ไม่เข้าไปใช้พฤติกรรมเหมารวมว่าสิ่งที่เป็นธรรมชาตินั้น ๆ เป็นสิ่งที่เป็นปัญหามากมาย และใช้เวลามากมายทรัพยากรจำนวนมหาศาลในการแก้ปัญหาที่ใคร ๆ อาจจะไม่เห็นว่าเป็นปัญหา ซึ่งแทนที่เราจะมองแบบเข้าอกเข้าใจ และเพิ่มเติมข้อมูลในการจัดการอย่างรอบด้าน โดยปราศจากการตัดสินแทนมันน่าจะดีกว่าหรือไม่ แล้วมันจะเป็นอย่างไร


ในวันหนึ่ง ๆ เรากล้าหรือไม่ที่จะบอกว่าเราชอบหรือไม่ชอบอะไร คงไม่ใช่ที่จะต้องบอกไปในทุก ๆ เรื่องแต่ประเด็นที่สำคัญคือ ในฐานะที่เราต้องเกี่ยวข้องกับผู้คนหลายร้อยพัน ตั้งแต่เกิด จนกระทั่งสิ้นสุดของชีวิต เราได้บอกความต้องการของเราเองกับผู้อื่นและที่สำคัญเราได้ทำในสิ่งที่เราต้องการนั้นสักกี่ครั้งในชีวิต


จนกระทั่งท้ายที่สุด เราได้จัดการให้ความเป็นธรรมชาติของเราบางอย่างที่มันเริ่มออกนอกรีตนอกรอย ให้เข้าที่เข้าทาง โดยใช้ข้อมูลที่เรามีอยู่อย่างรอบด้านได้จริง ๆ หรือไม่ อะไรจะพิสูจน์


และถ้าพูดถึงข้อมูลที่มีอยู่อย่างรอบด้านก็เกิดคำถามต่อว่า ทุกวันนี้เรามีข้อจำกัดในการรับข้อมูลที่ว่านั้นหรือไม่ หรือเรามีทางเลือกมากน้อยแค่ไหนที่จะเลือกรับ หรือไม่รับข้อมูลอะไร การจำแนกแยกแยะ และจัดระบบข้อมูลเหล่านั้นให้เข้าที่เข้าทาง เราทำได้หรือไม่ และเรามั่นใจแล้วใช่หรือไม่ว่าการเลือกข้อมูลเหล่านั้น ปราศจากความกดดันหรือผู้อิทธิพลต่อความคิดนั้น ๆ มายัดเยียด เพียงแค่เหตุผลที่ว่า ตัวเราเหมารวมว่าบุคคลท่านนั้น คือผู้รู้ จริง ๆ แล้วใครล่ะคือผู้รู้


จริง ๆ แล้วเรื่องทัศนคติ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเราจริง ๆ ใช่หรือไม่ เราที่เป็นตัวเราจริง ๆ ซึ่งไปเกี่ยวข้องในฐานะที่เรามีทางเลือกที่หลากหลาย จนนำไปสู่วิถีปฏิบัติบนฐานเรื่องการยอมรับความแตกต่าง การสร้างสัมพันธภาพ และพัฒนาสัมพันธภาพ การทบทวนโดยใช้ข้อมูลที่เรามีอยู่เป็นฐาน การยอมรับ การเปิดใจกว้าง และการสร้างทางเลือกให้ผู้อื่น และที่สำคัญการไม่ตัดสิน เพียงเพราะเราเชื่อว่า…..เพราะความเชื่อมักจะตามมาด้วยการเหมารวมอยู่เสมอ ๆ จริงหรือไม่


มีอีกเรื่องที่ผู้เขียนกำลังคิดต่อเกี่ยวกับพฤติกรรมบางอย่างที่เป็นผลมาจากทัศนคติ ซึ่งถ้าอ่านมาตั้งแต่ต้นจะเห็นว่ามันเกี่ยวข้องกันอย่างไร จากประสบการณ์ตรง ทัศนคติของเรานั้นส่งผลโดยตรงต่อพฤติกรรมบางอย่าง อันนี้เห็นจะเป็นเรื่องจริง


มาถึงตรงนี้ เอาเข้าจริง ๆ แล้ว ทัศนคติก็คงไม่ใช่แค่การอธิบายความหมายได้ตามพจนานุกรมเท่านั้น หรืออะไรที่มากกว่านั้น ณ เวลานี้ ผู้เขียนรู้ว่ามันอธิบายหรือเป็นได้มากกว่าความคิดที่ผ่านมา ผ่านไป แต่ต้องใช้เวลาทบทวน และคงจะต้องคิดกับมันอย่างเอาจริงเอาจัง อย่างหนึ่งคงต้องยอมรับว่าการเปลี่ยนพฤติกรรม ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แม้จะเปลี่ยนได้แต่ต้องใช้เวลา และมีความพยายามอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างเอาจริงเอาจัง


หรือผู้เขียนจะเริ่มต้นด้วยความรู้สึกหรือทัศนคติที่ว่า "เราทำได้ เราต้องทำได้" ก็น่าจะเป็นการเริ่มต้นที่ไม่เสียหายอะไร หรือคุณคิดอย่างไร :o)