บือโส่โจ๊ะ ดอยข้าวลีบแห่งป่าสนวัดจันทร์
คอลัมน์/ชุมชน
ท่ามกลางผืนป่าสนกว้างใหญ่หลายหมื่นไร่ ณ ป่าสนวัดจันทร์ หรือป่าสนมูเส่คี หรือมูเจ่คี
ตามภาษาปวาเก่อญอซึ่งเป็นดินแดนต้นน้ำแม่น้ำแจ่ม เป็นที่ตั้งรกรากของชาวปวาเก่อญอ กว่ายี่สิบหมู่บ้าน
หากใครมีโอกาสได้ไปเยือนมูเจ่คี ดินแดนป่าสนวัดจันทร์ จะมองเห็นดอยบือโส่โจ๊ะ หรือ ดอยข้าวลีบ ปรากฏให้เห็นเด่นชัด เนื่องจากเป็นดอยที่สูงสุดในมูเจ่คี
เหตุใดเล่า ? ถึงมีนามว่าดอยข้าวลีบ บือโส่โจ๊ะของคนมูเจ่คี
ผู้เฒ่าบูหน่า แห่งบ้านกิ่วโป่ง เล่าให้ผมฟังว่าชื่อ บือโส่โจ๊ะ หรือ ดอยข้าวลีบนั้นมีที่มาที่ไป เพราะว่าวิถีชีวิตคนปวาเก่อญอนั้น จะทำไร่หมุนเวียน ชื่อก็บอกว่าเป็นไร่หมุนเวียน หมายถึง ไม่ทำซ้ำที่เก่า และไม่หมุนไปที่ใหม่ แต่จะหมุนเวียนในพื้นที่รอบ ๆ ที่เคยทำอยู่
โดยรอบของมันมีเจ็ดถึงเก้าปีขึ้นไป ในพื้นที่มูเจ่คีเอง มีพื้นที่หลายแห่งที่ไม่สามารถทำไร่หมุนเวียนได้ เช่น ป่าต้นน้ำ ป่าช้า ป่าหัวไร่ ปลายนา ซึ่งถือว่าเป็นป่าหวงห้ามของชุมชน ใครเข้าไปถางจะได้รับโทษ จะมีโรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้นจะมีภัยพิบัติเกิดขึ้นแก่หมู่บ้าน
"บริเวณนั้น มีดอยอยู่ลูกหนึ่งเหมาะที่จะทำไร่หมุนเวียนมาก แต่ผู้เฒ่าผู้แก่กลับบอกว่า อย่าเสียเวลาเลย เพราะดอยลูกนี้ ปลูกข้าวไม่ดี เมล็ดข้าวลีบ คนก็เลยไม่ไปทำไร่ตรงบริเวณดอยบือโส่โจ๊ะ เพราะทราบกันดีว่าเม็ดข้าวลีบ เลยตั้งชื่อดอยลูกนี้ว่า ดอยบือโส่โจ๊ะ หรือดอยข้าวลีบ" ผู้เฒ่าบูหน่า เล่าให้ฟัง
ผู้เฒ่าบูหน่า ยังเล่าต่อว่า ไม่มีใครเคยทำไร่ ที่ดอยบือโส่โจ๊ะ เลย และตั้งแต่เกิดมาก็ยังไม่เคยเห็นว่าเมล็ดข้าวจะลีบจริงหรือไม่ ไม่มีใครรู้
ชุมชนปวาเก่อญอในอดีตไม่มีกฎหมายปกครอง แต่จะใช้กฎจารีตประเพณี วิถีประชา สิ่งเหล่านี้คือเป็นบรรทัดฐานทางสังคมในการอยู่ร่วมกัน การเคารพธรรมชาติ เข้าใจผลกระทบจะเกิดขึ้นหากกระทำสิ่งใดลงไป จึงทำเกิดข้อห้ามต่าง ๆ ขึ้นมามากมายในสังคมปวาเก่อญอ ผลของการละเมิดข้อห้ามเหล่านี้ คนในชุมชนรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้น การกระทำละเมิดข้อห้ามบางครั้งถึงแม้ไม่มีใครรู้เห็น แต่ผลที่เกิดขึ้นกับคนที่ละเมิด ทำให้ต้องมีการสารภาพออกมา แต่เมื่อมีการละเมิดแล้ว ใช่ว่าไม่มีทางออก
"ฟ้าไม่พ้นเมฆ คนไม่พ้นความผิด" ภาษิตคนปวาเก่อญอว่าไว้ หมายความว่า คนเราเกิดมาย่อมผิดได้ เมื่อผิดได้ก็ต้องยอมรับแล้วแก้ไข ไม่ใช่แก้ตัว
การแก้มีหลายวิธีแล้วแต่กรณี เช่น ปวดเข่ามากจนเดินไม่ไหว ต้องเอาไก่ตัวผู้สีแดงไปเซ่นไหว้ เป็นการแก้ไข หากไม่แก้อาจจะมีผลถึงชีวิต ข้อห้ามเหล่านี้ เป็นตัวควบคุมพฤติกรรมของคนในชุมชนโดยไม่ต้องไปสอดแนมในต้นน้ำหรือที่หวงห้ามแต่ละแห่งว่าใครจะฝ่าฝืน
ครั้นเมื่อป่ามูเจ่คี ถูกประกาศเป็นเขตป่าสงวน!!
การทำไร่หมุนเวียนกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
ชุมชนจึงต้องบุกเบิกที่ดินเป็นผืนนา เพื่อให้กลายสภาพเป็นพื้นที่ทำกินถาวร และหันมาเพาะปลูกในสวนในนาเป็นการถาวร
"คนที่มีที่นาก็สบาย แล้วคนที่ไม่มีที่นาจะไปปลูกข้าวที่ไหน?"
ชาวบ้านหลายคนสะท้อนออกมาให้ฟัง ยิ่งเดี๋ยวนี้ ทางการพยายามเข้าไปส่งเสริมให้ชาวบ้านให้ปลูกผลไม้เมืองหนาว เช่น บ๊วย พลับ สาลี่ ฯลฯ แทนการทำไร่หมุนเวียน
ย้อนกลับไปเมื่อสองสามปีที่ผ่านมา สายตาคนมูเจ่คีทุกคู่ เหม่อมองไปยังดอยบือโส่โจ๊ะ พร้อมกับคำถามเกิดขึ้นมากมายในหัว
มันเกิดอะไรขึ้นกับบือโส่โจ๊ะ กับคนมูเส่คี!!
หลายคนเริ่มมองคล้าย ๆ กัน มองเห็นบาดแผลเกิดขึ้นที่บือโส่โจ๊ะ เป็นรอยแผลสดที่เกิดจากการถากถางป่าฟันไร่เพื่อปลูกข้าว
วาติ เจ้าของไร่ที่บือโส่โจ๊ะ เขายังทำไร่บริเวรบือโส่โจ๊ะ ต่อไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่สิ่งที่เขาพูดออกมานั้นน่าสนใจ...
"เฮาไม่มีที่นาสำหรับปลูกข้าว ไม่มีสวน บริเวณบ้านก็ไม่พอสำหรับปลูกข้าว ในรั้วบ้านมีต้นสาลี่เพียงห้าต้น ต้นพลับเจ็ดต้น ต้นบ๊วยห้าต้น"
"เฮาไม่มีเงินซื้อปุ๋ยมาใส่ ไม่มีเงินซื้อสารเร่งให้ลูกโตออกมาเยอะ ๆ เมื่อลูกหิวข้าว มันถามหาข้าว มันไม่ถามหาเงิน ไม่ถามหาสาลี่ บ๊วย หรือพลับ เฮาก็เลยต้องหาที่ทำไร่เพื่อปลูกข้าว" วาติ เอ่ยครวญไปมาอยู่อย่างนั้น
"ก็ดอยข้าวลีบมันปลูกข้าวไม่ได้ เม็ดข้าวจะลีบ คุณก็รู้ไม่ใช่หรือ" ใครคนหนึ่งเอ่ยถามเขา
"เฮารู้แต่ฉันคิดว่า เจ้าป่าที่ดอยข้าวลีบคงจะเข้าใจและเห็นใจ เฮาทำแค่ปีเดียวเหมือนคนโบราณเขาทำไร่เมื่อก่อน" เขาพยายามอธิบาย
ชาวบ้านคนอื่น ๆ ได้ฟังแค่นี้ก็เข้าใจและไม่ถามอะไรเพิ่มเติม เพราะทุกคนต่างรู้และเข้าใจ เชื่อใจในวิถีการทำมาหากินของกันและกัน
ใช่ ไร่หมุนเวียนเขาไม่ทำซ้ำที่เดิม
แน่นอน สิ่งที่ทุกคนรับรู้ถึงปัญหาชัดเจนว่า สุดท้ายแล้ว ทุกคนก็ต้องกินข้าว เมื่อลูกหิวข้าว และร้องไห้ ก็ต้องเอาข้าวให้ลูกกิน
"เฮาเปลี่ยนจากไร่หมุนเวียนมาเป็น สวนเชิงพาณิชย์ ปลูกผลไม้เมืองหนาว แต่บ้านเฮาก็ไม่หนาวพอ ก็เลยต้องใช้ปุ๋ย ใช้ยา ต้องใช้เงินซื้อ ไม่มีเงินซื้อ ผลผลิตของเฮา ก็ไม่ได้ขนาดตามที่พ่อค้าต้องการ เขาก็ไม่ซื้อของเฮา ถึงเฮาขายได้ สุดท้ายเฮาก็ต้องเอาเงินไปซื้อข้าวอีกที" นั่น, เป็นเสียงครวญของคนมูเจ่คี
เมื่อมาถึงห้วงยามนี้ ทุกคนกำลังย้อนมองการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวเองอีกครั้ง
เมื่อเป็นอย่างนี้ ทิศทางการพัฒนาของชุมชนจะเป็นอย่างไรในอนาคต
ลูกหลานของเราจะอยู่อย่างไร เหลนของเราจะกินอย่างไร
เมื่อเราต้องพึ่งพาปัจจัยภายนอก มากกว่าพึ่งพาตนเอง
ไก่ป่าขันเรียกไก่บ้าน แผ่นดินไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว