Skip to main content

จดหมายรักระหว่างเพื่อน 3 : เราคงได้พบกันอีก

คอลัมน์/ชุมชน

 


คืนนี้ ฉันนอนอ่านบทกวีของ ‘หลี่ไป๋’ เพียงคนเดียวในความเงียบงัน



เดือนกระจ่าง


ทอแสงนวลอ่อน


ทาบพื้นห้อง


ใกล้กับแคร่นอนของฉัน


ถูกทาบทับ


ด้วยเกล็ดหิมะขาวละมุน


ความงามของจันทร์แจ่ม


ฉุดให้ฉันต้องช้อนตาขึ้นชม


วงกลมที่สุดสกาวนั้น


 


บทกวีของหลี่ไป๋ ดึงใจฉันล่องลอยสู่ดินแดนไกลโพ้น


 


เคยมีแสงจันทร์เช่นกัน เป็นคืนเดือนหงายที่ฉันและเพื่อนพากันเดินลงจากภูเขา ซึ่งเราขึ้นไปนมัสการพระธาตุ เทศกาลลอยกระทง


 


ฤดูหนาวเดือนพฤศจิกายน รวงข้าวสุกส่งกลิ่นหอมละมุน ยามถูกแสงจันทร์สีเงินอาบ ก็เปล่งปลั่งเป็นประกายสุดตา


 


ไกลแสนไกล จรดทิวเขาทึมเทาเหยียดตัวหลับใหล


 


ฉันและเพื่อนเดินร้องเพลงประจำเทศกาลลงมาด้วยกัน ก่อนต่อด้วยเพลงที่เอ่ยชมแสงจันทร์ เพลงนั้นขึ้นต้นอย่างไพเราะว่า…


"งามแสงเดือนมาเยือนส่องหล้า..."


 


ทางเบื้องหลังของเรานั้น ในคืนนั้น เต็มไปด้วยเสียงพลุที่ถูกจุดพุ่งสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า แตกกระจายหลากสีสวยงาม


 


เสียงเพลงสรวลเสเฮฮาแว่วตามหลังมาให้ได้ยิน ด้วยบนภูเขานั้นมีวัด และรอบวัด เต็มด้วยผู้คนมากมายที่มาร่วมทำบุญ ร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลนักขัตฤกษ์ อย่างสนุกสนานร่าเริง


 


แต่ในคืนนี้...ฉันคงมีเพียงแสงจันทร์จากบทกวีของหลี่ไป๋เท่านั้นเป็นเพื่อน เพราะข้างนอกนั้นคือไฟสว่างจ้าจากหลอดนีออนสว่างไสว


ไฟซึ่ง...บดบังแสงเลือนรางของดวงดาวจนหมดสิ้น


ในห้องเช่าคับแคบ  เต็มไปด้วยกองหนังสือมหาศาล อันเป็นสมบัติมีค่าเพียงสิ่งเดียวที่ฉันมีอยู่ นอกเหนือจากสัมภาระส่วนตัวอีกเล็กน้อย


 


ฉันเคยวาดรูปดวงจันทร์กับภูเขา ปิดไว้บนผนัง แต่ในเวลานี้...สีสันเหล่านั้น ก็ซีดจางลงตามกาลเวลา


มองออกจากหน้าต่างที่เปิดไว้ ฉันแลเห็นเพียงความว่างเปล่า


ขณะที่บทกวีของหลี่ไป๋ ยังคงกระซิบกระซาบ รำพัน


ช่างเหมือนกับใจของฉันนัก


 


นอนยลเดือนงามจนม่อยหลับ


แล้วในห้วงภวังค์แห่งนิทรานั้น


ฉันก็ฝันไปว่า


ตนเองกำลังชื่นสุข


อยู่ท่ามกลางความอบอุ่น


แห่งไมตรีจิต


ของพี่น้องญาติมิตร


ณ บ้านเกิด



                                                 


นั่นเป็นหนึ่งในบันทึกส่วนตัวของฉัน ที่ภายหลังนำมาตีพิมพ์ในนิตยสารที่ฉันมีโอกาสเข้าทำงาน


 


"มีโอกาส" คงต้องใช้คำนี้ เพราะไม่ว่าเวลาจะผ่านมานานเท่าใด ฉันก็ไม่เคยลืมว่า "แต่เธอ...ไม่มีโอกาส"


 


ฉันตั้งชื่อบันทึกตอนนี้ว่า "คืนเดือนกระจ่าง" มีหมายเหตุข้างท้ายเล็กน้อยว่า


"หลี่ไป๋ - เป็นกวีเอกโบราณของจีน มีชีวิตอยู่ในช่วงที่ราชวงศ์ถังกำลังสืบอำนาจปกครอง


เกิดเมื่อ พ.. 1144 และเสียชีวิต เมื่อ พ.. 1205"


 


และมีตัวอักษรเล็ก ๆ เขียนกำกับไว้บนหัวกระดาษว่า


เขียนเมื่อ  2535, เดือนกรกฎาคม วันเกิดของวรางคนางค์ วันเกิดของแม่,


วันที่พวกเราต่างอยู่ห่างกัน...แสนไกล, รำลึกถึงคืนลอยกระทง 2529


 


ฉันคิดว่า เธอเองคงไม่มีวันลืมบรรยากาศในคืนนั้น


 


คืนที่เราเดินเท้าลงจากภูเขา ระยะทาง 2 -3 กิโลเมตร กว่าจะกลับถึงหมู่บ้าน ขนาบข้างด้วย เพลิน กับ ชีวัน เด็กชายตัวน้อย ที่ใฝ่ฝันกันนักหนาว่าจะเป็นผู้หญิง


เราร้องเพลง กอดคอ จับมือ เหมือนจะชดเชยให้กับวันเวลาที่จากกัน


และให้กับวันข้างหน้า ที่ไม่รู้ว่า เราจะต้องจากกันอีกเมื่อไหร่


           


จดหมายของเธอ บันทึกของฉัน ทำให้เราตระหนักถึงความไม่แน่นอนของชีวิตเสมอ


 





1 เมษายน 2529


เพื่อนรัก


 


ตอนนี้ทำอะไรอยู่จ๊ะ ฉันได้รับจดหมายเธอหลายวันแล้ว แต่ไม่ได้ตอบ ขอโทษนะที่ตอบช้า


เพื่อนรัก...เธอจะรังเกียจฉันหรือไม่ ถ้าเธอได้เห็นสภาพของฉัน โดยที่เธอไม่เคยคิดว่าฉันจะทำอย่างนั้น ฉันจะไม่บอกนะว่าฉันทำอะไร เอาไว้ให้เธอเห็นก่อนดีกว่า ฉันมีเหตุและผลพอที่จะอธิบายให้เธอเข้าใจ แต่...ถึงอย่างไร เธอคงพอจะเข้าใจฉันดีกว่าคนอื่น ๆ


 


ฉันคิดถึงเธอมากนะ อยากมีเธอช่วยปลอบใจฉัน ยามที่ฉันเหงา...ทุกข์...และขมขื่น ฉันไม่มีใคร ๆ อย่างที่เธอคิดหรอกนะ ถึงจะมีเพื่อน ๆ และ...แต่เขาเหล่านั้น ก็ไม่เคยเข้าใจในความรู้สึกเท่าตัวเราเอง


 


สงกรานต์ ฉันคงไม่มีโอกาสได้เที่ยวกับเธอเสียแล้ว เพราะหลายสิ่งหลายอย่าง ถ้าถึงวันนั้น เธอจะรู้เอง


เธอยังดี แต่ก็คงไม่ดีไปกว่าฉันเท่าไหร่ ความรู้สึกของฉันตอนนี้มันเจ็บลึก ลึก เกินกว่าจะถ่ายทอดความรู้สึกเหล่านั้น ออกมาให้เธอรับรู้ได้


 


.........................


 


บางครั้ง ฉันอยากแสวงหา สิ่งที่ทดแทนความเงียบและว่างเปล่า ตอนนี้ ชีวิตของฉันกำลังเดินขึ้นสู่ความละอาย และไม่ค่อยดี


สภาพแวดล้อม เงิน และปัญหา ทำให้ฉันคิด ทำให้ฉันกล้า และทำลงไปในที่สุด ฉันรู้ตัวเองดี ฉันคงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ในสายตาของหลาย ๆ คน แต่ส่วนน้อย ฉันจะเป็นคนดี สำหรับคนที่เขารักและหวังดีเช่นเธอ


ฉันไม่แคร์ใคร ๆ นอกจากเธอ และ ยุทธ


 


ที่รัก...สัญญาได้ไหมว่า เธอจะรัก เธอจะเป็นเพื่อน ที่เข้าใจฉันตลอดไป


เธอจะไม่รังเกียจคนที่ไร้หนทางอย่างฉัน ฉันหวาดหวั่นเหลือเกินว่า วันข้างหน้า ฉันจะไม่มีเธอ ไม่มียุทธ และเพื่อนที่เข้าใจฉันอีก


แม่ของฉันก็ทุกข์ทรมาน พี่ชายของฉันเงียบหายไปตั้งหลายเดือน ไม่ทราบว่าจะมีสภาพเป็นอย่างไร อยู่ไหน


 


อยู่ที่นี่ พ่อ แม่ ทะเลาะกัน อย่างไม่นึกถึงใจฉันบ้าง มึง ๆ ฮา ๆ อวดเก่ง อวดใหญ่ ฉันอาย ฉันสงสารแม่ของตัวเอง อยากหนีจากที่นี่ไปให้พ้นๆ แม่ พ้นสภาพที่ขมขื่น


ฉันอยากตาย อยากหนี อยากทำอะไรที่มันบ้าๆ ไปเลย ถ้าไม่มีแม่ น้อง เธอ และยุทธ คอยเตือนฉัน ฉันคงทำอะไรที่ใจตัวเองปรารถนาไปแล้ว


 


คิดๆ แล้ว มันน่าอดสู เบื่อหน่าย และเศร้าหมองนะ ชีวิตของแต่ละคนนี่ มันไม่มีสิ่งที่แท้และแน่นอนเลย


ดึกแล้ว 10.30 . แล้ว จบเพียงแค่นี้ก่อนนะที่รัก


 


อยากให้เธอสมหวังในชีวิตมาก ๆ


รัก ห่วง และอาทรเธอเสมอ


วรางคนางค์


 


(พยายามเข้าใจฉันให้มากกว่าที่ผ่านมานะที่รัก เลอะและยุ่งมาก ง่วงนอนด้วย ช่วยอ่านทุกตัวอักษรนะ)


* อ้อ อยากไปทำงานร้านอาหารหรือเปล่า ยุทธเขาจะติดต่องานให้ ที่เชียงใหม่นี่แหละ เขาเอาเกียรติลูกผู้ชายเป็นประกัน ฉันบอกเขาว่ารอปรึกษาพ่อแม่ก่อน บางทีจะชวนเธอไปด้วย ตอนนี้ยังไม่ได้รับคำตอบจากเขาเลย อยากเปลี่ยนงานมั่งรึเปล่า ถ้าเธอไม่ไป ฉันไม่ไปนะ เพราะแม่ไม่อยากให้ไป ตามใจเธอนะ ตอบด้วย


 


10 เมษายน 2529


ริมใต้, แม่ริม



ฉันนอนไม่หลับเอาเสียเลย หลายคืนมานี้ จิตใจพะวงบอกไม่ถูก คิดถึงจดหมายที่ได้รับ


วรางคนางค์ที่รัก...ฉันเองก็ยังตัดสินใจไม่ถูก อยู่ที่นี่ ชีวิตอาจจะดีกว่าหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา งานไม่หนักมากนัก แต่ก็ขาดอิสระ


 


"อิสระ" คำ ๆ นี้ ช่างมีความหมายเหลือเกิน ดูเหมือนว่าชีวิตของเรา เฝ้าใฝ่ฝันแต่อิสระ


เธอคงยังจำได้ วันที่เรานั่งบนสนามหญ้าหน้าศาล ดูคนเขาเตะฟุตบอลเล่นกัน เราคุยกันว่า ถ้าเรามีเวลาว่างเพิ่มกันอีกสักคนละชั่วโมง เราคงจะมีความสุข เราอยากมีเวลาวาดรูป อ่านหนังสือ หรือไปไหน ๆ ตามใจเราบ้าง


ไม่ใช่จะไปไหน ก็ต้องขออนุญาต รอคำอนุญาต บางครั้ง ก็เจอคำถามมากมาย ที่ทำให้เราอยากออกไปให้พ้น ๆ จากที่เราอยู่


ทำไมคนเราเหมือนกัน ถึงช่างแตกต่างกันเหลือเกิน


ทำไม คนที่ร่ำรวย มีโอกาสเรียนมาก ๆ มีหน้าที่การงานดี พวกเขาถึงไร้น้ำใจ ปฏิบัติกับพวกเรา เหมือนเราไม่ใช่คนเหมือนกัน


 


วันนี้ ฉันก็ถูกว่าอีกแล้ว เมื่อคืนนี้มีงานเลี้ยง มีเล่นไพ่กันด้วย ฉันต้องทำข้าวซอยหม้อใหญ่ ทำกับแกล้ม ขนม แล้วก็ไม่พอ ไม่ทันใจเขา จานชามต้องเก็บต้องล้าง เยอะแยะไปหมด ไหนจะต้องรีดผ้า ดูดฝุ่น เปลี่ยนน้ำตู้ปลา


ฉันเหนื่อยมาก ๆ แต่ก็ยังไม่เสียใจ เท่าถูกเขาว่า


"ทำงานให้มันดีๆ หน่อย ไม่คุ้มเงินเดือนจะส่งกลับ คนอยากอยู่บ้านสบายๆ ยังงี้มีเยอะแยะ"


 


นึกๆ ฉันก็อยากออกจากบ้านหลังนี้ไป แต่เขาก็บอกว่า ถ้าอยู่ไปครบปีจะขึ้นให้อีกร้อยนึง ถ้าได้ 600 บาท ฉันจะได้มีเงินเหลือบ้าง อยากไปซื้อสมุดมาไว้เขียนบทกวีแทนเล่มเก่า


ถ้าเราไปทำงานอย่างที่ยุทธเขาบอกมา มันจะดีไหมหนอ ? ชีวิตคนไม่แน่นอนจริงๆ เสียด้วย


คิดถึงบทกวี ในหนังสือ "น้ำค้าง" ของ สมภาร พรมทา ที่ให้วรางคนางค์ไป เธอจะจำได้ไหมนะ


 


เจ้านกขมิ้นเหลืองอ่อน


ค่ำแล้วจะนอนแห่งไหน


ฟ้าทะมึนครืนครั่นน่าหวั่นใจ


เรายังโบกบินไป...ไร้รวงรัง


 


บนฟากฟ้ากว้างไกลเจ้าไร้เพื่อน


กลางพงเถื่อนพฤกษ์ไพรเจ้าไร้หวัง


ดวงใจเล่าก็อ่อนล้าพะว้าพะวัง


เวิ้งว้างดังโลกนี้มีเจ้าเดียว


 


หนาวไหมจ๊ะ...นกน้อย


ยามเจ้าลอยล่องผ่านน่านฟ้าเขียว


ขอบฟ้ากว้างร้างไร้ใครท่องเทียว


คงเปล่าเปลี่ยว เหว่ว้า และอาวรณ์


 


ดึกดื่นคืนค่ำลมฉ่ำแผ่ว


หริ่งหรีดกรีดแว่วเคล้าลมอ่อน


พิรุณพร่ำพรำพลิ้วมารอนรอน


เจ้ายังจรแรมร้างอยู่ห่างไกล


 


นกน้อยเอย...


เจ้าเคยแคลงคลางบ้างไหม


ว่าที่สุดของชีวีอยู่ที่ใด


มีหรือไม่สิ่งเรียกฝันนิรันดร


 


ชีวีนี้เหนื่อยนัก


เมื่อไหร่เจ้าจะได้พักคลายล้าอ่อน


ฟ้ารุ่งรางสว่างแซมทิฆัมพร


เจ้าขมิ้นเหลืองอ่อนยังโบกบิน


 


จาริก


วันที่ไร้อิสรภาพ และต้องการอย่างเหลือเกิน


        





 


เพื่อนรัก



วันนี้…ฉันยังคงเหงาอยู่เช่นเดิม


ท้องทุ่งเหลืองอร่ามด้วยรวงข้าว เธออาจจะยังคงไม่รู้


ว่ามีใครคนหนึ่ง ถวิลหา ระลึกถึง จากส่วนหนึ่งที่ลึก - ลึก และมั่นคง


 


ดวงตะวันใกล้ลับไป…เธอคงจะสนุกกับการมีเพื่อนอยู่รายล้อมตัว


เธอคงจะมีความสุข…


คงจะไม่มีจิตใจหวนนึกถึงใครบางคน


ที่คอยรอการกลับมาของเธอด้วยความหวังอย่างมีค่า


ฉันเดินอย่างโดดเดี่ยว


วันนี้ที่ผ่านมาหลาย - หลายวันจนนับไม่ได้


ช่างไม่มีอะไร - อะไร เช่นวันเก่าก่อน


 


นึกย้อนมองภาพอดีต


ฉันเคยมีเธอเดินเคียงคู่…โอบอุ้มหัวใจดวงน้อย ๆ ของฉันไว้


…………………


…………………


ดอกหญ้าสีเทานุ่มเปื้อนฝุ่นที่อยู่ข้างหน้า พัดพลิ้วตามสายลมแรง


มันคงจะไร้ค่ามาก - มาก แม้จะมีใครหลายคนเข้าใกล้ ก็แ