Skip to main content

หลากอารมณ์ในเวียดนาม 1 : คู่แข่งคนสำคัญ

คอลัมน์/ชุมชน

1


 


ในช่วงเย็นของวันที่ 4 ธันวาคม ที่ผ่านมา เดินทางเข้ามาในที่โรงแรมแห่งหนึ่งในนครดานัง ของเวียดนามเพื่อเช็คอิน พนักงานต้อนรับสาวสองคนยืนอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์ คนหนึ่งร้องขอหนังสือเดินทาง (passport) ตามปกติของการเช็คอิน  ทันที่ที่เห็นว่าเป็นไทยพาสปอร์ต พนักงานสาวอีกคนก็ร้องขึ้นอย่างอารมณ์ดีด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงเวียดนามว่า "Oh, you are from Thailand. See you this evening" (อ๋อ มาจากประเทศไทยหรือ เจอกันเย็นนี้)


 


โดยที่ไม่ได้ปล่อยให้งงอยู่นาน สาวรีเซฟชั่นคนเดิมก็บอกว่า เวียดนาม ไทยแลนด์ ฟุตบอล ซีเกมส์ ไฟน่อล ทูเดย์ ว่าแล้วก็ถึงบางอ้อ วันนี้เป็นวันชิงชนะเลิศฟุตบอลซีเกมส์ ระหว่างทีมไทยกับทีมเวียดนาม ที่คนเวียดนามตั้งหน้าตั้งตารอคอยเรียกว่าแทบจะปิดประเทศได้เลยในขณะที่มีการแข่งขัน  ก่อนที่จะหยิบกุญแจเดินขึ้นห้องพักไปจึงบอกกับสาวคนนั้นว่า หวังว่าเวียดนามจะชนะนะ เธอก็ตอบว่า ขอบคุณ


 


เรื่องฟุตบอลไทยกับเวียดนามนั้นนับเป็นประเด็นอย่างยิ่ง และนับเป็นการแบกภาระอันใหญ่หลวงที่ต้องมาใช้ชีวิตอยู่ที่เวียดนามหากมีการแข่งขันฟุตบอลระหว่างไทยกับเวียดนาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งนัดนี้ถือเป็นนัดศักดิ์ศรีและนัดสำคัญยิ่งสำหรับชาวเวียดนาม  ดังนั้น การมาอยู่ที่นี่ในวันนี้จึงเป็นความกังวลใจอย่างยิ่งว่า ไทยควรจะแพ้หรือจะชนะดี  ในฐานะคนไทยก็อยากจะให้ไทยชนะอยู่แล้ว แม้ว่าจะไม่ได้สนใจในเรื่องฟุตบอลเลยก็ตาม แต่ก็เกรงว่า หากไทยชนะจริง เกิดมีแฟนบอลบ้าระห่ำแบบหลายประเทศแบบบอลแพ้คนไม่แพ้จะทำอย่างไรดี หากต้องออกไปไหนต่อไหน แล้วคนว่าบอกว่าเป็นคนไทย จะโดนอะไรบ้างไหมนี่


 


แต่หากเวียดนามชนะ การเฉลิมฉลองแบบบ้าระห่ำโดยการปิดเมืองฉลอง บิดรถมอเตอร์ไซค์กันเสียงดังระงมตลอดทั้งคืนไปทั่วเมืองประหนึ่งว่าเกิดจลาจลก็เคยเห็นมาแล้ว และบรรยากาศชวนสยองมากกว่าสนุกสำหรับชาวต่างชาติ ดังนั้นแรกทีเดียวก็คิดว่าได้อย่างเดียวว่า ไม่ว่าเวียดนามจะแพ้หรือชนะ คนไทยอย่างเราคงแย่พอกันที่ดันไปอยู่ที่นั่นขณะนั้น แต่แล้วก็คิดต่อไปว่า ขอให้ไทยชนะแบบขาดลอยไปเลยก็แล้วกันจะได้ไม่มีปัญหา คือจะได้ไม่ต้องมีการฉลองแบบบ้าระห่ำให้เห็นและจะได้ไม่มีการกล่าวหาว่าไทยชนะเพราะฟลุ๊คหรือตุกติกกับกรรมการ


 


ผลออกมาตามคาดไทยชนะไป 3-0 คิดว่าเวียดนามคงเศร้าแต่ทำใจได้ที่ต่างชั้นขนาดนั้น แต่ตัวเองก็คิดว่าจะทำท่าอย่างไรดีที่จะไม่ให้พวกเขาเสียความรู้สึกหรือไม่รู้สึกว่าจะไปเยาะเย้ยที่เขาแพ้ เพราะอาจทำให้เขาโกรธแล้วอาจเป็นอันตรายกับตัวเองได้


 


หลังฟุตบอลจบ มีเจ้าหน้าที่จากฝ่ายต่างประเทศของเวียดนามมาพบเพื่อสอบถามเรื่องแผนการทำงานในดานังและฮอยอันใน 1 สัปดาห์ตามที่ขออนุญาตมา แต่พอเจ้าหน้าที่มาถึงคำแรกที่ได้กล่าวขึ้นมา ก็บอกว่า โอ๊ย ทีมไทย เก่งจริงๆ  เมื่อสักครู่ได้ดูมั้ยฟุตบอลซีเกมส์ ไทยชนะเวียดนาม ตั้ง 3-0 ไทยได้แชมป์อีกแล้ว และมีการต่อด้วยบทสนทนาเรื่องฟุตบอลกันอีกพักใหญ่ ว่าเวียดนามจะต้องใช้เวลาหรือจะต้องพัฒนาอีกมากแค่ไหนถึงจะสามารถคว่ำทีมฟุตบอลไทยลงได้


 


เป้าหมายของวงการฟุตบอลเวียดนามทุกวันนี้จึงอยู่ที่การเอาชนะทีมไทยให้ได้ก่อน พาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ในตอนเช้าก็เขียนว่า เป็นทีมไทยอีกแล้วที่ดับฝันการเป็นแชมป์ฟุตบอลของเวียดนามถึงสามครั้งซ้อน และทุกครั้งที่เจอผู้คนไม่ว่าจะเป็นวัยไหน เพศไหน หรือ อาชีพคนขับแท็กซี่ เด็กเสริฟ เจ้าของโรงแรม เจ้าของร้านอาหาร แม้กระทั่งคนหาปลา หลังจากที่รู้ว่าเป็นคนไทย ทุกคนก็จะพูดต่อด้วยคำว่า ไทยแลนด์ ฟุตบอล เวรี่กู้ด ทุกครั้งไป จนไม่รู้จะพูดต่อว่าอะไร ก็บอกว่า อ๋อ เหรอ พอดีไม่ได้ชอบดูฟุตบอล เพราะหากพูดไปว่าไทยไม่เก่งหรอก แต่ก็เพิ่งชนะเวียดนามมา เดี๋ยวจะดูเป็นการเยาะเย้ย แต่ถ้าหากบอกว่าเก่งจริงก็เกรงจะเป็นการโอ้อวดตัวจนเกินเหตุไป จึงทำได้เพียงบอกว่าไม่ได้ดู ไม่ชอบดูฟุตบอล


 


อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเวียดนามจะรู้สึกผิดหวังที่พ่ายแพ้ในครั้งนี้อยู่บ้างแต่บางคนที่มาคุยด้วย ก็ตอบว่า ไม่เสียใจมากหรอก เพราะเรารู้อยู่ว่าไทยเก่งกว่า  แต่ว่าคืนนั้นบรรยากาศทั้งเมืองดานังก็เงียบเหงาอย่างผิดปกติ


 


2


 


นี่คือหนึ่งตัวอย่างของอารมณ์การแข่งขันที่ชาวเวียดนามรู้สึกว่าจะต้องนำไทยให้ได้ แต่จริงๆ แล้วก็มีอยู่อีกหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการค้า การท่องเที่ยว เวียดนามล้วนแล้วแต่ต้องการที่จะขึ้นมาเทียบชั้นไทยให้ได้  เดิมทีเดียวเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้วในสมัยที่เข้าไปในเวียดนามใหม่ๆ รู้สึกค่อนข้างเบื่อๆ และออกจะรำคาญนิดที่คนเวียดนามชอบมาถามว่า เมืองไทยมีอันนั้น มีอันนี้มั๊ย   เอ๊ะ ทำไมชาวเวียดนามถึงอยากรู้นัก คงอยากจะแข่งขันกับไทยเอามากๆ และนึกมาตลอดว่า เวียดนามนี่เองที่เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของไทย


 


แต่แล้วพอไปรู้จักมากขึ้นและลึกซึ้งก็ทำให้วิเคราะห์ได้ว่า เอาเข้าจริงแล้ว เวียดนามนั้นคงไม่ได้คิดจะแข่งขันกับไทยหรอก แต่เป็นการพยายามที่จะแข่งขันกับตัวเองมากกว่า เพราะตามลักษณะของคนเวียดนามแล้วต้องการความเป็นเลิศอยู่พอสมควร มีวิธีคิดต่อประเทศไทยที่ต่างกันอยู่บ้างเล็กน้อยระหว่างเวียดนามที่อยู่ภาคเหนือกับภาคใต้ เพราะพวกภาคใต้นั้นเป็นนักธุรกิจ ทำให้รู้สึกว่าตอนที่เวียดนามปิดประเทศคบค้าเฉพาะคอมมิวนิสต์นั้นทำให้บ้านเมืองเจริญช้าลง จนทำให้แทนที่จะไปได้ไกลกว่านี้ตั้งนานแล้ว และแม้ประเทศไทยที่เคยเป็นรองก็ยังล้ำหน้าไปก่อนมากๆ


 


มีเพื่อนชาวเวียดนามจากไซ่ง่อน หรือโฮจิมินห์ ซิตี้ บอกว่า เมื่อ 40-50 ปีที่แล้ว ไซ่ง่อนเป็นเมืองใหญ่และทันสมัยมากในภูมิภาคนี้ ในขณะที่กรุงเทพฯ ยังเล็กๆ อยู่เลย แต่ปิดประเทศไปจนมาถึงตอนนี้ เปิดอีกทีก็พบว่า แค่สนามบินดอนเมืองก็ทิ้งไปจนไม่เห็นฝุ่นแล้ว เขายังบอกด้วยว่า เสียดาย ไม่น่าปิดประเทศเลย


 


ในขณะที่คนภาคเหนือและภาคกลางไม่ค่อยจะมีความรู้เรื่องเมืองไทย หรือคนไทยมากนัก  ดังนั้น เวียดนามจึงไม่ได้มีอคติใดๆ กับคนไทย  ครั้นเมื่อตอนที่เวียดนามเปิดประเทศมีนักลงทุนไทยเข้าไปลงทุนในประเทศเวียดนามเป็นอันดับต้นๆ สินค้าจากไทย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า สุขภัณฑ์ หรือรถมอเตอร์ไซค์เป็นที่นิยมของชาวเวียดนาม เขารู้สึกมั่นใจในสินค้าไทยมากๆ  ประเทศไทยจึงติดอยู่ในหนึ่งของประเทศที่ชาวเวียดนามอยากมาชม และช้อปปิ้งเป็นอย่างมาก


 


เคยมีเพื่อนจากฮานอยไปเจอกันในประเทศที่เป็นแหล่งช้อปปิ้งประเทศหนึ่ง หลังจากเดินดูของสักพักก็หันมาบอกว่า ฉันเก็บเงินไว้ซื้อที่กรุงเทพฯ ดีกว่า ดีกว่าและถูกกว่าอีก เธอไม่ซื้ออะไรจากที่นั่นเลยเพราะรู้ว่าเดือนหน้าก็จะได้มาเมืองไทยแล้ว


 


คราวนี้หลังจากที่มีการคบค้าและไปมาหาสู่กันมากขึ้น ทำให้เวียดนามยิ่งกลับต้องคิดพัฒนาตัวเองว่า เอ ประเทศขนาดก็ใกล้เคียงกัน ประชากรก็พอๆ กัน  เวียดนามมีมากกว่าอีก ไทย 64 ล้าน เวียดนาม 80 ล้าน ทรัพยากรก็มีเหมือนๆ กัน ทะเล ภูเขา อากาศที่เวียดนามหนาวกว่าไทยเสียอีก แหล่งท่องเที่ยวที่ไทยมี เวียดนามก็มี แต่ทำไมนักท่องเที่ยวมาเมืองไทยได้มากถึงกว่า 10 ล้านคนต่อปี แต่เวียดนามยังอยู่ที่ 2 ล้าน แม้กระทั่งข้าวของเครื่องใช้ที่ผลิตในประเทศไทย อันที่จริงวัตถุดิบต่างๆ ที่เวียดนามก็มีแต่ทำไมถึงส่งออกได้ไม่เท่ากับไทย หรือทำไมคุณภาพถึงไม่เท่ากัน


 


นี่จึงเป็นเหตุผลว่า เวียดนามควรจะพัฒนาตนเองให้มากขึ้น แต่ว่ามากขนาดไหนนั้น จึงจำเป็นต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน ดังนั้น จึงตั้งเป้าที่จะไปให้ถึงระดับที่ไทยทำได้ก่อน จากนั้นให้สามารถนำหน้าไทยให้ได้ ซึ่งเข้าใจว่าจะไม่หยุดยั้งเพียงแค่นั้น เพราะคนเวียดนามขึ้นชื่อมากเรื่องขยันและอดทน ดังนั้น ขอเพียงมีโอกาสเท่านั้น


 


ตัวอย่างจากเรื่องฟุตบอล ทีมไทยอาจดูดีที่สุดในสายตาของเวียดนามขณะนี้ การที่เวียดนามจะต้องผ่านไทยให้ได้ อันที่จริงความดีใจของเวียดนาม จึงเป็นการดีใจไม่ใช่แค่ว่าเอาชนะได้เท่านั้น แต่เป็นความดีใจที่พบว่า ฝีมือก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่งแล้วด้วย และแน่นอนว่าเวียดนามจะขยับต่อไปเรื่อยๆ


 


พัฒนาการของวงการฟุตบอลเวียดนามนั้น หรือแม้กระทั่งพัฒนาการในการเล่นกีฬาอื่นๆในเรื่องกีฬาซีเกมส์นั้นเห็นได้ค่อนข้างชัดเพราะตอนเพิ่งเข้ามาร่วมซีเกมส์ใหม่ๆนั้นเวียดนามยังไม่ค่อยที่จะได้เหรียญมากนัก หรือแม้แต่ฟุตบอลก็นับว่าเป็นรองไทยอยู่มาก แต่เพียงไม่กี่ปีต่อมาเวียดนามกลับทำเหรียญนำลิ่วๆ แม้จะแข่งนอกบ้านตัวเอง แม้จะไม่เป็นที่หนึ่งแต่ก็คะแนนสูงเมื่อเทียบกับเพียงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หรือแม้กระทั่งฟุตบอลที่ได้เข้ามาถึงรอบชิงถึง 3 ครั้งแล้ว


 


ดังนั้น อาจดูว่าเวียดนามต้องการที่จะแข่งขันกับไทย แต่แท้จริงแล้วไทยนั้นถูกใช้เป็นเพียงธงที่เวียดนามวางเอาไว้ในระยะหนึ่งเท่านั้น  หากเวียดนามก้าวมาถึงธงนี้แล้ว เข้าใจว่าก็จะต้องมีธงที่สอง และที่สามต่อไปเรื่อยๆ


 


แน่นอนถึงตอนนั้นเราก็คงไม่คิดว่าเวียดนามจะเป็นคู่แข่งกับไทยแล้ว