Skip to main content

หลากอารมณ์ในเวียดนาม 2 : มิตรภาพจากคนแปลกหน้า

คอลัมน์/ชุมชน

ในการเดินทางแต่ละครั้งแม้จะมีการวางแผนเอาไว้อย่างดีแค่ไหนก็ตาม เชื่อได้ว่า ทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องเจอกับเรื่องนอกแผนอยู่เสมอ แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราจะรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นอย่างไร หลายๆ ครั้ง เรื่องนอกแผนที่เกิดขึ้นกลับดีกว่าเรื่องที่อยู่ในแผนด้วยซ้ำ


 


วันหนึ่งเมื่อเตรียมการไว้อย่างดีว่าจะต้องเข้าไปเก็บข้อมูลที่ฮอยอัน เมืองมรดกโลกอันเลื่องชื่อของเวียดนาม โดยได้วางแผนเอาไว้แล้วเป็นอย่างดีว่าจะต้องไปสัมภาษณ์ผู้อำนวยการฝ่ายวัฒนธรรมของเมืองเป็นอันดับแรก เพื่อว่าจะได้เห็นภาพรวมในเรื่องของงานวัฒนธรรมที่ฝ่ายรัฐกำลังดำเนินการอยู่และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และคนที่จะไปพบนี้ก็ได้รับการแนะนำว่าเป็นผู้ที่กว้างขวาง สามารถที่จะเชื่อมต่อถึงคนอื่นได้ และต่อจากนั้นก็ค่อยไปคุยกับชาวบ้านทั่วๆ ไป


 


ส่วนเรื่องการเดินทางไปฮอยอัน จากดานังซึ่งมีระยะทาง 30 กิโลเมตรนั้นมีอยู่สองวิธี คือ นั่งแท๊กซี่ ราคา 12 เหรียญสหรัฐฯ ใช้เวลาครึ่งชั่วโมง หรือจะนั่งรถประจำทางที่เป็นรถหวานเย็นไม่ระบุที่นั่ง คลาคล่ำ และแออัดไปด้วยผู้คนและสินค้านานาอยู่รวมกัน แต่จะได้เห็นบรรยากาศชีวิตความเป็นอยู่ที่แท้จริงของผู้คน ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง ตัดสินใจเลือกวิธีที่สอง ค่ารถหากเป็นชาวเวียดนามก็ 7,000 ด่ง ประมาณ 18 บาท เป็นชาวต่างชาติกลับเป็น 22,000 ด่ง หรือ 55 บาทไปทันที โดยที่นั่งแออัดยัดเยียดเท่ากัน 


 


ขณะที่นั่งอยู่บนรถนั้นมีหญิงชราวัย 72 ปี ขึ้นมาบนรถ มีท่าท่าอารมณ์ดี แต่พูดจาบ่นๆ กับเด็กรถนิดหน่อยว่า ดูสิไม่รู้ว่ารถเปลี่ยนเส้นทางเดินแล้ว ไปรออยู่ตรงที่เดิมตั้งนาน คนอื่นก็ทักทายและขยับขยายที่ให้แกขึ้นมานั่งแม้ว่าจะเบียดกันมากแล้วก็ตามที  เด็กรถหนุ่มวัย 18-19 ปี จัดแจงจัดสรรทุกอย่างลงตัวสถานการณ์เข้าสู่ความสงบไปพักหนึ่ง ล่ามชาวเวียดนามหันมาบอกว่า ยายคนนี้เป็นคนฮอยอัน ฟังได้จากสำเนียงที่แกพูด


 


พลันความคิดก็แว่บขึ้นมาว่าไหนๆ เราก็อยากคุยกับชาวบ้าน และไหนๆ เราก็มานั่งรถเมล์เพื่อจะเรียนรู้ชีวิตของผู้คน การทำงานน่าจะเริ่มต้นเสียที่ตรงนี้เลย ก็เลยจัดการบอกให้ล่ามช่วยสอบถามและพูดคุยกับยายซึ่ง ต่อมารู้ว่าชื่อ เวียง เป็นคนฮอยอันโดยกำเนิด แต่ปัจจุบันย้ายไปอยู่ที่เมืองดานังแล้ว แต่วันนี้กลับมาเนื่องจากมีการไหว้บรรพบุรุษของตระกูล 


 


                           


                                                   ยายเวียง คนต้นเรื่อง


 


ด้วยเสียงดังของเครื่องยนต์และแตรที่กระหน่ำบีบมาตลอดทางกับทั้งการที่ยายนั้นเริ่มจะหูตึง การสนทนาก็ทำได้แบบไม่ค่อยดีนัก แต่ผู้คนในรถก็เริ่มสนใจหันมาร่วมพูดคุยด้วยเช่นกัน และตัวยายเวียงเองซึ่งนั่งอยู่ด้านหลัง เอามือมาลูบหัวและเอ่ยปากชักชวนบอกว่า คิดถึงหลานที่มีอยู่สองคน คนหนึ่งอยู่ที่ฝรั่งเศส อีกคนอยู่ที่อเมริกา ถ้าไม่รังเกียจอยากจะชวนไปด้วยกันที่บ้าน ที่มีการบูชาบรรพบุรุษนี้ได้หรือไม่ รวมทั้งยายอีกคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างหลังเช่นกันบอกว่า บ้านอยู่ในตัวเมืองมรดกโลกเลย บอกสถานที่ตั้งให้เสร็จสรรพและบอกว่าหากเข้าไปถึงเมืองแล้วอย่าลืมแวะไปหานะ


 


แต่คำชวนของยายเวียงนั้นส่งผล ด้วยคิดว่าน่าจะมีอะไรได้เรียนรู้บ้างหากไปที่บ้านที่เขากำลังทำพิธีไหว้บรรพบุรุษกัน แต่ติดตรงว่า เขาจะให้เฉพาะคนในตระกูลเท่านั้นไปร่วมหรือเปล่า แขกแปลกหน้าเข้าไปจะทำเขาเสียฤกษ์ไปหรือเปล่า ก็ถามย้ำไปว่า ไปได้จริงๆ หรือ ยายบอกว่า ให้คิดเสียว่าเป็นหลานของยาย ก็ไปได้แล้ว


 


สุดท้ายก็เลยลงจากรถเดินตามยายเข้าหมู่บ้านถังห์ ห่า (Thanh Ha) เป็นหมู่บ้านที่มีฝีมือในเรื่องของงานเครื่องปั้นดินเผา ซึ่งอยู่ห่างจากเขตเมืองมรดกโลกฮอยอันเพียง 1 กิโลเมตร ยายมีหลานที่มีโรงงานผลิตสินค้าดังกล่าวที่ส่งไปขายทั่วประเทศที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้านนั้นด้วย เมื่อเดินเข้ามาถึง ยายก็แนะนำกับทุกคนว่า คนนี้สนใจที่จะมาเยี่ยมบ้านของเรา เจอกันบนรถ ก็เลยชวนมาด้วย ทุกคนก็ดูยินดี แค่ถามว่าเป็นชาติไหนเท่านั้น แล้วก็จัดแจงหาน้ำชามาให้ดื่ม  และการไหว้บรรพบุรุษก็เสร็จลง มีผู้คนในตระกูลนี้ คือตระกูลเหงียน (Nguyen) มาร่วมกันทั้งสิ้นเกือบ 30 คน และบอกว่าทั้งตระกูลตอนนี้มีประมาณ 40 คน


 


หลังจากนั้นทางผู้ใหญ่ที่สุดของตระกูลก็ออกมาเชื้อเชิญว่า ไหนๆ ก็มาแล้วขอเชิญรับประทานอาหารร่วมกันก่อน ด้วยความเกรงใจก็บอกว่า จะต้องมีนัดต่อในเมืองในอีก 1 ชั่วโมงข้างหน้าเห็นจะอยู่ต่อไปไม่ได้นาน แต่ทุกคนก็เข้ามาคะยั้นคะยอ ว่ากินก่อนเถอะ แค่ 10 นาทีก็ได้ แล้วที่สุดก็กินอาหารร่วมกับครอบครัวตระกูลเหงียน หลานสาวของยายเวียงที่มีโรงงานเครื่องปั้นดินเผา คอยตักอาหารให้ตลอดอย่างมีมารยาท


 


                                 


                                     ผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลและอาหารที่เลี้ยงดูในวันนั้น


 


เสร็จสิ้นการกิน ผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลก็บอกว่าถ่ายรูปของเขาเก็บไว้หน่อย ถ่ายรูปครอบครัว กล่าวขอบคุณเสร็จสรรพก็จากมา ทุกคนก็มีสีหน้ายิ้มแย้มและออกมาส่งด้วยไมตรีจิต ที่แม้จะเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน แต่ก็ดูออกว่าทุกคนเป็นมิตร


 


และแล้วพอเข้ามาในเมืองก็พบว่า คนที่นัดหมายเอาไว้บอกว่ายุ่งมากไม่สามารถมาพบได้ อารมณ์ที่เต็มตื้นกับมิตรภาพที่เพิ่งได้รับจากตระกูลเหงียนเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมากลับกลายเป็นว่าต้องมาดับลงด้วยความรู้สึกว่า เอ๊ะ ทำไมนัดหมายแล้วไม่ตรงตามนัด ไม่เช่นนั้นเราน่าจะได้ไปดูโรงงานทำเครื่องปั้นดินเผาและพูดคุยกับคนในชุมชนได้มากกว่านี้


 


แต่ที่สุดก็ทำใจได้ และพบว่าเป็นของการผิดพลาดเรื่องการสื่อสาร ไหมล่ะ ก็อย่างที่ว่าแหละว่า บางครั้งที่วางแผนเอาไว้ก็มักไม่ได้เกิดขึ้นจริงแม้จะวางแผนไว้ดีแค่ไหนก็ตาม ส่วนที่ไม่ได้วางแผนเอาไว้ก็โผล่เข้ามาหลายๆ ครั้ง สิ่งที่โผล่เข้ามาแบบไม่ได้วางแผนนั้นมักไม่ใช่เรื่องที่ดี แต่สำหรับคราวนี้ การได้เจอกับยายเวียงบนรถเมล์ อาจนับเป็นเรื่องบังเอิญ แต่มิตรภาพที่ครอบครัวตระกูลเหงียนมอบให้กลับไม่ใช่เรื่องบังเอิญเลย


 


จากการนี้ก็พอที่จะสรุปได้ว่า มิตรภาพยังมีอยู่เสมอในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนจากชาติใดภาษาใด ในวันนั้น หลายคนที่เข้ามาพูดคุยด้วยไม่ได้ใช้ภาษาที่เป็นวาจา แต่เป็นภาษาที่สื่อด้วยใจอันเป็นมิตร  แม้ว่าจะเป็นเพียงคนที่แปลกหน้าต่อกันในตอนแรก แต่ด้วยมิตรภาพที่ส่งถึงกันนั้นกลับทำให้ไม่มีความรู้สึกแปลกแยกต่อกันเลย