Skip to main content

หลากอารมณ์ในเวียดนาม : ตอนที่ 3 ปู่เย็นแห่งลำน้ำฮวย ( Hoai)

คอลัมน์/ชุมชน

                            
                         เรือลำเล็กๆ ที่เห็นอยู่ลิบๆด้านหลังนั่นเองคือที่นอนของปู่เหงียน


 


ริมฝั่งแม่น้ำฮวยในเมืองฮอยอัน เฒ่าเหงียน* วัย 80 นั่งอยู่ในเรือด้วยสายตาเหม่อลอย  มีสีหน้ากังวลๆ ว่าวันนี้ฝนตกอีกแล้ว มีท่าว่าจะไม่มีปลาตัวไหนมากินเหยื่อเป็นแน่แท้ นั่นหมายถึงว่า อาจจะไม่มีอาหารเย็นในวันนี้


 


ปู่เหงียน บอกว่า หาปลาอยู่อย่างนี้มาตั้งแต่วัยรุ่น จนกระทั่งปัจจุบัน และแกก็อาศัยอยู่ในเรือนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ทุกวันนี้แกก็ยังอยู่ดี ดูสีหน้าท่าทางแกแล้วก็คล้ายๆ กับปู่เย็นของบ้านเราไม่น้อย ต่างกันอยู่หน่อยคือแกยังคงอยู่กับภรรยา และภรรยาของแกก็หาปลาด้วยกัน


 


ทุกวันนี้ฮอยอันพัฒนาขึ้นมาก มีผู้คนเข้าไปเที่ยวหรือแม้กระทั่งคนที่อยู่อาศัยก็มากขึ้น แต่วิถีชีวิตแกก็ไม่เคยเปลี่ยน ยังคงจับปลาและยังคงนอนอยู่ในเรือเหมือนเดิม ปู่เหงียนยอมรับว่า ระยะหลังๆ นี้จับปลาได้น้อยลง แต่รายได้กลับเพิ่มขึ้น เมื่อก่อนนี้ได้ปลาเยอะก็จริงแต่รายได้กลับน้อยกว่า แกบอกว่าวันไหนโชคดีแกก็ขายปลาได้ถึง 40,000 - 50,000 ด่ง (ประมาณ 100 -120 บาท) แต่ถ้าโชคไม่ค่อยดีก็อาจจะได้แค่ 5,000 – 10,000 ด่ง (12 - 25บาท) เท่านั้น


แทรกภาพประกอบ (คงต้องใหญ่นิดนึงนะคะ ไม่งั้นจะไม่เห็นเรือลำเล็กๆ ที่อยู่ด้านหลัง)


 


ในวันที่พบกันนั้นเป็นช่วงใกล้ 4 โมงเย็นแล้ว แต่แกยังไม่ได้ปลาสักตัวเลย แกบอกว่า ช่วงนี้ได้ปลายากเนื่องจากฝนตก แต่ก็จะรอออกไปหาอีกสักรอบหนึ่งก่อนมืด


 


พูดถึงเรื่องความเปลี่ยนแปลงของเมืองที่เกิดขึ้น แกก็บอกว่า ใช่ มีการเปลี่ยนแปลงมาก คนก็มาก อาจจะทำให้คนแก่ๆ ลำบากไปบ้างเล็กน้อย กระนั้นแกก็ยินดีที่จะได้เห็นและยอมรับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีสำหรับคนหนุ่มสาว ดังนั้น คนในวัยเดียวกันกับแกก็ควรที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเหล่านี้ให้ได้


 


ที่แกมองเห็นชัดๆ ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นก็คือเรื่องของการคมนาคมสมัยนี้ ถนนหนทางมีความสะดวกมากขึ้น แต่แกก็ยังคงอาศัยอยู่ในเรือ และเดินทางโดยเรือของแกเป็นหลักอยู่เหมือนเดิม


 


"ผมไม่ได้คิดถึงว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ จะมีผลกระทบกับผมอย่างไรบ้าง แต่ผมคิดถึงคนรุ่นหลังมากกว่า ซึ่งผมก็เห็นว่าเป็นเรื่องที่ดีกับคนหนุ่มสาวที่จะยังคงอยู่ต่อไปมากกว่า" ปู่เหงียนตอบอย่างกินใจ


 


แต่แล้วก็พูดต่อว่า  "ไม่ว่าบ้านเมืองจะเปลี่ยนไปแบบไหนอย่างไร  ผมก็ยังจนอยู่อย่างนั้นแหละ หาปลากินอยู่เหมือนเดิม ไม่เคยกินบ้านกินเมือง"


 


เป็นธรรมดาของโลกที่บ้านเมืองย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคตามสมัย ส่วนใหญ่แล้วบรรดาผู้สูงอายุมักจะมองเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมานั้นด้วยความเสียดาย คืนวันเก่าๆ แต่ที่เวียดนามคนสูงอายุจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกยินดีว่าบ้านเมืองเจริญขึ้น มีชาวต่างชาติเข้ามาเวียดนามขึ้น เพราะเห็นว่าเป็นทางของการสร้างรายได้ให้กับประเทศชาติ


 


บรรดาเหล่าผู้สูงอายุที่พบพานนั้นหากอายุ 70 ขึ้นไปนั้นเชื่อว่าชีวิตคงเผชิญกับความเชี่ยวกรำจากสงครามมาแน่ อย่างน้อยสงครามใหญ่ๆ ก็สองครั้ง อย่างสงครามกับฝรั่งเศส ที่เรียกกันว่า สงครามเดียนเบียนฟู เป็นครั้งที่ทำศึกหนักและสามารถเอาชนะและขับฝรั่งเศสออกไปได้ เป็นอันสิ้นสุดการตกอยู่ใต้อาณานิคมฝรั่งเศส และสงครามกับอเมริกา ที่คนเวียดนามเรียกว่าสงครามอเมริกาแต่คนอเมริกาและชาวโลกเรียกตามอเมริกาว่า สงครามเวียดนาม ที่มีชาวเวียดนามสูญเสียชีวิตไปนับล้าน


 


นี่เองอาจเป็นสาเหตุให้ชาวเวียดนามเอง อาจไม่เสียดายวันวานมากนักและยินดีกับการพัฒนาที่เข้ามา ถึงแม้ว่าหลายเรื่องอาจจะขัดต่อวัฒนธรรมอยู่บ้างแต่ก็ยังดีกว่าที่ต้องกอดอยู่กับอดีตที่มีแต่ภาพสงครามแน่ๆ


 


นั่งพูดคุยกับปู่เหงียนอยู่สักครู่หนึ่งก็ขอตัวจากไปก็พบว่าแกคงไม่ใช่ปู่เย็น เสียแล้ว เมื่อในที่สุด แกก็เอ่ยขึ้นว่า วันนี้ แกไม่ได้ปลาเลย เราพอที่จะมีเงินให้แกบ้างมั้ย  แรกทีเดียวก็คิดจะให้แกอยู่เหมือนกันเพราะคิดว่ามานั่งคุยกับแกอาจทำให้แกเสียเวลา แต่ก็กังวลว่าจะเป็นการไม่ดีหากจะให้เห็นแก  แต่แล้วแกก็เอ่ยขึ้นมาเอง ในที่สุดหยิบเงินขึ้น แล้วยื่นให้แกไป 1 หมื่น ...เอ่อ.. ด่ง น่ะ  (ประมาณ 25 บาท) ไม่มากไม่มายแต่ก็พอสำหรับมื้อเย็นของแกวันนี้แน่นอน


 


ระหว่างเดินจากมา เพื่อนชาวเวียดนามก็บอกว่า "I think you are the first fish for him today" ก็น่าจะจริงนะ ในที่สุดแกก็ตกปลาตัวแรกได้แล้ว (ฮา)


 


หมายเหตุ


*ชื่อเหงียน เป็นสกุลที่แพร่หลายมากของชาวเวียดนาม ดังนั้นปู่เหงียนจึงไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับตระกูลเหงียนที่พูดถึงไปในตอนที่แล้ว