Skip to main content

ตีสิบ : ซวย กว่านี้มีอีกไหม

คอลัมน์/ชุมชน


ภาพจาก http://thaitv3.com


 


จริงอย่างที่ เสียวีที บอกไว้


 


ทุกปัญหาที่เรามีอยู่กลายเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยไปทันทีเมื่อได้ฟังเรื่องราวของป้ามยุรี  ชินสุวรรณกิจ  ผู้หญิงที่ซวยซ้ำ ซวยซ้อนที่สุด เท่าที่เคยได้ฟังเรื่องราวซวย ๆ ของใครต่อใครมา


 


คนเราเท่านี้  ทุกครั้งที่ความทุกข์เข้ามาเยี่ยมเยือน  ก็อดไม่ได้ที่จะจมอยู่กับความทุกข์ทนพลางเฝ้าถามคำถามที่ไร้ซึ่งคำตอบว่า เมื่อไหร่จะหมดทุกข์หมดโศกกันเสียที  เฮ้อ


 


แต่ ถ้าเมื่อไหร่ลองได้เปิดตา เปิดใจดูโลกกว้างแล้วได้พบว่า มิได้มีเพียงเราเท่านั้นที่ความทุกข์แวะเวียนเข้ามาหา  แล้วยิ่งถ้าได้เห็นความทุกข์ทนของผู้อื่นยิ่งกว่าตน  ความทุกข์ของเราก็จะเบาบางลง และอาจถึงขั้นหายไปได้ในที่สุด


 


ป้ามยุรี เล่าเรื่องราวในชีวิตให้ฉันฟังผ่านทางรายการตีสิบ  ด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้วแว่วดัง  ท่าทีเหมือนชาชินแล้วกับความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นมาในชีวิต   


 


ความทุกข์ 36 ครั้งที่ผ่านเข้ามาด้วยวัยเพียง 50 กว่า ๆ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าแล้วมีช่วงเวลาไหนในชีวิตให้ความสุขได้แทรกผ่านเข้าไปให้ป้าได้เห็นความแตกต่างบ้างไหมหนอ


 


วัย 50 กว่า ที่ต้องผ่านการวางดอกไม้จันทน์ให้ทุกคนที่ป้ารักในชีวิตมาแล้วทั้งสิ้น


พ่อ-แม่ ผู้มีพระคุณ ซึ่งนั่นคงสมเหตุสมผลด้วยเรื่องของวัยชรา


กระทั่งสามี เท่าที่ฟังป้าเล่า ฉันเองก็แอบคิดว่าสมควรแก่เวลาแล้วล่ะ เพราะอยู่ไปก็หนักแผ่นดินเที่ยวได้สร้างภาระให้ป้าไม่จบสิ้น กระทั่งตายไปก็ยังไม่วายทิ้งมรดกหนี้สินไว้ให้  คงกลัวว่าป้าจะลืมตัวเองกระมัง


 


หากสำหรับป้ามยุรีแล้ว ก็คงรักของป้าอยู่นั่นแหล่ะ ไหน ๆ ก็เป็นคู่ทุกข์ คู่ยากกันมานาน แล้วพอวันหนึ่งที่สามีกลับทิ้งให้ต้องเผชิญความทุกข์ยาก โหดร้ายของชีวิต ที่ป้าเรียกมันว่า ความซวย นั้นตามลำพัง


 


แต่กับลูกๆ ทั้งสี่คนของป้านี่สิ  ทุก ๆ ครั้งที่ป้าต้องขึ้นไปวางดอกไม้จันทน์ส่งวิญญาณของลูกนั้น ครั้งแรกก็คงหัวใจแตกสลายไปแล้ว และคงไม่ได้ปรารถนาให้มีครั้งต่อๆ ไป


 


หากก็ปรากฏว่ามีครั้งต่อมา ต่อมา และต่อมาอีก  กระทั่งลูกชายคนเล็กที่หวังว่าจะเป็นที่พึ่งพิงได้ ก็ต้องมาจากไปขณะที่ป้ากอดลูกไว้แนบอก


 


ฉันไม่คิดว่าตนเองจะทนกับสถานการณ์ตรงนั้นได้ ทั้งๆ ที่ฉันเองก็เป็นคนเข้มแข็งคนหนึ่ง ก็ตามที


กับคำถามที่ว่า  ป้าได้พลังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปมาจากไหนนะ  


 


คำตอบคือ  เหนือสิ่งอื่นใดพลังชีวิตของป้าคือหลาน ๆ ทั้งสามคนที่ลูกชายคนโตทิ้งไว้ให้   ส่วนเหตุผลต่อมาคงเป็นเรื่องของเวรกรรม  ป้าบอกว่าหากทั้งหลายทั้งปวงนี้เป็นการใช้หนี้ให้กับเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายที่ป้าได้ล่วงเกินเขาไว้ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่อย่างไร  ป้าก็จะยอมรับผลของมัน ในแบบที่เป็นอยู่


 


สิ่งที่ฉันสัมผัสได้คือ ป้ามยุรีเป็นคนจิตใจดีคนหนึ่ง   ไม่ได้ให้ร้ายใครหรืออะไรเลยที่ชีวิตต้องเป็นอย่างนี้  กระทั่งลูกสะใภ้ที่ขนของหนีไปจากบ้าน ป้าก็ยังมองในแง่ดีว่า ปกติเขาเป็นคนดี แต่ที่ทำอย่างนี้คงมีเหตุผลอะไรสักอย่าง 


 


วิธีคิดของคนเรานี่สำคัญทีเดียว  คิดแบบใดก็นำพาชีวิตไปในแบบนั้น  ฉันเชื่อว่าถ้าป้ามยุรีไม่เป็นคนคิดดีอย่างที่เป็นอยู่  ป้าคงต้องผจญกับเรื่องซวยซ้ำ ซวยซ้อนอันเกิดจากความคิดอีกหลายต่อหลายเรื่องทีเดียวล่ะ


 


กับคำถามสุดท้าย ที่เสียวีทีถามว่าชาติที่แล้วป้าคิดว่าตนเองเป็นใคร หรือทำอะไรใครไว้ถึงต้องมาชดใช้อย่างสาหัสสากรรจ์ในชาตินี้   คำตอบของป้ามยุรีโดนเชียวล่ะ


 


"ป้าคงเป็นนักการเมืองที่โกงกินเขาไว้เยอะ โกงหลายต่อหลายคน"   ป้าตอบอย่างจริงใจที่สุด


 


เอ้า   ท่านนักการเมืองทั้งหลายฟังไว้ให้ดี !!!