Skip to main content

จดหมายรักระหว่างเพื่อน 4 : ฝันถึงดวงดาว

คอลัมน์/ชุมชน




ถ้ามีใครสักคนถามฉันว่า มีชีวิตช่วงไหนบ้าง ควรค่าแก่การจดจำ คำตอบคงเป็นว่า


"มีมากเหลือเกิน ฉัน...ชอบชีวิตของตัวเองที่ผ่านมา แม้จะทุกข์และสุข หรือขึ้นๆ ลงๆ ประดุจสายน้ำในฤดูมรสุม"


 


แต่พูดตามจริง ในวัยวันที่เราเคยผ่านมา ในเวลาเหล่านั้น ณ ช่วงเวลาหนึ่งนั้น เรายังไม่สามารถคิดได้อย่างนี้ หลายครั้งเราพเนจรไปกับความคิดฝันกระจัดกระจาย เก็บบ่มตัวเองในห้วงทุกข์ร้อนรอนล้า ก็ในเมื่อเราแค่เด็กสิบกว่าขวบเท่านั้น


 


อย่างไรก็ดี ในปี 2529 ครั้งหนึ่ง เราเคยไปรับจ้างตัดกระเจี๊ยบด้วยกัน ฉันจดบันทึกเหตุการณ์ช่วงนั้น และนำมาอ่านเสมอๆ เพื่อบอกกับตัวเองว่า


เรามีความสุข...


 


ฤดูแล้ง 2529                                               


อำเภอพร้าว


 


พวกเรายืนในไร่กระเจี๊ยบที่กำลังสุกสีแดงเต็มต้น


 


เบื้องหลังคือภูเขาสูง ซึ่งต้นไม้สลัดร่วงตามลมผล็อยๆ กลิ่นหอมของฤดูแล้งล่องลอยมา แดดสายเริ่มส่องแรงขึ้น ตะวันโคจรสูง ท้องฟ้ากว้างสีครามโปร่ง มีก้อนเมฆขาวสะอาดล่องลอยอยู่ทั่วไป


 


ถัดจากไร่กระเจี๊ยบคือทุ่งกว้าง ข้าวถูกเก็บเกี่ยวไปหมดสิ้นแล้ว เหลือแต่ตอเฟืองสีเหลืองแห้งโล่งเกรียนสุดหูตา


 


ทิศใต้และทิศเหนือจรดภูเขาซึ่งสูงต่ำสลับซับซ้อน ระยิบด้วยเปลวแดดหม่นไกลๆ ส่วนทิศตะวันออกติดกับแนวไม้ บังหลังคาหมู่บ้านเงียบสงบ


 


ฉันและเพื่อนๆ ทุกคนสวมหมวกปีกกว้าง โยงเชือกเส้นเล็กผูกหลวมใต้คาง กันลมพัดหมวกปลิว


เรามีมีดด้ามเล็กๆ กับตะกร้าคนละใบ ยืนเรียงตามต้นกระเจี๊ยบ บรรจงตัดลูกสีแดงจัดนั้นออกจากก้าน โยนลงในตะกร้า


 


ลูกแล้ว ลูกเล่า…ตะกร้าแล้ว ตะกร้าเล่า…


 


ในจำนวนคนที่ตัดกระเจี๊ยบนั้น ส่วนมากเป็นเด็กที่ยังเรียนอยู่ชั้นประถม และต้องการหารายได้พิเศษในวันเสาร์อาทิตย์ มีเพียงฉันกับวรางคนางค์เท่านั้นที่เป็นผู้ใหญ่ และเราก็อยากใช้เวลาว่างหลังฤดูเก็บเกี่ยวให้เป็นประโยชน์ แทนการอยู่บ้านเฉย ๆ


 


อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ เราเพิ่งกลับมาจากที่อื่น ยังไม่ต้องการออกจากหมู่บ้านไปตอนนี้ ทั้งยังแอบหวังเงียบๆ ว่า บางที อาจเป็นโอกาสให้เราไม่ต้องเร่ร่อนไปไหน


เราอยากอยู่ใกล้ ๆ ครอบครัว พ่อแม่พี่น้อง ผู้คนที่เรารัก นาน ๆ…สักครั้ง


แม้ว่า ค่าแรงตัดกระเจี๊ยบ จะไม่ถึง 20 บาทต่อวันก็ตามที


 


"เออ พรุ่งนี้ วันเกิดของเธอเหรอ เพลิน"


เด็กหญิงอาชิงถามขึ้น น้ำเสียงตื่นเต้น


"แล้วเธอจะจัดงานวันเกิดหรือเปล่า"


"ยังไม่รู้"


เพลินพูด หรุบตาลงต่ำ


 


เพลินเป็นเด็กกำพร้าแม่ อาศัยอยู่กับพ่อที่เป็นนักพนันตัวยง ฉันเคยเห็นเขาร้องไห้ เวลาพ่อเสียพนันกลับมาบ้าน  เขามักไม่มีอาหารเย็นกิน หรือมี แต่ก็กินไม่อิ่ม  ร่างเล็ก ๆ แคระแกร็นนั้น ทำให้ฉันนึกถึงต้นหญ้าขนาดจิ๋ว ที่ยืนหยัดมั่นคงในทุกฤดูกาล


"ว่าไง ตกลงเธอจะจัดงานวันเกิดหรือเปล่า"


"อยากจะจัดนะ…แต่…ฉันไม่มีเงิน"


"ทำไมเราไม่ทำขนมกินกันเองล่ะ"


ฉันเสนอความคิดขึ้น


"นั่นซี…"


 


เด็กๆ ร้องเฮขึ้นทันใด


"ทำอะไรดีล่ะ"


"ตำมะละกอไง"


"ไม่เอา…เอาขนมน่ะ"


"ทำน้ำหวาน"


"ใช่ๆ ทำน้ำหวาน"


"น้ำหวานแพงนะ"


"ทำน้ำกระเจี๊ยบไง !"


 


"ดีๆ งั้นพี่เป็นคนไปขอกระเจี๊ยบนะ"


"ได้สิ"


"ให้อาชิงไปเตรียมโหลใส่น้ำหวาน"


"เพลินกับอินทรไปซื้อน้ำแข็ง"


"พี่นางค์ต้มกระเจี๊ยบแล้วกรองด้วย"


"งั้นพรุ่งนี้ เรามากันแต่เช้านะ ห่อข้าวมาด้วยเลยนะ"


"ฉันจะต้มไข่มา"


"โอ้ย ดีใจจังเลย"


 


บรรยากาศในทุ่งมีชีวิตชีวาขึ้นอักโข อาชิงร้องเพลงเสียงแจ๋ว ฉันสบตาวรางคนางค์ อีกหน รู้ว่าเธอเองคงคิดเช่นเดียวกัน


โอ้เด็ก ๆ ในทุ่งกว้าง มาทำงานเพื่อแลกเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปช่วยเหลือครอบครัว ต้องเรียนรู้จักชีวิตแต่เยาว์วัย แดดร้อน ลมแรง แต่ดวงตาดำขลับบนใบหน้ามอมฝุ่น


…ยังใฝ่ฝันถึงสิ่งต่าง ๆ มากมี


ฉันอยากมีเงินมาก ๆ อยากจัดงานเลี้ยงให้พวกเธอ อยากให้เธอได้ดื่มกิน หัวเราะ มีความสุข เหมือนเด็ก ๆ ที่อยู่ในบ้านหลังใหญ่


และในที่อื่น ๆ…


 


จนกระทั่งยามเย็นมาถึง แดดสีเหลืองอาบท้องทุ่งเหงา ๆ ขอบฟ้าทางทิศตะวันตก มีนกบินกลับรังเป็นหมู่


เสียงร้องเพลงของเด็ก ๆ ยังดังประสานกันไม่รู้จบ ขณะหิ้วตะกร้าว่างเปล่า เดินตามถนนทรายสายเล็กที่ทอดสู่หมู่บ้าน


วรางคนางค์เดินเคียงข้างฉัน เรากอดคอเด็กๆ ไว้ ตะวันคล้อยต่ำลงลับภูเขา ชาวนาชาวไร่ก็กลับบ้านเช่นเดียวกัน


 


ดอกหญ้าสีน้ำตาลทักทายเราในสายลมยามค่ำ ขณะนั้นเอง…ความรู้สึกหนึ่งก็ผ่านเข้ามา…


เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าพรุ่งนี้เป็นวันจันทร์ เด็กๆ ทุกคนต้องไปโรงเรียน และไร่กระเจี๊ยบเองก็ถูกตัดเก็บ


เสร็จสิ้นหมดแล้ว


 










 


30/12/ 29


เพื่อนรัก……


 


เธอเป็นไงมั่งนะ เธอคงถึงเชียงใหม่แล้ว แต่ฉันยังคงคิดถึงเธอตลอดเวลา


น้องแอ เพลิน ชีวัน และอาชิงก็คงเช่นกัน


 


วันนั้น…ฉันมีความสุขมาก ตอนที่พวกเราเดินกลับบ้าน แล้วร้องเพลงกัน


แสงอาทิตย์วันนั้น สวยที่สุด


ถึงแม้ว่าหลังจากนั้นคือความมืด


และการจากกัน


 


ฉันผ่านไปทางบ้านเหนือ


วิไลวรรณฝากมาบอกว่า ไม่ลืมสัญญาหรอก


อาหารวันนั้นอร่อยมากเลยนะ


ถึงจะมีแค่ปลาทูเค็มกับน้ำพริก


สักวัน สักวันนะ…เราจะจัดงานวันเกิดกันสักครั้ง


ฉันอยากทำอาหารอร่อย ๆ มีน้ำหวานสี ๆ เย็นเจี๊ยบ


เชื่อมั่นฉันนะคนดี


 


ขอให้เธอเข้มแข็งด้วยนะ


วรางคนางค์ ก็คือเตือนใจไงจ๊ะ


 



 


หอมเอยหอมดอกไม้ในคืนเหงา


เหมือนจะเย้าหัวใจคนไกล ฝัน


แผ่ว อ่อนสร้อย กวีหมองของคนธรรพ์


เสี้ยวพระจันทร์เหมือนจะดับไปกับตา


 


หายไปไหนหนอวรรคตอนความอ่อนหวาน


เพลงสายธารเหมือนจะย้ำให้ร่ำหา


คืนจันทร์แรมแต้มร่ำความช้ำชา


คนเหว่ว้า อาวรณ์ ถอนอาลัย


 


คิดถึงคนแนบในความใฝ่ฝัน


เธอตามรอยตะวันไปถึงไหน


ปล่อยเวลาเลยล่วงไม่ห่วงใย


ทิ้งหัวใจคนเศร้าให้เหงางัน


จาริก แรมรอน / ออกจากบ้านอีกครั้ง


 

 








 


ฉันมีบ้านหลังหนึ่งเล็ก-เล็ก


การใช้ชีวิตแบบเรียบ - เรียบ ง่าย - ง่าย


ความอบอุ่นภายในบ้าน พอมีบ้าง บางครั้ง – บางเวลา


ผู้ปกครองมีเพียงแม่ผู้ให้กำเนิด...


บางครั้งอดบ้าง – กินบ้าง


แต่...ฉันมีความสุข ไม่มีข่มเหง เหยียบย่ำ ดูถูก


อยู่ที่บ้าน เป็นอิสระ เสรีภาพ


อบอุ่นด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกัน


 


เมื่อนึกถึงตัวเอง...


ก็นึกย้อนถึงใครบางคน ที่ฉันเคยรักและผูกพัน


เขาอาจจะไม่เคยทุกข์ยาก เขาอาจจะไม่เคยลำบาก


แต่...ทำไมเขาต้องพึ่งคนอื่น


ทั้ง-ทั้งที่เขามีทุกอย่าง  แตกต่างกับฉันหลายร้อยเท่า


เขามีพ่อ-แม่ มีที่ทำมาหากิน มีการศึกษา


อะไรหนอที่ทำให้หลายสิ่งหลายอย่างในโลกแปรเปลี่ยน วุ่นวายเช่นนี้


 


นึกดูตัวฉัน แล้วมองดูคนอื่นๆ


ก็ยังมีอีกตั้งหลาย-หลายชีวิต


ที่พยายามต่อสู้ ดิ้นรน ต่อความจน อุปสรรค


แม้จะเป็นลมหายใจสุดท้าย...


ฉันก็จะต้องดิ้นรน พยายามและอดทน


เหมือนใครคนนั้นที่กำลังเป็นอยู่ในขณะนี้


 


วรางคนางค์


ธันวาคม 2529


 


หรือเป็นเพราะหัวใจเราเปราะบาง


จึงซึมซับทุกอย่าง อย่างช่างฝัน


เพียงสุขทุกข์วนว่ายเท่าใดนั้น


เรายังมีกันและกัน จึงมั่นใจ


 


มีสมุดเล่มน้อยคอยเป็นเพื่อน


มีดอกหญ้าคอยเตือนอย่าหวั่นไหว


ใช้ชีวิตเช่นกอหญ้าจะเป็นไร


แดดจะไล้ ฝนกระหน่ำ ก็ยืนยง


 


คนสองคนร่วมวันอันปวดร้าว


แต่ยังฝันถึงดาวที่สูงส่ง


กี่คืนวันดวงตาล้ามืดลง


ใจยังคงสุกสกาวดั่งดาวไกล


.....


เพื่อนรัก


แต่วันนี้ฟ้ามืดนัก เพื่อนอยู่ไหน


โลกแสนกว้าง ทางเราก้าว ยาวเกินไป


มือและใจเธอยังอุ่นอยู่หรือเปล่า...


 


จาริก  แรมรอน


------------------------------------------------------------------------------------------


         


 


  


 


           


 


   


 



 



 



 



 



 



 



๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑