Skip to main content

ฝันเล็ก ๆ ในโลกใบใหญ่ของหน่อแอ้

คอลัมน์/ชุมชน


 "ตอนแรกที่เดินทางมาทำงานเมืองไทย ฉันเคยมีความฝันแค่อยากเก็บเงินส่งไปให้พ่อแม่เหมือนคนทั่วไป เพราะลำพังครอบครัวตัวเองก็แทบเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว แต่หลังจากมีคนเปิดโอกาสให้ฉันได้พัฒนาความรู้ความสามารถของตัวเอง ทำให้ฉันมีโอกาสทำงานที่ดีกว่าแรงงานอพยพทั่วไป ตอนนี้ฉันมีเงินส่งกลับไปให้พ่อแม่ดังที่ตั้งใจ แล้วก็เริ่มมีความฝันอยากคืนกลับสิ่งดี ๆ ให้กับคนที่ขาดโอกาสบ้าง"


 


ข้างต้นเป็นคำพูดของหน่อแอ้ (นามสมมติ) หญิงสาวกะเหรี่ยงวัย 24 ปี ซึ่งตัดสินใจเดินทางจากหมู่บ้านเล็ก ๆ ในเขตชนบทของรัฐมอญ ประเทศพม่า มาทำงานเมืองไทยตั้งแต่ 8 ปีก่อน เธอเป็นพี่คนโตของน้อง ๆ ที่คลานตามกันมาอีก 6 คน เนื่องจากครอบครัวของเธอไม่มีที่นาเป็นของตนเอง จึงต้องทำงานรับจ้างทำนาของคนอื่นและค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นรายได้เลี้ยงชีวิตในแต่ละวัน


 


หน่อแอ้เล่าถึงความลำบากของชีวิตวัยเด็กว่า
"เราอยู่กินกันค่อนข้างจำกัด บางวันมีเพียงน้ำพริกถ้วยเดียว นอกจากครอบครัวของเราจะมีรายได้น้อยอยู่แล้ว ทุก ๆ เดือนเรายังต้องจ่ายค่าลูกหาบให้ทหารพม่าด้วยเหมือนกัน บางทีถ้าไม่มีเงินก็ต้องหยิบยืม ถ้าเราไม่ให้เงินเราต้องส่งคนไปทำงานเป็นลูกหาบแทน ฉันเคยเห็นคนในหมู่บ้านไปเป็นลูกหาบเป็นเวลานาน พอกลับมาอีกทีจำแทบไม่ได้ จากคนที่เคยตัวใหญ่ ๆ ก็ผอมแห้งแทบไม่น่าเชื่อ บางคนไปแล้วไม่กลับมาก็มี มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนที่พ่อไปทำนา ไม่มีใครอยู่บ้าน ทหารพม่ามาจากไหนไม่รู้ ฉันได้ยินเสียงปืนดังมาจากข้างนอกเลยรีบไปหลบอยู่ใต้โต๊ะ ฉันกลัวมาก โชคดีที่ทหารไม่เห็นฉัน ถ้าทหารเห็นฉัน ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น"


 


เนื่องจากรัฐบาลทหารจัดสรรงบประมาณการศึกษาและสาธารณสุขรวมกันไม่ถึงร้อยละ 1 ของงบประมาณทั้งหมดของประเทศ ภาระทางการศึกษาตั้งแต่ค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนตกเป็นภาระของพ่อแม่ที่มีฐานะยากจนอยู่แล้ว ทำให้เด็กจำนวนมากจึงไม่มีโอกาสเรียนหนังสือ หรือต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน หน่อแอ้ก็เป็นหนึ่งในจำนวนเด็กนักเรียนที่ต้องออกจากโรงเรียนกลางครันเพื่อช่วยพ่อแม่ทำงานหาเงินด้วยเช่นกัน


 


"ฉันได้เรียนหนังสือถึงแค่ชั้น ป. 4 เท่านั้น เพราะฉันเป็นพี่คนโต ต้องออกมาช่วยพ่อแม่ทำงานหาเงินเลี้ยงดูน้อง ๆ อีกหลายคน จริง ๆ แล้วฉันเริ่มทำงานมาตั้งแต่เรียนชั้น ป. 1 แล้ว แม่จะทำขนมให้ฉันหิ้วไปขายที่โรงเรียนด้วย ฉันไม่เคยได้ค่าขนมไปโรงเรียนและกินขนมที่เอาไปขายเลย เพราะถ้ากิน จะถูกแม่ตี แม่บอกว่าได้กำไรนิดเดียว ถ้าฉันกินก็จะขาดทุน พอออกจากโรงเรียนฉันก็คิดทำงานหาเงินอย่างเดียว ช่วงหน้าฝน ก็ไปรับจ้างปลูกข้าว จริง ๆ ฉันไม่ค่อยชอบทำเพราะกลัวปลิง แต่พ่อแม่บังคับให้ทำ แม่บอกว่าเราจะเลือกงานไม่ได้ เพราะเกิดเป็นคนต้องทำได้ทุกอย่าง ถ้าเราไม่ทำไม่รู้จักหาเงิน เราก็จะอด ถ้าทำไหวก็ได้กิน ทำไม่ไหวก็ไม่ได้กิน ใครจะมีน้ำใจมาเลี้ยงเรา ถ้าเราไม่หาเลี้ยงตนเอง"


 


หน่อแอ้รับจ้างทำงานอยู่ในหมู่บ้านจนถึงอายุ 16 ปี จึงตัดสินใจ มาทำงานเมืองไทยโดยที่ยังไม่รู้เลยว่า "เมืองไทย" อยู่ที่ไหน


 


"ตอนนั้นที่บ้านยังไม่มีทีวี ได้ยินชื่อเมืองไทยจากคนที่เคยมาทำงาน แต่ไม่รู้ว่าเป็นยังไง รู้แต่ว่าพูดไม่เหมือนกับเรา บางคน บอกว่าอย่าไปเลย เดี๋ยวตำรวจจับเอาไปเป็นเมีย บางคนก็บอกว่า เค้าจะเอาปลิงมาดูดเลือดเรา แล้วเอาปลิงไปขาย บางคนก็บอกว่า ทำงานเมืองไทยดี เพราะเก็บเงินได้เยอะ ตอนนั้นคิดแต่ว่า ถ้าไป ทำงานเมืองไทยคงได้เงินเยอะ เพราะเป็นคนบ้างาน คงเก็บเงินได้เยอะ ไม่ได้คิดว่าจะมาสุขสบาย จะมาหาเงินอย่างเดียว สักห้าปีก็พอแล้ว ได้เงินสักก้อนใหญ่ ๆ จะกลับไปเปิดร้านขายผ้าในหมู่บ้าน เพราะคนจะซื้อผ้าชุดใหม่เวลามีงานบุญ"


 


หน่อแอ้ตัดสินใจมาเมืองไทยพร้อมกับผู้หญิงในหมู่บ้านที่เคยมาทำงานเมืองไทยและกลับไปเยี่ยมบ้าน เธอเริ่มต้นทำงานหลายอย่างเช่นเดียวกับแรงงานอพยพทั่วไป ตั้งแต่ปั้มน้ำมัน โรงงานและแม่บ้าน ตอนแรกเธอทำงานอยู่เฉพาะในอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก  แต่หลังจากมีคนชวนไปทำงานกรุงเทพฯ โดยให้ความหวังว่าจะได้เงินมากกว่า เธอจึงตัดสินใจมุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ ทว่า ความฝันของเธอไปไม่ถึงความจริง และเธอต้องพบกับฝันร้ายที่ยากจะลืมเลือน


 


"ยังไปไม่ถึงกรุงเทพหรอกค่ะ เพื่อนคนไทยอีกสองคนเป็นคนพาฉันไปกรุงเทพ เราสามคนนั่งรถสองแถวจะเข้าไปต่อรถทัวร์ที่ตัวเมือง แต่รถสองแถวที่พวกฉันโดยสารมาถูกตำรวจเรียกตรวจบัตรประชาชน ตอนนั้นฉันไม่มีบัตรอะไรเลย ตำรวจก็เลยให้ฉันลงจากรถสองแถว เพื่อนฉันไม่โดนตำรวจจับเพราะเขามีบัตรประชาชนไทย แต่ต้องลงจากรถมาเป็นเพื่อนฉันด้วยเพราะกลัวว่าถ้าฉันลงไปคนเดียวอาจไม่ปลอดภัย


 


จากนั้นตำรวจก็พาฉันและเพื่อนนั่งรถกระบะออกไปจากจุดตรวจ ฉันไม่รู้หรอกว่าเขาจะพาฉันไปที่ไหน และก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหนเพราะเป็นเวลากลางคืน มันมืดไปหมดทุกหนทุกแห่ง ระหว่างทางตำรวจแวะซื้อเหล้าและกินเหล้าระหว่างที่ขับรถไป เขาพาเรามายังบ้านหลังหนึ่ง คืนนั้นเราต้องพักที่นั่น เขาให้เราอยู่ในห้องๆ หนึ่ง ข้างฝามีแต่รูปผู้หญิงโป๊ ฉันอาบน้ำเปลี่ยนชุดใส่กางเกงขาสั้นแต่ก็ไม่ได้สั้นมาก แค่ระดับเข่า ตำรวจคนหนึ่งเอามือมาลูบตรงน่อง ฉันกลัวมากรีบดึงขาหลบ แต่เขาก็ไม่ได้ทำอะไร ตอนนั้นฉันกลัวมาก นอนไม่หลับทั้งคืน ฉันได้แต่สวดมนต์ภาวนา อธิษฐานอยู่ในใจว่า ฉันมาที่เมืองไทยไม่ได้มีเจตนาที่จะมาเป็นพิษเป็นภัยต่อบ้านเมืองเขา ฉันมาดี ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยคุ้มครองให้พ้นจากอันตรายด้วยเถิด"


 



คืนนั้น คำภาวนาของเธอบรรลุผล เธอจึงไม่ต้องพบกับประสบการณ์อันเลวร้ายที่ผู้หญิงทุกคนหวาดกลัว เช้าวันรุ่งขึ้น เธอถูกส่งไปยังห้องขังเพื่อรับบทลงโทษในฐานะหลบหนีเข้าเมืองเป็นเวลาหนึ่งเดือน เธอเล่าถึงช่วงเวลาอันทุกข์ทรมานในคุกว่า


 


"ฉันถูกขังอยู่ในคุกสกปรกและลำบากมาก รู้สึกว่าเวลาที่ผ่านไปแต่ละวันมันนานมาก"


 


หลังพ้นโทษ เธอตัดสินใจทำงานอยู่ในอำเภอแม่สอดเหมือนเดิม และไม่กล้าเดินทางไปกรุงเทพฯ อีกเลย เธอทำงานเป็นแม่บ้านเลี้ยงเด็กได้รับเงินเดือน 1,500 บาท หากมีเวลาว่าง จะออกไปรับจ้างทำงานบ้านอื่นหารายได้พิเศษ และช่วงเวลานี้เองที่ทำให้เธอก้าวไปสู่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของชีวิต


 


"ตอนฉันรับจ้างทำงานพิเศษที่บ้านหลังอื่น ๆ ฉันได้เข้าไปทำงานบ้านให้กับนายจ้างชาวต่างชาติที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชน เขาดีกับฉันมาก ฉันไปทำความสะอาดที่บ้านเขา ตอนหลังเขาจะไปทำงานจังหวัดอื่น เขาชวนให้ไปทำงานกับเขาและจะให้ฉันเรียนภาษาอังกฤษด้วย ฉันดีใจมาก พอกลับมาบอกนายจ้างคนไทยว่าจะลาออก เขาทำท่าไม่พอใจเพราะไม่มีใครช่วยงานบ้าน และยิ่งตอนที่เขารู้ว่าฉันจะไปเรียนภาษาอังกฤษด้วยแล้ว เขาพูดจาดูถูกว่า ฉันเป็นคนกะเหรี่ยงจะเรียนภาษาอังกฤษได้ไงไม่เจียมตัว ฉันก็รู้สึกเสียใจเหมือนกันที่เขาพูดอย่างนั้นกับฉัน"


 


ไม่นานต่อมา หน่อแอ้ได้แปรเปลี่ยนความรู้สึกเสียใจเป็นความตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษอย่างเต็มที่ จนกระทั่งเธอสามารถสมัครเข้าทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชนต่างประเทศแห่งหนึ่งและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ปัจจุบัน หน่อแอ้สามารถใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารได้เป็นอย่างดี เธอกลับไปพาน้องสาวอีกสองคนมาช่วยทำงานเก็บเงินส่งไปให้ทางบ้าน รวมทั้งหาทางช่วยน้องทั้งสองคนให้ได้เรียนภาษาอังกฤษจากอาสาสมัครชาวต่างชาติ


 


ทุกวันนี้พ่อของเธอได้เป็นเจ้าของที่นา ไม่ต้องทำงานรับจ้างคนอื่นอีกต่อไป ขณะที่เธอและน้อง ๆ สองคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกว่าแรงงานอพยพส่วนใหญ่


 


หน่อแอ้บอกเล่าถึงความรู้สึกในวันที่ฝันเล็ก ๆ ของเธอเป็นจริงและความฝันที่เธอวาดไว้ในอนาคตข้างหน้าว่า


 


"ฉันคิดว่า ความฝันของฉันแบ่งเป็นสองระยะ ระยะแรกคืออยากเก็บเงินให้ครอบครัว ความฝันนี้ฉันเดินมาถึงแล้ว ความฝันระยะที่สอง เป็นความฝันที่เกิดขึ้นหลังจากมีคนมาไขกุญแจอนาคตให้ฉันได้รับโอกาสที่ดีกว่าคนจำนวนมาก ฉันจะไม่มีวันลืมเหตุการณ์นี้เลย เพราะมันไม่ได้เปลี่ยนชีวิตของฉันแค่คนเดียว แต่เปลี่ยนชีวิตคนอีกหลายๆ คน ตอนนี้ในระยะที่ยังไม่ยาวเท่าไหร่ ฉันก็ได้ช่วยน้องสองคนแล้ว ฉันคิดว่าฉันโชคดีมากๆ แล้วก็อยากใช้ความโชคดีของฉันให้เป็นประโยชน์กับคนอื่นบ้าง ดังนั้น ความฝันของฉันในอนาคตคือ อยากกลับไปพัฒนาหมู่บ้านของตนเอง เพราะตอนนี้ฉันได้เรียนรู้เคล็ดลับการพัฒนาหลายอย่างจากเมืองไทยแล้ว ฉันอยากนำความรู้เหล่านี้ไปปรับใช้ในหมู่บ้านของตนเองบ้าง


 


โครงการแรกที่อยากทำ คือ หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ฉันอยากกลับไปส่งเสริมอาชีพอะไรก็ได้ที่จะทำให้กลุ่มแม่บ้านมีรายได้อยู่ในหมู่บ้าน อยากตั้งศูนย์ฝึกอบรมอาชีพ จ้างครูฝึกดี ๆ เพราะถ้ากลุ่มแม่บ้านมีรายได้ก็จะมีเงินส่งลูกเรียนสูง ๆ   ทุกวันนี้ ถ้าคนไม่ได้เรียนหนังสือก็จะมาทำงานเมืองไทย แล้วก็กลับไปแต่งงานมีลูก พอลูกโตก็มาทำงานเมืองไทย วนเวียนอยู่แบบนี้


 


โครงการที่สองคือการพัฒนาความรู้ให้เด็กๆ หาเงินเดือนที่เพียงพอกับรายจ่ายมาให้ครู เพราะครูจะได้ไม่ต้องหยุดสอนไปหารายได้เสริม และไม่มีเวลาใส่ใจเด็กๆ


 


โครงการที่สาม คือให้ความรู้ด้านสุขภาพ เช่น การคุมกำเนิด การป้องกันโรคต่างๆ เป็นต้น และโครงการสุดท้าย คืออบรมให้ผู้ชายเลิกเหล้าและเล่นการพนัน เพราะจะทำให้ผู้ชายนิสัยเสีย ไม่ดูแลครอบครัว มีชีวิตอยู่ไปวันๆ ไม่ได้คิดถึงอนาคต"


 


หน่อแอ้บอกถึงเหตุผลที่เธออยากทำโครงการเหล่านี้ว่า เป็นเพราะเธอไม่อยากเฝ้ารอคอยให้ผู้บริหารประเทศหันมาใส่ใจประชาชนเพียงฝ่ายเดียว แต่เธออยากเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้นด้วยมือเธอเอง


 


"ถ้าเรายังเลือกระบบการปกครองหรือผู้บริหารประเทศที่ดีไม่ได้ ฉันจะไม่โยนความผิดให้ผู้บริหารประเทศเพียงอย่างเดียว ถ้ามีโอกาสทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นได้ ฉันจะลงมือทำ เพราะถ้าเรามัวแต่รอให้คนอื่นมาทำ คนที่แย่อยู่แล้วก็จะแย่ลงไปเรื่อย ๆ"