ระงับความรุนแรงด้วยสันติวิธี
คอลัมน์/ชุมชน
เมื่อมีความรุนแรงเกิดขึ้น ผู้คนมักอยากรู้ว่า "ใครทำ ?" แต่ไม่ค่อยสนใจถามว่า "ทำไมเขาจึงทำ?" ทั้ง ๆ ที่คำถามข้อหลังนั้นสำคัญกว่าคำถามข้อแรกด้วยซ้ำ โดยเฉพาะกรณีที่เป็นความรุนแรงซ้ำซาก เช่น วัยรุ่นตีกัน การปล้นจี้ รวมไปถึงการก่อความไม่สงบในภาคใต้
คำถามนั้นมีอิทธิพลต่อคำตอบหรือวิธีแก้ไขปัญหา เพราะหากเราถามว่า "ใครทำ ?"
ผลที่ตามมาก็คือเรามักจะแก้ปัญหาด้วยการจัดการกับตัวบุคคล เช่น จับเขาเข้าคุก หรือไม่ก็ขจัดเขาออกไปจากโลกนี้ ถ้าไม่ด้วยการประหาร ก็ด้วยการฆ่าตัดตอน
แต่ถ้าเราถามว่า "ทำไมเขาจึงทำ?" คำตอบที่ได้ทำให้เราหันมาแก้ปัญหาที่เงื่อนไขหรือเหตุปัจจัยที่เป็นรากเหง้าของปัญหา ซึ่งมักได้แก่สภาพสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง คำถามดังกล่าวช่วยให้เราพุ่งเป้าไปที่ตัวบุคคลน้อยลง แต่เน้นที่การจัดการกับเหตุปัจจัยที่อยู่เหนือหรือแวดล้อมตัวบุคคล
ในพระไตรปิฎกมีพระสูตรหนึ่งที่เล่าถึงเมืองซึ่งประสบปัญหาโจรผู้ร้ายชุกชุม พระเจ้าแผ่นดินนั้นเดิมคิดจะแก้ปัญหานี้ด้วยการจับโจรผู้ร้ายมาประหาร จองจำ ปรับไหม หาไม่ก็เนรเทศ แต่พราหมณ์ปุโรหิตทัดทานว่าวิธีการดังกล่าวไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เพราะจะต้องมีโจรผู้ร้ายที่หลุดรอดมาได้และก่อปัญหาต่อไปไม่จบสิ้น วิธีการที่พราหมณ์เสนอก็คือให้พระเจ้าแผ่นดินเพิ่มพันธุ์ข้าวและข้าวสารแก่เกษตรกรผู้ขยันขันแข็ง เพิ่มเงินเป็นทุนแก่พ่อค้าผู้ขยันขันแข็ง และแจกเบี้ยหวัดและเงินเดือนแก่ข้าราชการผู้ขยันขันแข็ง เมื่อพระเจ้าแผ่นดินปฏิบัติตาม ปรากฏว่าไม่นานโจรผู้ร้ายก็หมดไป ผู้คนมีความสุข พระไตรปิฎกบรรยายว่า แม้กระทั่งเด็ก ๆ ก็ฟ้อนอยู่บนอกแม่อย่างบันเทิงใจ ชาวเมืองไม่ต้องปิดประตูบ้านอีกต่อไป
ในทัศนะของพราหมณ์ผู้นี้ ปัญหาโจรผู้ร้ายนั้นแก้ไม่ได้ด้วยการถามว่า "ใครทำ?" แต่ต้องเริ่มต้นจากคำถามว่า "ทำไมเขาจึงทำ ?" จากจุดนี้เองจึงไปสู่การแก้ปัญหาด้วยการกระจายโภคทรัพย์ให้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม กระทั่งความยากจนหมดไป ความอุดมสมบูรณ์บังเกิดขึ้น เมื่อนั้นโจรผู้ร้ายก็หมดไปเอง กล่าวอีกนัยหนึ่งวิธีการของพราหมณ์ผู้นี้ก็คือการแก้ปัญหาที่รากเหง้าอันได้แก่สภาพเศรษฐกิจของเมืองนั้นนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม วิธีการของพราหมณ์ผู้นี้ย่อมไม่ใช่สูตรสำเร็จในการแก้ปัญหาอาชญากรรมหรือความรุนแรงที่เกิดขึ้นในที่อื่น ๆ เพราะแต่ละแห่งก็มีปัญหาและเหตุปัจจัยแตกต่างกันไป แต่ประเด็นสำคัญก็คือ การแก้ปัญหาความรุนแรงให้หมดสิ้นไปนั้น ไม่ควรเน้นที่การกำจัดหรือจัดการกับตัวบุคคล หากควรให้ความสำคัญกับเงื่อนไขหรือสภาพแวดล้อมทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองเป็นหลัก
ความรุนแรงจากวัยรุ่นเป็นปัญหาหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นทั่วสหรัฐอเมริกา มีหลายเมืองแทนที่จะเพิ่มกำลังตำรวจให้มากขึ้น กลับใช้วิธีที่นุ่มนวลและลึกซึ้งกว่านั้น ได้แก่การสร้างโอกาสหรือเปิดพื้นที่ให้เยาวชนแสดงความสามารถเพื่อให้เป็นที่ยอมรับของสังคม ซึ่งจะช่วยให้เขามีความเคารพตนเองมากขึ้น โอกาสดังกล่าวมิใช่แค่โอกาสในทางอาชีพการงานเท่านั้น แต่รวมถึงโอกาสในทางการกีฬาด้วย เช่นเมืองมิลวอคกีได้ริเริ่ม "โครงการบาสเกตบอลเที่ยงคืน" ปรากฏว่าสามารถลดความรุนแรงในวัยรุ่นได้ถึงร้อยละ ๓๐ ปัจจุบันมีร่วมร้อยเมืองที่จัดทำโครงการดังกล่าว
นอกจากนั้นอีกหลายเมืองทั่วประเทศยังได้จัด "ชมรมการบ้าน" เพื่อให้คนหนุ่มสาวมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมสร้างสรรค์หลังเลิกเรียน บางเมืองในรัฐฟลอริดาสามารถลดความรุนแรงที่เกิดจากปืนได้ถึงร้อยละ ๗๐ หลังจากจัดทำโครงการดังกล่าวขึ้น
โครงการดังกล่าวประสบความสำเร็จเพราะจับประเด็นได้ว่าความรุนแรงในวัยรุ่นนั้นเกิดจากความต้องการแสดงตัวตนให้เป็นที่ยอมรับของผู้คนโดยเฉพาะกลุ่มของตน เมื่อไม่สามารถแสดงตัวตนให้ออกมาในทางบวกได้ ก็หันไปหาวิธีแสดงออกในทางลบ เช่น ก่อความรุนแรง แต่หากมีพื้นที่ให้เขาพัฒนาและแสดงออกตัวตนในทางบวก จนเป็นที่ยอมรับของสังคม แนวโน้มที่จะก่อความรุนแรงก็ลดลง โดยไม่จำต้องจับคนเหล่านั้นเข้าคุกหรือทำ "วิสามัญฆาตกรรม" อย่างที่นิยมในบางประเทศ
"พื้นที่" ที่จะให้เขาแสดงความสามารถหรือตัวตนออกมานั้น จะมีความหมายอย่างแท้จริงต่อเมื่อเปิดโอกาสให้เขามีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ตั้งแต่การร่วมคิดและร่วมตัดสินใจ มีหลายโรงเรียนในสหรัฐอเมริกาพบว่า วิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการป้องกันความรุนแรงในโรงเรียน มิใช่การเพิ่มจำนวนตำรวจหรือการติดตั้งเครื่องตรวจจับโลหะ แต่ได้แก่การนำนักเรียนเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้น ไม่ใช่ปล่อยให้ผู้ใหญ่หรือฝ่ายบริหารเป็นผู้คิดและสั่งให้เด็กทำตามความคิดของตนเท่านั้น ปัจจุบันในสหรัฐอเมริกาจึงมีวัยรุ่นเป็นจำนวนมากได้รับเชิญเข้าไปเป็นคณะกรรมการบริหารขององค์กรต่าง ๆ ที่ทำงานแก้ปัญหาวัยรุ่น
นอกจากการมีส่วนร่วมของผู้ที่เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาแล้ว ความร่วมมือของฝ่ายที่สามหรือประชาชนผู้ได้รับผลกระทบก็มีความสำคัญเช่นกันในการป้องกันความรุนแรง บ่อยครั้งสามารถทำได้ดีกว่าลำพังเจ้าหน้าที่รัฐด้วยซ้ำ เมื่อชาวฮินดูหัวรุนแรงบุกทำลายมัสยิดในเมืองอโยธยาในปี ๒๕๓๕ นั้น จลาจลระหว่างศาสนาได้เกิดขึ้นตามมาทั่วประเทศอินเดีย เหตุการณ์นองเลือดเกิดขึ้นแทบทุกหนแห่งที่มีผู้นับถือสองศาสนาอยู่ด้วยกัน แต่เมืองบิวานดีกลับสงบสุข ทั้ง ๆ ที่ประชากร ๒ ใน ๓ เป็นมุสลิม ขณะที่เมืองบอมเบย์ซึ่งอยู่ไม่ไกลกลับเต็มไปด้วยความรุนแรง
เหตุผลสำคัญประการหนึ่งก็คือ เมืองบิวานดีมีการจัดตั้งคณะกรรมการสันติสุขในท้องที่ต่าง ๆ ถึง ๗๐ แห่งทั่วเมือง โดยมีคนทุกระดับและทุกอาชีพมาเป็นกรรมการ ไม่เว้นแม้แต่คนขายของข้างถนน คณะกรรมการดังกล่าวมีการประชุมกับตำรวจทุกสัปดาห์ เพื่อพูดคุยถึงปัญหาและการแก้ไขในชุมชน ทำให้ความต้องการของกลุ่มชนต่างศาสนาและต่างชาติพันธุ์ได้รับการตอบสนอง ขณะเดียวกันกรรมการสันติสุขก็ทำหน้าที่เชื่อมประสานกลุ่มคนต่างศาสนาและต่างชาติพันธุ์ด้วย
เมื่อเกิดจลาจลทั่วประเทศ คณะกรรมการสันติสุขดังกล่าวมีบทบาทสำคัญในการบรรเทาความหวาดระแวงและความโกรธของผู้คน รวมทั้งระงับข่าวลือที่ยั่วยุ อีกทั้งยังให้ข้อมูลแก่เจ้าหน้าที่ว่าใครเป็นผู้ยุยงความรุนแรงและสะสมอาวุธ เมื่อตำรวจถูกโจมตี แทนที่จะยิงตอบโต้อย่างที่เกิดขึ้นในบอมเบย์ ซึ่งเท่ากับยั่วยุให้เกิดความรุนแรงเพิ่มขึ้น ตำรวจกลับขอความช่วยเหลือจากชุมชน ซึ่งทำให้ตามจับผู้ก่อเหตุได้ การร่วมมือระหว่างตำรวจกับชุมชนต่างศาสนาต่างชาติพันธุ์ได้เป็นปราการสำคัญที่ป้องกันเพลิงแห่งความรุนแรงและความโกรธเกลียด ไม่ให้ลุกลามเข้ามาทำลายสันติสุขและความสามัคคีในเมืองนี้ได้
เมืองไทยสามารถเรียนรู้ได้มากมายจากกรณีต่างๆ ข้างต้น โดยเฉพาะความสำเร็จของเมืองบิวานดี ประชาชนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังมีโอกาสที่จะผนึกกำลังกันป้องกันความรุนแรงที่เกิดขึ้น โดยรวมกันเป็นคณะกรรมการสันติสุขในทุกท้องที่และทุกระดับ โดยเริ่มจากระดับหมู่บ้าน อันที่จริงนี้เป็นข้อเสนอ ๑ ใน ๑๔ ประการของคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้รับการตอบสนองจากรัฐเท่าที่ควร แม้กระนั้นก็ยังไม่สายที่จะริเริ่มขึ้นมา จริงอยู่ความระแวงและความเจ็บปวดได้เกิดขึ้นมากแล้วในหมู่ประชาชน แต่ต้นทุนแห่งสายสัมพันธ์และความไว้วางใจระหว่างชนต่างศาสนาต่างชาติพันธุ์ก็ยังมีอยู่ไม่น้อย จะว่าไปแล้วยังมากกว่าเมืองบิวานดีซึ่งเคยมีการจลาจลระหว่างศาสนาถึงขั้นล้มตายกันหลายร้อยคนในปี ๒๕๑๓ และ ๒๕๓๑ แต่ไม่กี่ปีต่อมาก็ยังสามารถฟื้นสายสัมพันธ์จนรักษาความสงบไว้ได้ท่ามกลางเปลวเพลิงทั่วประเทศ
ความรุนแรงนั้นไม่อาจระงับได้ด้วยความรุนแรง สันติวิธีที่เปิดโอกาสให้ผู้คนมี "ส่วนร่วม" และ "ร่วมมือ" กันต่างหากที่จะสามารถป้องกันและระงับความรุนแรงได้ในที่สุด โดยสูญเสียน้อยที่สุดด้วย
บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกใน โพสต์ทูเดย์ ธันวาคม ๒๕๔๘