Skip to main content

จดหมายรักระหว่างเพื่อน : 5 เราเหมือนดอกหญ้า?

คอลัมน์/ชุมชน

 

ในจดหมายหรือบันทึกหลายๆ ฉบับของเรา มักจะมี "ดอกหญ้า" เสมอ


 


ดูเหมือนว่า นานมาแล้ว เราเคยอ่านพบว่า ดอกหญ้า เป็นวัชพืชที่แข็งแรง อดทนต่อการเหยียบย่ำ จะว่าไปแล้ว ประสบการณ์ตรงก็สอนเราแบบนั้นเหมือนกัน


 


เราเคยไปรับจ้าง "เอาหญ้า" หมายถึงการกำจัดวัชพืชออกจากแปลงสิ่งเพาะปลูกอื่น ดอกหญ้าสวยเหลือเกิน เราเคยชี้ชวนกันชม แต่มันก็ไม่เคยเป็นที่ต้องการ เมื่อเราลองเก็บมาใส่แจกัน เพื่อนหลายๆ คนหัวเราะเราด้วยซ้ำ บางคนถึงกับพูดว่า "ตลก พวกเธอทำอะไรประหลาดแท้"


 


ในช่วงวัยนั้น เรามีความใฝ่ฝันมากมายต่อสิ่งต่างๆ ทั้งใกล้และไกลตัวเรา แต่ลึกในจิตใจ สิ่งที่ผูกพันเราทั้งคู่ไว้ อาจเป็นความตระหนักถึง "ความทุกข์" ที่เราประสบ


 


เราทุกข์กับเรื่องที่คนอื่นๆ หัวเราะ เป็นต้นว่า เราชอบการเขียนบทกวี เขียนเรื่องสั้น เขียนโน่นเขียนนี่ ขณะที่เรามีข้าวปลาอาหารบริบูรณ์ (ทรัพยากรยังอุดมสมบูรณ์ และเราก็หาของกินเองได้) แต่เงินทองเป็นของหายาก


 


สมุดฉีกเล่มละ 4-5 บาท เราต้องเจียดเงิน เจียดแล้ว เจียดอีก ยังจำได้ว่า เราเคยมีหมูออมสินคนละตัว เก็บหอมรอมริบเพื่อจะออมเงินไว้ซื้อสมุด ปากกา และสีเมจิก ไว้วาดเขียนตามใจปรารถนา


 


เธอมักชอบวาดรูปดอกหญ้า ฉันก็เช่นกัน เราลงความเห็นกันว่า มันเป็นพืชไร้ค่า เหมือนเราสองคนนั่นเอง แต่เราก็ชอบมันเหลือเกิน ทุกครั้งที่สายลมพัดโบกมา ดอกหญ้าไหวเอนตามข้างทางหรือริมฝั่งลำธาร เราจะเฝ้ามอง และบอกกันเสมอว่า


"สวยจังเลยนะ"


 










 


ความรัก...


หากมันคือสิ่งที่ฉันไม่ปรารถนา และเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ ฉันจะหลีกไปให้ไกลที่สุด ฉันจะไม่ขอพานพบ


 


ความรักอาจจะเป็นของหวานที่ใครๆ อยากลอง แต่สำหรับความรักของฉัน มันอาจเป็นยาขมที่กลืนไม่ได้ ฉันไม่อยากรักกับใคร เมื่อรักไปแล้ว กลัวว่าทั้งฉันและเขาจะพบความขมขื่


 


เขาเปรียบเสมือนดาวที่ประดับบนท้องฟ้าให้สวยงาม ยามรัตติกาล แล้วยังช่วยส่องทางไสวในเวลากลางคืนอีกด้วย


สำหรับฉันเปรียบเสมือนดอกหญ้าดอกเล็กๆ ดอกหนึ่ง ที่ใครๆ เขาชอบถอนทิ้ง และยังเป็นวัชพืชในเผ่าพันธุ์ ที่ใครๆ ไม่ต้องการเด็ดดม ชมเชยหรอก


เพราะฉะนั้น เขาและฉันห่างกันไกลจนเกินฝัน เรารักกันไม่ได้ ฉันขอหลีกห่างความรักนี้ออกไปให้ไกลหัวใจมากที่สุด


 


ไปเถอะคนดี ชาตินี้เธอสูงเกินไปสำหรับดอกหญ้าอย่างฉัน มันจน มันเจียมหัวใจ และคิดเสมอว่าชาตินี้คงรักเธอไม่ได้ ฉันไม่กล้าเอื้อมมือไปสอยดวงดาวบนท้องฟ้าอย่างเธอ มาประดับหัวใจฉันได้หรอก


อย่างดีที่สุด ก็แค่มองดวงดาวอย่างเธอเมื่อยามเหงาๆ เท่านั้นเอง ตัดไปเสียเถอะสัมพันธ์ ตัดทิ้งก่อนที่เธอและฉันจะมีน้ำตามาทดแทนกาลเวลาเพื่อลืมกัน ระหว่างเราสองคน


 


เชื่อฉันสิคนดี ลืมมันให้หมดนะ ดวงดาวอย่างเธอไม่ไร้หรอก คนรักอีกสักคน เขาคนรวยๆ สวยๆ ดีๆ ระหว่างดวงดาวกับดวงดาว ขอให้เธอจงประสบในความรักต่อไป อย่าใส่ใจดอกหญ้าอย่างฉันเลย


 


ฉันจะรักเธอหรือใครๆ ไม่ได้หรอก เพราะ "มันจน"


 


วรางคนางค์ / 2529


 



 


อย่างไรก็ดี เราเริ่มคิดเห็นแตกต่างกันทีละน้อย ในขณะที่เธอพร่ำเสมอว่า ดอกหญ้าเหมือนเรา (ฉันก็คิดเช่นนั้น) แต่ฉันไม่เชื่อว่า เราจะเป็นดอกหญ้าตลอดกาล


 


ในมุมมองของฉัน ใครจะหัวเราะเรา ก็ให้เขาหัวเราะไปเถิด วัชพืชก็มีคุณค่าตามประสามัน มีความอดทนต่อการเหยียบย่ำ ไฟมา หน้าแล้ง จำพวกพืชหญ้าดูเหมือนสูญหาย แต่ฝนพรมลงมาสักนิด มันก็กลับฟื้นตื่น


เธอเสียใจอยู่เกือบตลอดเวลา กับความรักที่มีต่อ "นักศึกษา" คนนั้น เธอพยายามห้ามตัวเองไม่ให้ "เกินเลย" ไปกับเขา คำว่าเกินเลยในสมัยนั้นก็แค่ไปไหนมาไหนด้วยกัน ตกลงว่าเป็น "แฟน" เท่านั้นเอง


 


เราเกือบทะเลาะกัน เพราะไม่เข้าใจกัน เธอคิดว่าฉันเอาเธอไปนินทาว่าร้าย ขณะที่ฉันพยายามจะบอกเธอว่า เอาเข้าจริงๆ เขาไม่ได้เป็นดาว เราไม่ได้เป็นดอกหญ้า แต่เราเป็น "คน"


ในความเป็นคน ที่แม้ลำบากยากจน แม้ต้องดิ้นรน ไม่ได้เรียนหนังสือ เป็นเหมือนนักเดินทางพเนจร ไม่มีหัวนอนปลายเท้าในสายตาหลายๆ คน แต่เราก็มีหัวใจ


 







เพื่อนรัก...


 


ฉันได้รับ จ.. ของเธอเรียบร้อยแล้วจ๊ะ ดีใจมากที่ได้รับ เธอคงสบายดีนะ สำหรับฉันก็งั้นๆ


 


จาริก เธอยังเป็นเธอเหมือนเดิมอีกหรือเปล่า ฉัน (นางค์) ยังเป็นฉันเสมอนะ จาริกจ๋า ฉันได้รับรู้เรื่องทั้งหมดที่เกี่ยวกับฉันและยุทธที่บ้านหมดแล้ว ทำไมเธอต้องไปว่านวลและแม่เขาอย่างนั้นล่ะ


 


ก็เธออีกคนไม่ใช่เหรอที่ประณามและนินทาฉัน คงไม่ต้องบอกหรอกนะว่าเรื่องอะไร และเธอนินทาฉันอย่างไร ฉันมันแค่นี้แหละ ฉันไม่โกรธ ไม่โทษใครทั้งนั้น เพราะตลอดเวลาที่พวกเธอรวมหัวกัน ไม่เป็นความจริง...


 


จาริกจ๋า ถึงแม้เธอจะมองฉันในแง่ใด มุมไหน แต่เธอจำไว้นะ ฉันเป็นเพื่อนของเธอ ตลอดระยะเวลาที่คบกันมา รู้มั้ยว่าฉันไว้ใจรักและรู้สึกอบอุ่น มีเธอรู้ใจเข้าใจอย่างถ่องแท้ เธอช่วยปลอบโยนฉันเสมอ ฉันยังรักและคิดถึงเธอตลอดเวลา...


 


วรางคนางค์


 



 



แต่ขณะเดียวกัน ฉันก็เข้าใจว่า ที่เธอคิดมากอย่างนั้น เพราะมีกฎเกณฑ์หลายๆ อย่างที่ต้องยอมรับ


 


ฉันเอง ในวัยเด็ก แม้ครอบครัวของเราจะลำบากยากจนเหมือนกัน แต่สิ่งที่แตกต่างคือ ขณะที่พ่อแม่ของฉันค่อนข้างให้อิสระ (หรือคือการไม่เอาใจใส่?) ฉันสามารถหิ้วกระเป๋า 1 ใบออกบ้าน โดยบอกว่า "ไปแล้วนะ" พ่อหรือแม่ อาจไม่มีคำถามสักคำเดียว


หรือแม้กลับไป ก็อาจจะแค่


"กินข้าวมาหรือยัง เป็นไงที่ทำงานใหม่...จะกลับไปอีกเมื่อไหร่ ฯลฯ"


 


ไม่มีคำถามกดดัน หรือแม้แต่จะขีดเส้นว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้


 


มีบ้าง ญาติผู้ใหญ่ฝ่ายแม่บางคนเคยมาจ้ำจี้จ้ำไช สอนให้ฉัน "ขยัน ประหยัด อดทน เป็นคนดี เป็นแม่ญิงที่ดี" แต่เจอเด็กอย่างฉันสวนกลับว่า "อย่ามายุ่ง! ไม่ใช่แม่ ไม่ต้องมาสอน!!" ก็ด่าพลางถลกผ้าถุงออกนอกบ้านอย่างหัวเสียสุดขีด


 


แต่สำหรับเธอ...น้อยครั้งที่จะเอ่ยปากถกเถียงกับใคร ถูกดุด่าว่ากล่าวก็ก้มหน้ายอมรับ อย่างมากก็น้ำตาคลอ กลับมาเขียนจดหมาย เขียนบันทึก หรือร้องไห้อยู่กับไหล่ฉัน


ญาติๆ ของเธอ ตลอดทั้งคนรอบๆ ตัว จึงได้ใจกันหนักหนา พยายามจัดวางเธออย่างนั้นอย่างนี้ และที่น่าเศร้าที่สุด ต่างลงความเห็นว่า เธอเป็นคนจน เธอควรจะต้องนำพาชีวิตตัวเองไปสู่ความมั่งคั่ง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง


หรืออย่างง่ายที่สุด คือมีสามีสักคน (อย่าเอาที่เขาสูงส่งกว่าเรา) เอาคนที่ขยันทำมาหากิน มีที่ไร่ที่นา มีทรัพย์สมบัติ แล้วชีวิตจะดีเอง


 


 


 







จาริก...


 


เธอช่วยฉันคิดหน่อยได้มั้ย ว่าทำไมพวกเขาเหล่านั้นถึงตามจับผิดเกี่ยวกับชีวิตของฉันอยู่สม่ำเสมอ ทั้งๆๆ ที่ฉันก็ไม่ยุ่งเกี่ยวอะไรกับพวกเขาแล้ว ทั้งพวกเขาและฉันก็ควรจะสิ้นสุดลงเพียงตรงนั้น ฉันต้องปวดหัวคิดมากตลอดเวลาที่ได้รู้เรื่องเหล่านี้ ฉันไม่ได้คบใครเลย ไม่มีเพื่อน ทุกวันจึงหมุกมุ่นอยู่กับกวีของเธอเท่านั้น


อยู่ที่นี่ ฉันมีปัญหาเกี่ยวกับครอบครัว มีปัญหาเกี่ยวกับชีวิต ฉันก็บอกเธอไม่ถูกเหมือนกัน ฉันต้องทนให้มากที่สุด ฉันเหงา...ยิ่งมีปัญหาอื่นๆ เข้ามาแทรกอีก ฉันยิ่งคิดมาก


 


จาริก...ฉันจะเป็นเพื่อนของเธอตลอดไปนะ ถึงแม้เธอจะคิดว่าฉันเป็นอย่างไรก็ตามแต่ ฉันจะไม่ขอความรัก ความเห็นใจจากเธอ ขอให้เธอรู้ด้วยว่า ฉันยังรักเธอ ไว้ใจเธอ และคิดถึงเธอเสมอ และโปรดจำไว้ด้วยว่า ฉันไม่เคยคิดประพฤติตัวเช่นนั้น ฉันเป็นผู้หญิง ฉันรู้ตัวเองดีเสมอ ต่อไปนี้ ฉันก็หวังอย่างยิ่งว่า เธอคงเข้าใจฉันมากกว่าที่ผ่านๆ มานะ


 


ฉันไม่ได้โกรธเธอหรอก ไม่ได้โกรธพวกนั้นด้วย ฉันจะถือว่าเป็นบทเรียนของชีวิต...ขอให้เธอรับรู้จากบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของฉัน


 


นี่แหละนะ เวลาที่พวกเขาต้องการเรา ทำดีกับเราทุกอย่าง ต่อเมื่อเราต้องการชีวิตเป็นของตัวเองมั่ง กลับพากันเหยียบย่ำดูถูก ฉันเบื่อเหลือเกิน พอเท่านี้ก่อนนะ


 


ยังรักและคิดถึงตลอดเวลา


 


วรางคนางค์


ปล. ตอบมาให้ด้วยนะจ๊ะ


 


 


 







เมื่อฉันยังเด็ก...เคยไปซื้อของที่ในเมืองกับแม่ จำได้ว่า แม่มักให้ฉันแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่ดีที่สุด หรือไม่ก็ชุดนักเรียนที่เรียบร้อย และแม่ก็บรรจงแต่งตัวสวยงามตามสายตาของแม่...


 


เมื่อเข้าไปในเมือง ฉันสังเกตเห็นผู้คนล้วนแต่งกายอย่างที่เรียกกันว่า "สุภาพ" ฉันไม่เข้าใจคำว่าสุภาพ ฉันเคยถามแม่ว่า ทำไม? เราจะมาซื้อของ ด้วยการใส่เสื้อผ้าเหมือนเราใส่อยู่บ้านไม่ได้...ทำไมเราจะต้องใส่เสื้อตัวเก่าๆ กางเกงขาสั้นโทรม แต่สะอาด มาไม่ได้ ในเมื่อเราเป็นคนมาซื้อ เราไม่ได้มาขาย ทำไมเราต้องคิดแบ่งชั้นวรรณะ วัดความดีงามของคนที่เครื่องแต่งกาย ฯลฯ


 


...ฉันไม่เข้าใจ ใครเป็นคนตั้งกฎเกณฑ์ขึ้นมา


 


มีอีกมากมาย สำหรับคำถามที่ฉันต้องการคำตอบ แต่แม่ไม่เคยให้คำตอบกับฉัน แต่มักจะพูดเสมอว่า "เด็กโง่ คิดบ้าๆ" และพ่อมักจะอมยิ้ม พูดว่า "ถ้าโตขึ้นจะรู้"


 


ฉันเคยสงสัย ทำไมล่ะ เสื้อผ้าผู้หญิงถึงตากราวเดียวกับเสื้อผ้าพ่อไม่ได้...ฉันเข้าใจดี ถึงการที่เขาเรียกว่า "การถือ อะไรสักอย่าง" ทำไมล่ะ ในเมื่อเพศหญิง เพศชาย มันก็เหมือนกัน มันแตกต่างกันตรงไหน ตรงความบึกบึนกับความบอบบาง หรือผู้ชายคือพระเจ้าที่ควรแก่การนับถือชั่วนิรันดร์ ทำไมผ้าถุงแม่ถึงวางรวมกับเสื้อผ้าพ่อไม่ได้ อะไรล่ะ ที่ทำให้ต้องทำอย่างนี้ ฉันไม่เข้าใจ...


 


และฉันเคยสงสัย เมื่อเห็นผู้ชายสองคนที่ข้างบ้านรักกัน อยู่ด้วยกันด้วยความเข้าใจ หากแต่ชาวบ้านว่าคือความวิปริต บอกฟ้าจะผ่า ฉันเห็นเขาสองคนอยู่ด้วยกันด้วยเอื้ออาทร เห็นเขาเอาใจใส่กันและกัน ดำรงชีวิตปกติธรรมดาทั่วไป...


 


...ทำไมล่ะ ถึงกล่าวประณาม ทำไมถึงคอยนินทาจับผิด ในเมื่อเขาสองคนรักกันด้วยใจ เขารักและร่วมชีวิตกันโดยเขาไม่คิดจะมีลูกมีหลาน