Skip to main content

สภาผู้ใหญ่แห่งชาติ

คอลัมน์/ชุมชน

"บ้านเมืองเรายามนี้อยู่ในขั้นวิกฤต ผู้ใหญ่กำลังมีปัญหาติดแฟชั่น เที่ยวห้าง เที่ยวผับ รวมกลุ่ม รวมก๊วนหาผลประโยชน์หลายอย่าง พวกเราจะอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ จะต้องรวมมือกันแก้ปัญหาที่ผู้ใหญ่เจอให้สำเร็จ….. ผมจะสนับสนุนให้เกิดสภาผู้ใหญ่แห่งชาติขึ้นภายในปี 2549 นี้"


 


เสียงประกาศก้องของรัฐมนตรีกระทรวงสร้างสรรค์สังคม ได้ประกาศนโยบายการพัฒนาผู้ใหญ่ต่อสื่อมวลชนภายหลังที่พรรคเด็กรักชาติของเขาได้รับการเลือกตั้งให้เป็นผู้นำรัฐบาล


 


รัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเด็กรักชาติมีสมาชิกที่เป็นเด็กมากกว่า 300 คน ถือว่ามีเสียงค่อนข้างมากในสภาผู้แทนเด็กและเยาวชน (สด.)  และพรรคมีนโยบายชัดเจนในการพัฒนาผู้ใหญ่ ซึ่งถือเป็นอดีตของประเทศและเป็นฐานกำลังสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ


 


การจัดตั้งสภาผู้ใหญ่แห่งชาติเป็นความคิดที่ผู้ใหญ่จากหลายภาคส่วนมีการเคลื่อนไหวมาอย่างยาวนาน และอยากให้เกิดองค์กรกลางในการประสานเชื่อมโยงกลุ่มผู้ใหญ่ที่อยู่ในพื้นที่ต่างๆ เป็นหนึ่งเดียว จึงมีข้อเสนอให้กระทรวงสร้างสรรค์สังคมรับเป็นเจ้าภาพในการดำเนินการ


 


"กระทรวงจะจัดตั้งสภาผู้ใหญ่ให้ครบทุกจังหวัด เราอยากเห็นผู้ใหญ่ทุกคนมาเป็นสมาชิกของสภา" รมต. กล่าวพร้อมกับแสดงข้อกังวลว่า "แม้เราจะทำให้เกิดครบทุกจังหวัดแต่เราก็ยังจำเป็นต้องระดมความร่วมมือและการสนับสนุนจากสมาชิกสภาผู้แทนเด็กและเยาวชนในพื้นที่เพื่อการติดตามและสนับสนุนการรวมกลุ่มของผู้ใหญ่อย่างต่อเนื่อง"


 


…


 


วันต่อมา


ข่าวพาดหัวใหญ่ในหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับ


"รัฐบาลวางเกมกู้วิกฤตศรัทธาจัดตั้งสภาผู้ใหญ่"


"กระทรวงสร้างสรรค์เดินเกมใหม่ ไม่เน้นควบคุมแต่ส่งเสริม"


"เดินหน้าตั้งสภาผู้ใหญ่ครบทุกจังหวัด"


สารพัดข่าวพาดหัว กระจายออกไปสู่ทุกมุมเมือง ผู้ใหญ่หลายคนพอทราบข่าวก็ดีใจเป็นอย่างมากที่จะมีองค์กรของตัวเองขึ้นสักที


 


"แก… เห็นข่าวที่รัฐบาลจะตั้งสภาผู้ใหญ่หรือยัง" ลุงทักษา ดีใจและวิ่งเข้ามาถามลุงพัฒนาที่กำลังนั่งกินข้าวต้มอยู่ที่ร้านกาแฟหน้าหมู่บ้าน


"แกไปโดนใครไล่ที่ไหนมาวะ" ลุงพัฒนาถาม และพูดต่อว่า "ข้ารู้ข่าวนี้แล้ว ดีใจจังที่รัฐบาลเห็นความสนใจพวกเราจริงๆ"


"เมื่อก่อนที่รัฐบาลชุดก่อนน่ะ มีแต่ออกกฎระเบียบมาควบคุม ห้ามนู่นห้ามนี่ ไม่ให้เข้าเธคผับ ห้ามไปเที่ยวห้างในเวลาทำงาน แต่พอเปลี่ยนรัฐบาลเป็นพรรคเด็กรักชาติ ข้านะดีใจมากเลยที่เค้าเข้าใจผู้ใหญ่อย่างเรา" ลุงทักษาเสริมก่อนที่หยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่าน


 


"ฉันก็ดีใจ สมัยนี้พวกเด็กๆ เค้าบริหารบ้านเมือง เค้าเข้าใจผู้ใหญ่มากนะ ไม่เหมือนรัฐบาลก่อนหน้านี้ไม่ฟังเสียงพวกเราเลย จะทำอะไรก็มัวแต่เอาผลงาน ขนาดมีผลวิจัยออกมาหลายต่อหลายอันมีข้อเสนอตั้งมากมายแต่รัฐบาลก็ไม่เคยเอาข้อเสนอไปจัดเป็นนโยบายสักนิด คิดเอาแต่ความเห็นของตัวเอง" ลุงสมานพึ่งมาถึงร้านก็รีบแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องสภาผู้ใหญ่


 


ลุงพัฒนาเสริมต่อว่า "อืม .. แต่ฉันว่าถ้าจะทำให้เกิดทุกจังหวัดมันอาจยาก เพราะแต่ละจังหวัดมันมีความพร้อมต่างกัน ทางหลวงเค้าหวังดีก็จริง แต่การจะทำสภาผู้ใหญ่ให้ครบทุกจังหวัดมันอาจทำได้ยาก แต่ถ้ามันพร้อมกันได้จริงก็ดี แต่มันอาจจะออกมาเป็นแค่สภาอุปโลกนะโว้ย"


 


"แต่ฉันว่า … พวกเราอย่ามองในแง่ร้ายสิ ด้านดีๆ ที่เราจะมีส่วนร่วมในสภาผู้ใหญ่ มันมีมากนะ ถ้าพวกเราไม่กล้าที่จะร่วม แต่ต้องไม่ด่าเค้าสิ" ลุงทักษาแย้งขึ้นมาแต่มือยังถือหนังสือพิมพ์อยู่


 


"พวกแก ร้านจะปิดแล้ว วันนี้มากินเย็นเกินไป ฉันจะออกไปข้างนอกแล้ว" ป้าสุรัตน์ตะโกนบอกบรรดาคอการเมืองอย่างลุงทักษา ลุงสมาน และลุงพัฒนา ก่อนจะปิดไฟภายในร้านทีละดวงสองดวง


 


บทสนทนาไม่กี่ประโยคจบลง ลุงทั้ง 3 คนแยกย้ายกันกลับบ้าน


 


…


 


2 เดือนต่อมา รัฐบาลโดยการนำของพรรคเด็กรักชาติ ก็สามารถเร่งให้มีการจัดตั้งสภาผู้ใหญ่ได้ครบทุกจังหวัด แต่สิ่งที่เป็นปัญหาก็คือ การจัดตั้งสภาผู้ใหญ่แบบเร่งด้วยนี้ทำให้เกิดการอุปโลกกันขึ้นมาจากแต่ละจังหวัดเพื่อให้รัฐบาลยินดี ชื่นชม มีผู้ใหญ่บางกลุ่มเท่านั้นที่ได้เข้ามาร่วม ซึ่งส่วนมากเป็นกลุ่มที่ใกล้ชิดกับหน่วยงานในจังหวัด แต่กลุ่มผู้ใหญ่ที่เผชิญปัญหาจริงๆ กลับไม่ได้เข้าร่วม


 


นอกจากนี้สภาผู้ใหญ่ในหลายจังหวัด เป็นเพียงแต่ "เครื่องมือ" ในการ "จัดฉาก" ของหน่วยงานบางแห่งเท่านั้น เพราะทุกฝ่ายต่างออกมาบอกว่า "สภานี้ของฉัน" กันทุกแห่ง ทำให้เกิดการแย่งชิงดีชิงเด่นต่อกัน และสุดท้ายสภาผู้ใหญ่จึงเป็นแค่หุ่นเชิดให้หน่วยงานต่างๆ มีผลงานก็เท่านั้น


 


แม้ว่า รูปร่างหน้าตาของสภาผู้ใหญ่ระดับจังหวัดจะออกมาสวยหรู น่ายินดี แต่อาจทำให้สภาไม่เป็นอิสระในการทำงาน ไม่เป็นตัวของตัวเองและอาจทำให้ "สภาผู้ใหญ่แห่งชาติ" มีตัวแทนที่ไม่ทั่วถึง ขาดการมีส่วนร่วมของผู้ใหญ่กลุ่มต่างๆ อีกมาก จนนำไปสู่การขัดแย้งกันอย่างใหญ่หลวงระหว่างผู้ใหญ่ด้วยกันเอง


 


หรือไม่แล้วอาจได้ยินความคิดเห็นของ "สภาผู้ใหญ่แห่งชาติ" ที่สะท้อนในทางที่ด่าหรือกล่าวว่าผู้ใหญ่ที่เที่ยวกลางคืนเป็นปัญหา กล่าวว่าผู้ใหญ่ที่มีเซ็กส์เป็นปัญหา หรือการแสดงความคิดเห็นโดยไม่ได้มาจากฐานการทำงานจริงๆ จนทำให้สังคมเข้าใจผู้ใหญ่ผิดและมองผู้ใหญ่ในด้านลบต่อไปก็ได้


 


…


 


หลังจากที่เกิดสภาผู้ใหญ่แห่งชาติไม่นานแค่ 3 เดือน รัฐบาลได้มีการปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีกระทรวงสร้างสรรค์สังคมเป็นคนใหม่ เพราะเกิดกระแสการต่อต้านรับมนตรีคนเดิมในข้อหาทุจริตการจัดส่งนมสดออกนอกประเทศและติดสินบนต่างๆ อีกมากมาย รวมทั้งการยักยอกเงินของสภาผู้ใหญ่แห่งชาติมาใช้เพื่อการส่วนตัวอีกหลายสิบล้าน


 


คณะรัฐมนตรีเห็นว่า มีการนำเงินของสภาผู้ใหญ่มาใช้ในทางที่ผิดและมีการแสวงหาประโยชน์จากกลุ่มการเมืองต่างๆ จึงมีมติให้ยกเลิกสภาผู้ใหญ่แห่งชาติและสภาผู้ใหญ่ระดับจังหวัดทั้งหมดโดยเร็วที่สุด


 


…


 


วันต่อมา


ข่าวพาดหัวใหญ่ในหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับ


"รัฐบาลทางตันยุบด่วนสภาผู้ใหญ่"


"พิษโกงใหญ่ ยุติสภาผู้ใหญ่"


"รมต.สุดแสบ โกงหัวคิวกระเทือนยุบสภาผู้ใหญ่"


 


"ข้าว่าแล้ว สุดท้ายสภาผู้ใหญ่มันก็เป็นแค่เครื่องมือทางการเมืองของรัฐบาล!" ลุงพัฒนา ตะโกนมาอย่างเต็มเสียง ณ ร้านกาแฟที่เดิมของเหล่าคอการเมืองประจำหมู่บ้าน


 


…


 


แม้ว่ารัฐบาลที่นำโดยพรรคเด็กรักชาติกับการจัดตั้งสภาผู้ใหญ่แห่งชาติจะเป็นเรื่องที่อาจไม่มีจริง  แต่รัฐบาลที่นำโดยพรรคไทยรักไทยนั้น คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้จัดตั้ง สภาเด็กและเยาวชนแห่งชาติและระดับจังหวัดภายในปี 2549 อย่างเรียบร้อยแล้ว


 


หวังว่า รัฐมนตรีกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ คงไม่ทำให้สภาของเด็กและเยาวชนเป็นเพียงเกมการเมืองเท่านั้น และคงไม่เกิดเหตุการณ์เหมือนเรื่องราวข้างต้น  หากทั้งปีที่ผ่านมา ผู้ใหญ่พูดให้เด็กฟังมาตลอด ปีใหม่นี้ปีนี้ลองฟังเด็กพูดบ้าง โดยเฉพาะท่าน รมต.ที่เคารพ