Skip to main content

ธรรมชาติ ผู้ให้ และผู้ควรได้รับตอบแทน

คอลัมน์/ชุมชน

มุกรื่น


           


 



ภาพประกอบจาก http://bookstore.manager.co.th/include/thumbnails.asp?ID=3908


 


 


หนังสือเล่มหนึ่งย้ำเตือนให้ฉันไม่ลืมว่าธรรมชาติคือจุดเริ่มต้นของสรรพสิ่งและต้นไม้คือแหล่งก่อกำเนิดชีวิต


มนุษย์เกิดและอยู่มาได้เพราะมีธรรมชาติคอยค้ำจุนและเกื้อหนุน


แต่เหมือนเราไม่ได้ทำอะไรเพื่อธรรมชาติที่เราพึ่งพาอยู่เลย…


 


คนปลูกต้นไม้ คือชื่อหนังสือที่ฉันกำลังอ้างถึง มีชายคนหนึ่งชื่อว่า แอลเซอารดฺ บุฟเฟเยร์ เรื่องของเขาผ่านการบอกเล่าของชายอีกคนซึ่งฉันไม่รู้ชื่อ รู้เพียงว่าเขาเป็นคนที่บังเอิญผ่านมาแล้วได้รู้จักกัน เกิดเป็นความประทับใจ และซาบซึ้งในสิ่งที่บุฟเฟเยร์ทำ นั่นก็คือการปลูกต้นไม้


 


บุฟเฟเยร์ปลูกต้นไม้เป็นงานหลักของชีวิต  เริ่มตั้งแต่คัดเลือกเมล็ดด้วยความตั้งใจและประณีต แล้วจึงนำไปแช่น้ำ จากนั้นก็บรรจงเอาเมล็ดปลูกลงในหลุมที่ลงมือขุดเองบนผืนดินรกร้างที่ไม่มีใครสนใจ


 


ผู้ชายในหนังสือที่แนะนำให้คนอ่านรู้จักบุฟเฟเยร์บอกว่า ชาวนาที่มีอายุห้าสิบห้าปีคนนี้เป็นชายพูดน้อย อยู่อย่างรักสงบ และไม่สนใจโลก เขามีความมุ่งมั่นอย่างเดียวคือปลูกต้นไม้กับคอยหาที่ดินว่างไปเรื่อยๆ เพื่อปลูกต้นใหม่  แม้ช่วงสงครามที่บ้านเมืองวุ่นวาย ผู้คนลำบาก บุฟเฟเยร์ก็ไม่ได้เดือดร้อนที่จะเป็นทหารไปรบเหมือนคนอื่น เขายังคงปลูกต้นไม้ต่อไป และอยากจะปลูกให้ได้มากขึ้นเรื่อยๆ


 


ถึงตอนนี้ฉันนึกถึงคนไทยคนหนึ่งที่ชื่อ ดาบวิชัย สุริยุทธ (ตอนนี้ได้เลื่อนยศเป็นร้อยตำรวจตรี)  ผู้ชายที่ปลูกต้นตาลตามทาง ผู้เคยถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคนบ้าในสายตาชาวบ้านคนอื่น แต่ดาบวิชัยก็ไม่ท้อแท้หรือล้มเลิกความตั้งใจ


 


กาลเวลาผันผ่าน ความหวังและความตั้งใจที่ลงแรงไป บังเกิดผลงามให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตา


 


หลายปีต่อมา พื้นที่แห้งแล้งไร้ชีวิต เกิดป่าอุดมด้วยต้นไม้ที่บุฟเฟเยร์ปลูกขึ้นและยังเกิดต้นไม้อื่นรวมทั้งดอกไม้ต่างๆ และมีน้ำใสในลำธารที่ครั้งหนึ่งเคยเหือดแห้ง ชีวิตทั้งหลายได้กลับเกิดขึ้นอีกครั้ง รอยยิ้มจากผู้คนในชนบทหวนกลับมา 


 


พื้นที่ของดาบวิชัยมีต้นตาลผุดขึ้นเต็มทาง สามารถเก็บเกี่ยวผลไปทำประโยชน์แก่ชาวบ้านได้


ที่ใดมีต้นไม้ ที่นั่นมีชีวิต


 


ภารกิจที่บุฟเฟเยร์และดาบวิชัยทำ คือการนอบน้อมและสำนึกว่าทุกชีวิตล้วนดำรงอยู่ได้ด้วยธรรมชาติเป็นผู้สร้าง เมื่อมนุษย์อย่างเขาเคยเป็นผู้รับ ก็ควรให้ทดแทนคืน เพื่อที่ธรรมชาติจะไม่สูญหาย และจะเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตใหม่ๆ ได้ต่อไปอีก


 


ในโลกแห่งการพยายามเอาชนะธรรมชาติที่ฉันอาศัยอยู่  ฉันบอกตัวเองเสมอว่า มนุษย์กำลังลบหลู่ธรรมชาติอย่างมากด้วยความหลงผิดว่าเราคือเจ้าของทุกสิ่ง และมนุษย์สามารถทำได้ทุกอย่างที่ต้องการ มนุษย์กำลังลืมว่าเมื่อเราคือส่วนหนึ่งของธรรมชาติที่สร้างเรามา  การที่เราไม่เคารพธรรมชาติ เท่ากับเราไม่เคารพตัวเอง


 


ทั้งที่เราควรได้ตระหนักแล้วว่ามนุษย์ต้องมีหน้าที่พึงกระทำและรับผิดชอบต่อธรรมชาติด้วยกันทั้งสิ้น


 


ที่สำคัญเราลืมว่าแท้จริงแล้ว ธรรมชาติต่างหากที่เป็นเจ้าของ และธรรมชาตินั้นยิ่งใหญ่เสมอ