เด็กไทยควรผูกพันกับอะไร
คอลัมน์/ชุมชน
เย็นวันหนึ่งก่อนคริสตมาส ผมไปถึงวัดโซโจจิ (Zojo-ji) ที่เชิงหอโตเกียวตอนพลบค่ำ หอโตเกียวเปิดไฟสีส้มสว่างไสวชวนมอง บริเวณใต้หอมีงานคริสตมาสเล็กๆ คุณพ่อคุณแม่พาเด็กเล็กๆ มาเที่ยวด้วยกันอย่างมีความสุข
ตามประวัติวัดนี้สร้างตั้งแต่ปี ค.ศ.1393 และเป็นวัดของตระกูลโตกุกาวะตั้งแต่ตอนปลายศตวรรษที่ 17 เดิมมีวิหารมากกว่าร้อยหลังแต่ถูกทำลายไปช่วงสงครามเสียมากเหลือเท่าที่เห็นเพียงไม่กี่หลัง มีประตูสีแดงขนาดใหญ่ Sanmon Gate เป็นของเดิมสร้างตั้งแต่ปี ค.ศ.1612 ที่ใกล้ประตูมีต้นซีดาร์ขนาดใหญ่ปลูกโดยประธานาธิบดียูลิซิส เอส แกรนท์ นึกสงสัยว่าวิหารเป็นร้อยถูกทำลายได้ แล้วทำไมต้นไม้ที่ปลูกโดยศัตรูกลับยังอยู่รอด
ขณะที่ผมกำลังยืนชื่นชมความสงบของวัดในยามเย็น หญิงสาวในชุดฤดูหนาวสวมกระโปรงแค่เข่าและถุงน่องดำคนหนึ่งวิ่งขึ้นบันไดผ่านตัวผมเข้าไปในวิหาร ผมเดินตามเข้าไป พบว่าเป็นเวลาที่พระกำลังสวดมนตร์พอดี บรรยากาศเคร่งขรึมภายในบวกกับเสียงสวดและเสียงต๊อกๆๆๆ ชวนให้ต้องนั่งลงฟังด้วยความปีติ
ผมออกจากวัดเมื่อฟ้ามืดแล้วจึงเดินไปกลับไปที่หอโตเกียวอีกครั้ง ขากลับเดินเลียบกำแพงวัดจึงสังเกตเห็นตุ๊กตาหินรูปเด็กเล็กวางเรียงรายนับพันดูน่ากลัว เมื่อไปถึงใต้หอโตเกียวก็ไปนั่งดูคุณพ่อคุณแม่พาเด็กเล็กๆ มาเที่ยวงานคริสตมาสด้วยกันอย่างมีความสุขต่อ สังเกตว่ายิ่งมืดก็ยิ่งมีหนุ่มสาวมากันเป็นคู่ๆ มากขึ้น ทั้งๆ ที่อากาศหนาวมหาหนาวแต่สาววัยรุ่นญี่ปุ่นหลายคนยังสามารถใส่กระโปรงสั้นแค่คืบกันได้อยู่
ในเวลาประมาณสองชั่วโมงของเย็นวันนั้น ผมได้เห็นทั้งวัด ผี ครอบครัว และวัยรุ่น ทั้งหมดนี้คือสิ่งเดียวกัน
ตอนที่เป็นทารกเกิดใหม่ เขายังไม่ทราบว่าคุณแม่มีตัวตน เขาเองก็ยังไม่มีตัวตน เราเรียกว่าทารก 3 เดือนแรกว่าเป็นภาวะ autistics คืออยู่กับตัวเอง และเรียกทารก 3-6 เดือนว่า simbiotics คืออยู่กับคุณแม่อย่างแยกกันไม่ได้
กระบวนการแยกตัวจากคุณแม่เป็นตัวตนของตนเองจะเริ่มตอนอายุ 6 เดือนแล้วไปสิ้นสุดเมื่ออายุ 3 ขวบ วิธีประกอบด้วย 3 ขั้นตอนคือ หนึ่ง-กำหนดตัวตนของคุณแม่ สอง-สร้างสายสัมพันธ์กับสิ่งที่เรียกว่าคุณแม่นั้น และสาม-แล้วจึงกำหนดตัวตนของตัวเอง
กำหนดตัวตนของคุณแม่ เรียกว่ามี object constancy
สร้างสายสัมพันธ์กับสิ่งที่เรียกว่าคุณแม่นั้น เรียกว่า object relation
แล้วจึงกำหนดตัวตนของตัวเอง เรียกว่า self
กระบวนการแยกตัวตนของตัวเองออกจากตัวตนของคุณแม่เรียกว่า Separation-individuation โดยจะเกิดขึ้นอย่างเข้มข้นตอนประมาณ 2 ขวบครึ่ง ซึ่งเรียกว่า Re-approachment การเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสมช่วงแยกตัวจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เด็กโตขึ้นมีบุคลิกภาพผิดปกติหลายชนิด หนึ่งในหลายชนิดนั้นคือประเภทที่ไม่สามารถสร้างสัมพันธ์กับใครได้เลย เป็นคนมีอารมณ์แปรปรวนรวดเร็ว เป็นคนรักมากก็เกลียดมาก ที่สำคัญคือเป็นคนไม่มีตัวตน ว่างเปล่า ถามว่าตนเองเป็นใครก็ไม่สามารถตอบได้
ทั้งหมดที่เล่ามา เรื่องสำคัญที่สุดคือสายสัมพันธ์
สายสัมพันธ์กับคุณแม่และคุณพ่อจะเป็นสายสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นและยั่งยืน ทำลายไม่ได้ ตัดไม่ขาด และจะทำหน้าที่เหนี่ยวรั้งให้เด็กๆ กลับบ้านเสมอ ไปไหนก็ไม่ไกล ไปไกลก็รู้จักกลับ ไปพบอบายมุขก็ถูกสายสัมพันธ์นี้เหนี่ยวรั้งเอาไว้ คุณแม่คุณพ่อทำชั่วก็ยังเป็นแม่เป็นพ่อ ถึงคุณแม่คุณพ่อตายแล้วแต่สายสัมพันธ์ก็จะยังอยู่และทำหน้าที่ของมันต่อไป
ตัวอย่างที่เห็นได้ง่ายคือช่วงวัยเตาะแตะ ตอนที่เด็กหัดเดินเขาจะเดินได้เพียงไม่กี่ก้าวแล้วต้องเหลียวมามองคุณแม่ ขอรอยยิ้ม คำชม หรือเสียงปรบมือ แล้วจึงเริ่มเดินไกลออกไปๆๆ อะไรที่มองไม่เห็นระหว่างตัวลูกและตัวคุณแม่นั่นแหละครับคือสายสัมพันธ์
มองดีๆ แล้วจะเห็น
สายสัมพันธ์นี้จะเป็นรากฐานของสายสัมพันธ์ที่เด็กจะมีกับผี และกับศาสนาในเวลาต่อมา สายสัมพันธ์กับผีจะก่อตัวตอนอายุ 3-5 ปี สายสัมพันธ์กับศาสนาจะเริ่มช้ากว่านั้นคือช่วงประมาณอายุ 7 ปี
ผมนั่งมองคุณแม่ที่พาลูกเล็กมาเที่ยวงานคริสตมาส ผมเห็นสายสัมพันธ์เส้นที่หนึ่งกำลังก่อตัว เด็กคนนี้จะรู้จักกลับบ้านเมื่อถึงเวลาต้องกลับบ้าน
ผมเห็นสายสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับผีที่วัดที่จะก่อตัวตามมาด้วย สายสัมพันธ์เส้นที่สองจะช่วยให้เด็กไม่กล้าทำชั่วแม้ว่าจะไม่มีคนมองเห็น
ผมเห็นสายสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับพระที่วัดที่จะก่อตัวตามมาด้วย สายสัมพันธ์เส้นที่สามจะช่วยให้เขาวิ่งขึ้นวิหารไปฟังพระสวด แม้จะเป็นเทศกาลคริสตมาสก็ตาม