Skip to main content

อายิน

 


 


เปลวไฟไหวสั่นกลางลมหนาวที่พัดวู่หวิวในคืนเดือนมืด แสงแห่งจันทร์เสี้ยวถูกแทนที่ด้วยแสงจากกองไฟกลางลานดิน


 


นันตา อาซุ่ง ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านพักนักท่องเที่ยวกำลังสาธิตการคั่วเมล็ดข้าวโพดบนเตาร้อน ๆ ให้กลุ่มฝรั่งดู หญิงลาหู่กลุ่มหนึ่งในชุดสวยงามประจำเผ่ายืนอยู่ห่าง ๆ เพื่อรอเวลาที่จะแสดงให้ฝรั่งนักชม ในระหว่างที่นักท่องเที่ยวกำลังกินข้าวมื้อค่ำ


 


บริเวณบ้านที่ให้ฝรั่งมาเช่าพักมีรั้วรอบขอบชิด ชัดเจน เป็นเพียงหลังเดียวในหมู่บ้านเท่านั้นที่มีรั้วเช่นนี้ รั้วที่ว่านี้ยังมีความยาวล้อมรอบพื้นที่ในส่วนที่เป็นบ้านพักของเจ้าของบ้าน ลานบ้าน บ้านของลูกที่แยกครัวออกไปแล้ว เมื่อมองจากภายนอกจึงดูเหมือนเป็นอาณาจักรส่วนตัว


 


หญิงสาวชาวลาหู่หลายคนใส่เสื้อที่ทำด้วยกำมะหยี่ ราคาของมันแพงกว่าเสื้อที่ทำมาจากผ้าธรรมดาอย่างที่แม่และคนรุ่นแม่ของเธอใส่อยู่ พวกเธออยู่ในชุดที่ดูดีที่สุดเพื่อร้องรำทำเพลงให้นักท่องเที่ยวชม บางคนใช้แป้งผัดหน้าเสียจนหนา และทาลิปสติกสีแดง เครื่องบำรุงความงามพวกนี้เพื่อนชาวลาหู่ของเธอซึ่งทำงานขายเครื่องสำอางอยู่ในตัวอำเภอแนะนำให้ใช้  "อาอู" –สาวที่ว่ากันว่าสวยที่สุดในหมู่บ้านก็มาร่วมแสดงให้ฝรั่งชมในคืนนี้ด้วยเช่นกัน


 


----------


 


ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ก็ตาม การท่องเที่ยวเข้ามาข้องเกี่ยวอย่างสำคัญกับชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเขาบนดอยสูง นักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศอุตส่าห์บุกป่าฝ่าข้ามขุนเขา เพื่อเสาะหารสชาติเข้มข้นของการท่องเที่ยวมาจนถึงหมู่บ้านที่ชาวเลาหู่อาศัยอยู่  


 


ในทางเศรษฐกิจ ชาวลาหู่ตอบสนองกระแสการท่องเที่ยวด้วยการทำสินค้าขาย บางคนทอผ้า บางคนยึดอาชีพขายของชำซึ่งรวมถึงเครื่องดื่มมึนเมา บางคนก็สร้างบ้านพักนักท่องเที่ยว


 


เมื่อเวลาที่นักท่องเที่ยวเหยียบย่างเข้าสู่หมู่บ้าน ชาวลาหู่จะนำสินค้าที่ทำขึ้นเองบ้างหรือซื้อหามาบ้างวางขายอยู่ข้างทางเดิน แม่เฒ่าวัยเกืบห้าสิบปีในชุดแต่งกายของลาหู่  วางห่อผ้าลงกับพื้นดิน ข้างในห่อผ้านั้นมีของหลายอย่าง, ของเหล่านี้หลายอย่างชาวลาหู่เย็บทำกันขึ้นมาเองแต่บางอย่างก็หาซื้อมาจากที่อื่น หมวกเด็กเล็กที่มีพู่อันใหญ่อยู่ข้างบน ย่ามสีสด กระเป๋าขนาดจิ๋วสำหรับใส่ดินสอ ที่ใส่ขวดน้ำซึ่งทำเลียนแบบมาจากพวกอาข่า สร้อยคอ  กำไลที่ซื้อต่อมาจากชาวมูเซอที่อยู่หมู่บ้านถัดไป  ฯลฯ


 


นอกจากแม่เฒ่าแล้ว หญิงลาหู่คนอื่น  ๆ ก็เอาสินค้าคล้าย ๆ กันนี้มาวางขายด้วยเช่นกัน สินค้าวางเรียงอยู่บนลานดินข้างทางที่นักท่องเที่ยวจะเดินผ่าน


 


"อันนี้ เท่าไหร่" ไกด์ชาวกะเหรี่ยงที่สามารถพูดทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษได้ ชี้ไปที่ย่าม ข้าง ๆ เขามีนักท่องเที่ยวฝรั่งยืนก้มหน้ามองดูสินค้า


 "สองร้อย" หญิงลาหู่ตอบด้วยสำเนียงที่ไม่ชัดนัก


 "นักท่องเที่ยวเขาอยากได้ชุดแต่งกายของลาหู่ มีมั้ย" ไกด์ถาม


"มี" แม่เฒ่าวิ่งเข้าไปในบ้าน นำชุดลาหู่ที่ทอเองมาให้ไกด์ และบอกว่าราคาหนึ่งพันบาท ไกด์นำไปให้ฝรั่งและเอาเงินจากฝรั่งมาจ่ายให้แม่เฒ่า


 


-----------


 


พอได้เวลา ไกด์ก็เรียกเหล่านักแสดงซึ่งทั้งหมดเป็นสาวรุ่นมาร้องรำทำเพลงให้นักท่องเที่ยวชม นักท่องเที่ยวชอบที่จะดูสาวรุ่นเต้นรำและร้องเพลงมากกว่าหญิงสูงวัย หญิงลาหู่คนหนึ่งแม้ว่าจะยังดูสาว อายุน่าจะไม่เกิน 17 แต่แท้ที่จริงเธอมีลูกหนึ่งคนแล้ว  


 


อายิน-หนูน้อยอายุประมาณห้าขวบยืนแทรกอยู่ระหว่างแถวของนักแสดง เธอมาร่วมเต้นรำก็เพราะพี่สาวของเธอคืออาอูชวนเธอมา  ความไร้เดียงสาและการเต้นรำที่ผิดจังหวะของหนูน้อยสร้างความขบขันให้แก่นักท่องเที่ยวและเรียกเสียงหัวเราะได้ไม่น้อย


 


หญิงลาหู่ร่ายรำไปตามจังหวะเสียงดนตรีที่บรรเลงอย่างง่าย ๆ เสียงดนตรีที่เรียบง่ายลอยแหวกอากาศไปในความมืดดังสะท้อนทั่วหุบเขา ดนตรีและการเต้นรำของพวกเขาเคยมีไว้สำหรับงานรื่นเริง แต่ตอนนี้พวกเขาได้อวดให้แก่แขกต่างบ้านเมืองได้ชมได้ฟัง


 


สาวลาหู่เต้นรำอย่างชำนาญ เต้นไปตามจังหวะดนตรีที่เร่งบ้าง ผ่อนบ้าง พวกเธอขยับไปรอบ ๆ กองไฟกองใหญ่ซึ่งส่องให้เห็นประกายสุกใสของแววตา แววตาสุกใสของอาอูจับจ้องไปที่ท้องฟ้าซึ่งดาวเด่นดวงหนึ่งเจิดจรัสอยู่กลางฟ้ามืด ดาวเด่นดวงนั้นคล้ายดูไปคล้ายแววตาของหนุ่มคนรักที่หมายปองและลอบมองเธออยู่    ส่วนอายินนั้นขยับเท้าซ้าย-ขวา ผิด ๆ พลาด ๆ อยู่เสมอ


 


ถัดจากการเต้นรำก็เป็นการร้องเพลงและตบมือไปตามจังหวะ สาว ๆ ลาหู่ร้องเพลงในภาษาของพวกเธอ ไม่มีใครเข้าใจความหมายนอกจากคนลาหู่เอง  มันเป็นเพลงแห่งความสนุกสนานที่สืบทอดต่อกันมาโดยคนรุ่นก่อน ๆ จะร้องให้คนรุ่นหลัง ๆ ฟัง สืบทอดโดยปากต่อปาก ดังนั้นจึงอาจมีความผิดเพี้ยนไปบ้างในแต่ละรุ่น


 


แต่หลายเพลงก็มีการแต่งขึ้นมาใหม่โดยผู้นำลาหู่ที่ชาญฉลาด เขาเล็งเห็นว่าเพลงหลายเพลงของพวกเขาเองกำลังสูญหายไปเรื่อยๆ ดังนั้น จึงเป็นการดีที่จะแต่งขึ้นใหม่ให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไปและให้เหมาะกับเด็กรุ่นหลังๆ ได้ขับขานสืบต่อ


 


ฝรั่งบางคนถ่ายรูปและบันทึกการแสดงนี้ไว้ บรรยากาศแบบนี้ไม่เกิดขึ้นง่าย ๆ หลายคนเข้ามาร่วมเต้นรำกับสาวๆ ลาหู่ด้วยความรื่นเริง สาวฝรั่งคนหนึ่งหัวเราะเมื่อท่าเต้นรำที่พยายามเลียนแบบสาวลาหู่นั้นดูประดักเดิด


 


ในระหว่างการแสดง  หนุ่มๆ ลาหู่จะมายืนดูสาว ๆ ที่ตนเองหมายปองสาวเอาไว้อยู่ห่างๆ และคอยหาจังหวะแซวสาวๆ เป็นระยะๆ  และโดยเฉพาะอย่างยิ่งอาอูนั้น จะถูกหนุ่มๆ มูเซอแซวมากที่สุด


 


 "ระวังสะดุดนะ" หนุ่มคนหนึ่งบอก


อาอูยิ้ม ยิ้มให้กับหนุ่มคนรักขี้อายที่หลบอยู่หลังโคนต้นมะขาม เมื่อไม่กี่วันมานี้เขาบอกแก่อายินว่าปีหน้าเขาจะไปสู่ขอ...


 


อายินรู้สึกเหนื่อยจึงเดินออกไปนั่งพัก เธอไม่ใคร่ชอบเต้นรำมากนัก เพราะมันเหมือนถูกบังคับให้ขยับร่างกายไปตามท่วงท่าซ้ำ ๆ และจังหวะของดนตรี หนูน้อยชอบร้องเพลงและชอบวิ่งเล่นกับเพื่อนในวัยเดียวกันมากกว่าจะเต้นรำให้นักท่องเที่ยวดู


 


พอการแสดงจบลง ไกด์ก็เดินเข้ามาพร้อมหยิบธนบัตรใบละยี่สิบบาทแจกให้แก่นักแสดงทุกคน ไม่เว้นแม้แต่นักดนตรีสูงวัยสี่คน อายินได้มากที่สุดคือหนึ่งร้อยบาทเพราะฝรั่งคนหนึ่งเกิดประทับใจในการแสดงอันน่าขบขันของเธอเป็นอย่างมาก


 


ไฟกองใหญ่ค่อยมอดแสงลงจนกระทั่งดับสนิท ปล่อยหมู่บ้านให้ตกอยู่ในอ้อมกอดของความมืดและวงล้อมแห่งขุนเขาอีกครั้ง.