Skip to main content

จดหมายรักระหว่างเพื่อน : 6 ดอกไม้ของฉัน

คอลัมน์/ชุมชน

 


 


มกราคม 2546


 


ฉันเปิดแฟ้มเพื่อนำจดหมายของเธอมาอ่านเพื่อจะเรียบเรียงอีกครั้ง แล้วก็แปลกใจมากเมื่อพบว่า ตลอดทั้งปีนี้ มีจดหมายจาก "เธอ" เพียงฉบับเดียวเท่านั้น


 


กลับไปค้นไดอารี่ตัวเอง แปลกใจมากขึ้นไปอีก ถ้าปี 2529 เร่ร่อนมากแล้ว ในปีนี้ ยิ่งกว่าเดิม เราทั้งคู่ระเหเร่ร่อนไปกับพรหมลิขิตโดยแท้ เส้นกราฟของเธอวกเวียนไปมาระหว่างพร้าว ฝาง เชียงใหม่ และในบ้านอีกหลายหลังที่ไปทำงาน


 


ส่วนฉัน ขึ้นและลง ลงและขึ้น จากบ้านสู่เมือง จากเมืองไปถึงยอดดอย กลับลงมา ตารางชีวิตขีดทับกันยุ่งเหยิง มีเพียงบทกวี ถ้อยคำไม่ปะติดปะต่อ และจดหมายที่เขียนแล้วไม่ได้ส่งบางฉบับเท่านั้นเป็นสิ่งยืนยัน


 


เราเดินทางกันมากเหลือเกิน


 


ฉันเข้าใจ (ในวันนี้) ว่าปีนั้น เราคงไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งมากพอจะรอรับจดหมายกันและกัน นานๆ สักครั้งเมื่อกลับไปเยี่ยมพ่อแม่ ค่อยถามถึงเรื่องราวอีกฝ่าย


 


รู้ว่าปลอดภัย สบายดี ก็คลายใจ


ได้แต่ส่งใจถึงกันและกัน ขอให้เรา "โชคดี"


 


และน่าจะเป็นปีนั้นเอง ที่ฉันเคยพลัดหลงเข้าไปในบ้านใหญ่หลังหนึ่ง เช่นเคย เงินเดือนไม่เกิน 600 บาท แถมยังมีที่นอนในห้องใต้ดิน


 


พวกเขาเป็นชาวกรุงเทพฯ มาทำบ้านพักตากอากาศหลังใหญ่ มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากมาย หน้าบ้านมีต้นชมพู่มะเหมี่ยวกับดอกปีบ ฉันจำได้ดีเป็นพิเศษ เพราะเมื่อตื่นนอนยามเช้ามืด จะคอยลอดสายตาผ่านม่านฝ้ามัว ดูว่าดอกไม้ร่วงมากหรือน้อยบนดิน


 


มันอาจจะเป็นสิ่งเดียว ที่เป็นทัศนียภาพสวยงามของฉัน ทุกๆ เช้า แสงแรกยังไม่สาดลงมา ในบ้านยังไม่มีใครตื่นขึ้น แต่ฉันจำเป็นต้องตื่นแล้ว หนาวอย่างยิ่ง เยือกเย็นอย่างยิ่ง ในห้องที่ขุดลึกต่ำกว่าระดับพื้นดิน พวกเขาคงตั้งใจใช้เป็นที่เก็บของ และเมื่อมีคนมาทำงานในบ้าน ก็เพียงจัดที่นอนเล็กๆ ไว้อีกมุมหนึ่ง


 


ฉันได้พยายามหาลังกระดาษมาตั้งข้างที่นอน ทำเป็นโต๊ะเขียนหนังสือ เพราะแม้จะอายุน้อยนัก ความเจ็บไข้ก็มาเยือน ฉันปวดหลังมากขึ้นเรื่อยๆ จนล้มตัวลงนอนทีใด ก็สงสัยว่า จะลุกขึ้นได้อีกหรือไม่


 


จะเล่าว่า...ในทุกๆ เช้า เมื่อตื่นขึ้น ขยับตัวจนแน่ใจว่า สามารถทำงานได้ดี ไม่มีอวัยวะส่วนใดหยุดการทำงานไปชั่วข้ามคืน ฉันจะเดินไปฝั่งหนึ่งของห้อง รูดม่านบังกระจกออก ใช้ฝ่ามือลูบๆ ไล่ละอองชื้น ดวงดาวของฉันอยู่ที่นั่น บนลานหญ้าซึ่งยังไม่มีใครเหยียบย่ำ อยู่ระดับเดียวกับศีรษะของฉันด้วยซ้ำ


 


น่ารักนัก สวยนัก และหอมสดชื่นนัก เป็นสิ่งแรกที่จรุงใจในยามเช้า


ทุกๆ วัน


 


…….


 


ที่นั่น ฉันเคยเขียนบทกวีไว้ชิ้นหนึ่ง


 


ในห้องกว้างรกร้างอับชื้น


ฉันจำทนฝืนอาศัย


ปล่อยวิญญาณรานร้าวล่องไป


ทอดวางใจเพื่อจะหลับกับค่ำคืน


 


มีเพียงบางดอกไม้


ชุบชูจิตใจให้ฟื้นตื่น…


 


................................................................


 





จาริกที่รัก


 


...ฉันไม่มีเพื่อน อารมณ์เครียดและเหงาเลยทำให้ฉันคิดไปเรื่อยเปื่อย อย่าใส่ใจกับคำเขียนให้มากนัก ถึงมันจะออกมาจากใจจริงก็ตาม


 


ฉันก็เปรียบเสมือนคนบ้าคนหนึ่งที่ไร้สาระ ถ้าเราพบกัน พูดกัน มันไม่มีวันจบ เรื่องทุกเรื่องวนเวียนกันแต่เรื่องชีวิต...


 


ฉันเบื่อหน่ายไปหมดทุกอย่าง คิดถึงเธอ คิดถึงแม่ และหลายสิ่งที่บ้าน อยากหวนกลับชีวิตไปเริ่มต้นอย่างจริงจัง แต่ฉันก็ไม่แน่ใจตัวเองว่าจะทำได้แค่ไหน


 


ฉันอยากหอบเอาความสำเร็จของชีวิตไปเริ่มต้นที่บ้าน เพื่อจะทำตัวให้เป็นประโยชน์ให้แม่และครอบครัว ก็แค่นั้นเอง...หวัง คิด ต้องการ แต่มีอะไรที่ฉันทำได้และสมหวัง


 


คิดไปก็ปวดหัว ฉันไม่ได้รู้เรื่องของเธอ แต่ก็พอจะเดาออกว่าตอนนี้เธอกำลังทำอะไร...เบื่อบ้างไหมล่ะ คงไม่นะ ฉันรู้ดี!


 


ถ้าฉันอยู่ที่บ้าน ฉันรู้ตัวดีว่าไม่ค่อยมีใครใส่ใจเท่าไหร่ รู้สึกจะเป็นที่รำคาญของที่บ้านด้วยซ้ำ อยู่ห่างๆ นั่นแหละ ค่อยรู้หน่อยว่าทุกคนก็รักฉันเหมือนกัน


 


ค่าของฉันคงตีเป็นเศษเงินมั้ง เราทำงาน พอมีเงิน พอมีวัตถุที่จะจุนเจือพวกเขาได้บ้างนี่ ช่างเถอะ...ฉันก็พยายามอย่างที่สุดแล้วนี่ คิดว่าตัวเองไม่แคร์ก็แล้วกันนะ


 


ด้วยรัก and ผูกพันจ้ะ


 


ฉันเอง / วรางคนางค์


พ.ศ. 2530


 

 

                           ********************************************