Skip to main content

"Unrealistic show"

คอลัมน์/ชุมชน

 


 


หวังว่าคงจะไม่ช้าเกินไปที่จะสวัสดีปีใหม่กัน และปีใหม่นี้แรกทีเดียวก็ตั้งใจว่าจะเขียนเรื่องที่ดีที่เป็นมงคลรับปีใหม่เพื่อจะได้เป็นเรื่องที่เป็นศิริมงคลแก่ผู้อ่าน เพื่อเป็นกำลังใจแก่ผู้อ่าน และเพื่อเป็นการรับขวัญปีใหม่ ซึ่งจริงๆ แล้วก็โชคดีเสียด้วยว่า ช่วงต้นปีนั้นก็มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นจริงๆ


 


เริ่มจากที่มีการหล่อพระรูปเหมือนหลวงปู่ชา สุภัทโท และพระประธานที่จังหวัดนครปฐมเมื่อวันที่ 7 ม.ค. เพื่อจะนำไปไว้ที่วัดไทยในนิวซีแลนด์ อาจจะไม่น่าสนใจหรอกถ้าเป็นการหล่อพระธรรมดา แต่ที่น่าสนใจคือ การมารวมพระสายวัดป่า ลูกศิษย์หลวงปู่ชา สุภัทโท ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสหรือไปจำวัดอยู่หลายๆ แห่งในต่างประเทศ อย่างเช่นพระอาจารย์สุเมโธ จากอังกฤษ อาจารย์ปสันโณ จากอเมริกา หรือ อาจารย์ฉันทโก จากนิวซีแลนด์ อาจารย์คาเวสโก จากกาญจนบุรี  และพระรูปอื่นซึ่งเรียกได้ว่าเป็นที่ศรัทธาของชาวพุทธในประเทศต่างๆ จากทั้งโลกมารวมตัวกัน


 


และครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่ 2 เท่านั้นที่มีโอกาสเห็นภาพยิ่งใหญ่ขนาดนี้ แล้วต่อจากนั้นก็มีงานใหญ่ที่พระจากทั่วโลกและจากกลุ่มดังกล่าวก็ได้ไปร่วมการจัดงานรำลึกวันครบรอบการมรณภาพของหลวงปู่ชา ที่วัดป่านานาชาติ จังหวัดอุบลราชธานี ศิษยานุศิษย์พร้อมพรั่งที่มารวมกันทำกิจกรรมอันเป็นมงคลยิ่ง เรื่องนี้นับเป็นมงคลที่อยากเล่าสู่กันฟัง


 


ทว่า ที่สุดแล้วคงต้องเปลี่ยนใจ เนื่องเพราะมีเรื่องที่ขัดหู ขัดตา ขัดใจในหลายประการเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองไทย  และเชื่อว่า เรื่องที่ดีนั้นเป็นของจริงและคงทนอยู่แล้ว แม้ไม่โฆษณาก็จะยังคงเป็นความดี และยังเป็นของจริงอยู่  แต่เรื่องที่จะเกิดขึ้นนี่สิ ที่มีคนพยายามบอกว่าเป็น "เรื่องจริงที่ต้องโชว์" ก็เลยอยากจะพูดถึงกันสักเล็กน้อยว่า "อะไรคือจริง อะไรคือไม่จริง"


 


ต้องขออภัยผู้อ่านอีกครั้งที่จำเป็นต้องตั้งชื่อบทความเป็นภาษาอังกฤษ เพราะว่ายุคนี้ต้องเป็นยุคไทยคำฝรั่ง 3 คำ ไม่งั้นเดี๋ยวถูกมองว่าด้อยการศึกษา หรือไม่มีความรู้ และอาจฟังวิทยุรายการฮิตในช่วง 8 โมงเช้าวันเสาร์ไม่เข้าใจ และเพื่อความสอดคล้องกับเรื่องที่เกิดขึ้นในสัปดาห์นี้คือ เรื่อง "Reality Show" (เรียล-ลิ-ตี- โชว์) ของนายกรัฐมนตรีที่กำลังฮือฮากันอยู่ขณะนี้


 


ว่าไปแล้วนับเรื่องนี้คงไม่น่าแปลกใจ และไม่ใช่ภาพแปลกตาอะไรหรอกที่นายกฯ ทักษิณจะให้รายการโทรทัศน์มาทำ "show" อะไรสักอย่างขึ้นมา เพื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้กับตนเอง เนื่องจากนับตั้งแต่การบริหารประเทศมาตลอดระยะเวลา 5 ปีกว่าๆ นี้ เราได้เห็นการโชว์มาตลอด เริ่มจากโชว์กินไก่ โชว์ทำกับข้าว โชว์อาบน้ำ โชว์ทัวร์นกขมิ้นหรือวิธีการต่างๆ ในหลักการทางการตลาดเพื่อโฆษณาตนเองแบบไม่ต้องควักเนื้อตัวเองในการซื้อโฆษณา เพราะโดยตำแหน่งนั้นล้วนแล้วมีคนพร้อมเผยแพร่ให้ ทีมงานนั้นคงช่วยคิดแค่ว่า เนื้อหาที่จะสื่อคือเรื่องไหนเท่านั้นเอง ส่วนเวลาสำหรับการโฆษณานั้นไม่ต้องซื้อ


 


คราวนี้ก็มาถึงเรื่องของเทคนิคโฆษณาอีกประเภทหนึ่ง ที่ทางนักการตลาดนั้นรู้ดีว่า เชื่อว่าคนจะต้องติดแน่นอนนั่นคือ การทำเรียลลิตี โชว์ ซึ่งจริงๆ แล้วขึ้นชื่อว่าการโชว์ คงไม่มีที่ไหน "จริง" หรือเรียลหรอก ล้วนแล้วแต่จะต้องมีการ set up กันไว้แล้วทั้งนั้น และรวมทั้งบางเรื่องที่เกิดขึ้นก็เป็น make up story ด้วยซ้ำ


 


คนที่ออกรายการเรียลลิตี โชว์นั้นต่างก็รู้ตัวว่าตนเองมีกล้องจับอยู่ และกำลังถูกเผยแพร่ออกอากาศอยู่ ดังนั้น จึงรู้ว่าควรจะต้องแสดงอะไรออกไปบ้างและพยายามเต็มที่ที่จะทำให้คนเห็นเฉพาะภาพที่ดีๆ ของตนเอง แต่คราวนี้คนที่ดูเรียลลิตี โชว์เองก็รู้ว่าคนเหล่านี้รู้ตัวแต่ที่ต้องการเห็นก็คือภาพหลุดๆ   แต่บางคนก็แกล้งหลุด แต่ก็แกล้งหลุดให้ดูน่ารักๆ คนก็จะต้องชอบกันพอสมควร  แต่คงจะใช้เวลาหลายวันอยู่เหมือนกันกว่าจะหลุด "ของจริง" ออกมาให้คนเห็น กระนั้น เข้าใจว่าในบางครั้งแม้จะบอกว่าเป็นเรียลลิตี แต่เอาเข้าจริงหากหลุดอะไรไม่ดีออกมาทางรายการก็สามารถตัดออกได้อยู่ดี


 


ในกรณีของนายกฯ ทักษิณกับเรียลติลี โชว์ ในคราวนี้ก็เช่นกันคงไม่มีอะไรที่เรียกได้เลยว่าเรียล หรือจริง หรอก เพราะเริ่มตั้งแต่การที่เตรียมการที่มีมาตั้งแต่ต้นในส่วนของการถ่ายทำที่ตัวนายกฯ เองก็รู้ล่วงหน้ามานานแล้ว แม้บอกว่า "งานนี้ไม่มีใครเตี๊ยมผมได้หรอก" แต่ในพื้นที่ก็ปลูกผักชี (เอาไว้โรยหน้า) พรึ่บไปหมดแล้ว โดยเฉพาะหมู่บ้านที่บอกว่าจะไปทำงานเรื่องการแก้ไขความยากจนให้ดูนั้นก็เป็นหมู่บ้านที่ไม่ได้ยากจนที่สุด ที่จะต้องการความแก้ไขอย่างเร่งด่วน และพอรู้ว่านายกฯ จะมาก็เริ่มการเตรียมทำถนน ขุดลอกคูคลองไว้แล้วอย่างสวยงาม เพราะว่าจะได้เห็นว่าเป็นผลงานที่นายกฯ ได้เข้ามาทำ สงสัยอยู่อย่างหนึ่งว่า 7 วันแก้ไขความยากจนได้เลยหรือ


 


ที่สำคัญอีกประการหนึ่งงานนี้หาก "เรียล" จริง แล้วทำไมในระหว่างที่นายกฯ เข้าไปทำงานจึงห้ามนักข่าว เข้าไปในพื้นที่ด้วย โดยอ้างว่าจะเป็นการรบกวนการทำงานของนายกฯ ขนาดนั้นเชียวหรือ ไม่ใช่เนื่องจากเกรงนักข่าวจะเห็นความจริงมากกว่า "โชว์" หรอกหรือ เพราะงานนักข่าว หรือการถ่ายภาพของนักข่าวแบบ Candid Camera โดยที่ไม่ให้รู้ตัวนั่นแหละเป็นเรื่อง "เรียล" แต่แบบนี้นายกฯ คงไม่ชอบนักเพราะยังไม่ได้ set up


 


อย่างที่บอกนั่นแหละว่าอันที่จริง เราก็เห็น "ทักษิณ โชว์" กันมาตลอดในระยะการทำงานที่ผ่านมา งานโฆษณาแบบ below the line ที่ลงทุนต่ำให้สร้างภาพได้เร็วนั้นเป็นเรื่องที่ทำมาตลอด แต่เนื่องจากเรื่องของเรื่องก็คือทุกอย่างก็เป็น show ล้วนแล้ว แต่ unreal ดังนั้น ความฮิตติดตลาดก็เลยมาแรงและเร็วและก็หายไปเร็ว ดังนั้น จึงต้องมีการคิดใหม่ให้หวือหวาขึ้นไปเรื่อยๆ


 


ด้วยว่า เรามีนายกฯ ที่แสนฉลาด (เพราะขยันอ่าน ขยันคิด) จึงรู้ดีว่า คนไทยนั้นชอบดูรายการทีวีที่ไร้สาระ หรือละครน้ำเน่า และรู้ว่ารายการเรียลลิตี โชว์นั้นทำให้คนดูเสพติดได้ รวมทั้ง "อิน" ไปกับผู้แสดงได้ง่ายๆ วิธีการนี้จึงจะเป็นอีกทางที่มาหลอกล่อให้ประชาชนได้นำมาพูดถึงกันไปอีกอย่างน้อยระยะหนึ่ง คะแนนนิยมบางส่วนที่กำลังจะหายไปก็อาจกลับคืนมาได้บ้าง


 


กล่าวโดยสรุป ไม่ว่างานแก้ไขปัญหาความยากจนจะสำเร็จหรือไม่  คนที่นั่นหรือคนทั้งประเทศนั้นคงต้องติดตามกันต่อไป แต่มีสิ่งหนึ่งที่สงสัยอยู่ว่า  ตลอดช่วงเวลาของรัฐบาลชุดนี้เราจะมีโอกาสได้เห็น "ของจริง" โดยไม่ต้องอิงโฆษณากันบ้างไหมหนอ???