Skip to main content

เรื่องขำๆ กับภาษาอังกฤษ

คอลัมน์/ชุมชน


อีกไม่กี่วันมหาวิทยาลัยก็จะเปิด ผู้เขียนก็เตรียมการสอนไปตามเรื่อง เพราะที่นี่พลาดไม่ได้ หรือพลาดก็ต้องน้อยที่สุด แต่เรื่องที่พลาดประจำของผู้เขียนคือเรื่องภาษาอังกฤษ  เอาเป็นว่าบทความนี้เป็นเรื่องเล่าความเปิ่นของตนเองแล้วกัน


 


ขอร่ายความเดิมเอาเป็นพื้นก่อนว่า คนทั่วไปมักคิดว่าผู้เขียนคงมีความสามารถทางภาษาอังกฤษชั้นสูง ซึ่งผู้เขียนก็ฝากขอบคุณท่านๆ มา ณ ที่นี่ด้วย แต่เรื่องจริงแล้วนั้นผู้เขียนมีเรื่องหลุดๆ แยะ แม้ว่าจะเรียนมา สอนมาเป็นสิบปี ขอบอกเลยว่าที่เค้าบอกว่า "สี่เท้ายังรู้พลาดนั้น" เป็นเรื่องจริง สองเท้าแบบผู้เขียนจะเหลือหรือ ทั้งที่ใช้ทุกวัน สอนทุกวัน ไม่ได้หมายความว่าไม่พลาด พลาดบ่อยมาก หลายหนมานั่งขำกลิ้งกับตัวเอง เพราะว่า อุ๊ย หลุดได้สุดๆ ขอบอกก่อนว่าคนที่เก่งภาษาอังกฤษในไทยนั้นมีไม่น้อยเลย เป็นทั้งเพราะความสามารถส่วนตัว ความขยัน และพื้นฐานอื่นๆ  ส่วนผู้เขียนอยู่ในระดับพอเอาตัวรอดไปวันๆ


 


ผู้เขียนจะมีปัญหามากเวลาพูดสื่อสารโดยเฉพาะเวลาที่เหนื่อยมากๆ มักเป็นในตอนเย็นหรือค่ำ แบบที่เรียกว่าลานจะหมด ตอนนั้นภาษาพูด ผู้เขียนจะหลุดหมด ทั้งไวยากรณ์และศัพท์ ส่วนสำเนียงนั้นไม่เหลือหรอมานานแล้ว แก่ขนาดนี้ (42 ปี) ลิ้นไม่ขยับแล้ว อิจฉาเด็กๆ ที่ยังพอขยับได้  ตอนแก่นี้ปัญหาที่เกิดประจำคือพูดไม่เป็นประโยค แบ๊ะๆ เลยในบางที หลายครั้งต้องบอกเพื่อนแบบเป็นไทยว่า "คอยเดี๋ยว ขอเรียบเรียงก่อน" อันนี้เป็นประเด็นมาจากที่ยังคิดเป็นไทย แล้วแปลเป็นอังกฤษ ยิ่งแก่ยิ่งเป็น แต่พอเหนื่อยแล้วแปลไม่ทัน หลุดหมด เพื่อนๆ ก็ขำกัน แต่เราไม่ค่อยขำ เพราะแหมโกรธตัวเอง ที่ทำอะไรไม่ได้ดังใจ


 


ตัวอย่างข้อผิดพลาดประจำในสถานการณ์นี้คือ การใช้พวกกาลต่างๆ (tenses) แบบมั่วเลย คือต้องเข้าใจก่อนว่าฝรั่งนี่ให้ความสนใจเรื่องนี้มาก เช่น ตั้งใจจะพูดว่า "I went to the library this afternoon."   แต่เพราะกลัวผิดมากไป โดยพยายามจะเน้นว่าไปห้องสมุดตอนบ่าย เลยใช้ไปว่า "I have been to the library this afternoon." ซึ่งก็แปลว่าไปมาแล้วเหมือนกัน แต่ว่าเน้นว่ามีผลอะไรขึ้นมาหลังจากนั้น ไม่ใช่แค่ไปธรรมดา ฝรั่งก็งง ผู้เขียนจึงบอกว่าอุ๊ยพูดผิด (หน้าก็แตกไปแล้ว)


 


อีกอันหนึ่งคือ ใช้แบบปัจจุบัน เป็น present simple หมดเลย เช่น "I have lunch with Tom today." ทั้งที่ตอนพูดนั่นน่ะทุ่มกว่าไปแล้ว ต้องใช้ "had" อันนี้เป็นข้อบกพร่องอย่างมาก ดังนั้นผู้เขียนจะพยายามไม่เจอใครตอนเย็นๆ เพราะหลุดเสมอ


 


อีกตัวอย่างของตอนเย็นมหาภัยคือ การเลือกใช้คำ วงศัพท์ต่างๆ จะหายไปในสมองของผู้เขียนแทบไม่น่าเชื่อ หรือจะเรียกใช้ก็จะยากเย็น ออกมาผิดๆ ถูกๆ มากกว่าปกติ (อันนี้มีตัวอย่างในเวลาอื่นอีกด้วย จะเล่าต่อไป) สองวันที่ผ่านมา เพื่อนต่างชาติเอาเช็คมาใช้หนี้โดยบอกว่าไม่มีเงินสด  ผู้เขียนตั้งใจจะเย้าและบอกว่า "Any form of monetary is welcome." แปลว่า เงินตรารูปแบบใดก็ยินดีรับ  แต่ดันพูดไปว่า "Any form of monastery is welcome." มีคำว่า monastery ซึ่งแปลว่า วัดๆ โบสถ์ๆ ที่สำคัญพูดซะดังทีเดียว ตรงนั้นคนแยะไปหมด พอมาคิดได้หลังจากนั้น ห้านาที นั่งขำตนเองซะไม่มี  มิน่าเพื่อนถึงได้งงๆ ตอนที่พูดออกไป ที่สำคัญตรงนั้นเป็นโรงยิมของเมืองมีคนมากมาย พลาดและขายขี้หน้าเหมือน "เดินเหยียบอ่างกะปิ" ในสำนวนไทยเลยทีเดียว


 


อีกตัวอย่างหนึ่งของความเพลี่ยงพล้ำ ป้ำเป๋อ สมชื่อ เกี่ยวกับเรื่องใช้คำที่สะกดและออกเสียงใกล้เคียงกันคือ คำว่า "execute" และ "prosecute" เป็นสถานการณ์ที่ผู้เขียนกำลังเล่าเรื่องว่ามีการข่มเหง (harassment) นักศึกษาเกย์ในเมืองที่ผู้เขียนอยู่ แล้วตำรวจและอัยการของเมืองกำลังทำเรื่องที่จะฟ้องร้องผู้ต้องสงสัย เพราะถือเป็นคดีอาญา ต้องใช้คำว่า "prosecute"  แต่ผู้เขียนดันใช้คำว่า "execute" ตลอด  ซึ่งมีความหมายในด้านกฏหมายว่า "ประหารชีวิต" ตรงนั้นเป็นโต๊ะทานข้าวรวมบรรดาอาจารย์และเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัย ขณะที่เล่าไปไม่มีใครขัดคอผู้เขียน แต่มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งทำหน้าแปลกๆ แต่แกก็กล้าถามในที่สุดว่าขนาดประหารเลยเหรอ นั่นแหละผู้เขียนถึงได้ชะงัก เพราะไก่เล้าเบ้อเร่อหลุดออกไปแล้ว เป็นที่เม้าท์กันในบรรดาพรรคพวกอยู่พักหนึ่ง


 


แต่ก็ดีอยู่อย่างว่าในบริบทสหรัฐฯ นั้น การที่จะนำเรื่องนี้มาล้อกันเป็นเรื่องต้องระมัดระวัง เพราะไม่เช่นนั้นจะถือว่าเป็นการแบ่งสีผิวหรือดูถูกเหยียดหยาม อันมีพื้นมาจากความแตกต่างได้ ถ้าไม่สนิทๆ หรือขำกันอย่างชัดๆ จะไม่นำมาล้อกันได้ ยิ่งเฉพาะในองค์กร ตรงนี้นี่ต้องยอมรับว่าฝรั่งเค้าพัฒนาจริงๆ  ถ้าเป็นเมืองไทยก็คงไม่เหลือ


 


ผู้เขียนเจอออกบ่อยที่นักศึกษาฝรั่งบางคนไม่พอใจที่ผู้เขียน "บังอาจ" ไปแก้งานเขียนของเขา ยิ่งเป็นพวกวิชาเอกภาษาอังกฤษนี้จะทนไม่ได้เอาเลย เพราะพวกเธอคิดว่าเธอมีภาษาเลิศเลอ แล้วผู้เขียนเป็นกะเหรี่ยงโดเรม่อนแบบนี้ พูดก็สำเนียงหนาเตอะ จะอาจหาญแก้ไขภาษาเธอได้อย่างไร


 


มีรายหนึ่งที่ผู้เขียนจำได้จนวันตาย  เธอเดินมาหาผู้เขียนแล้วถามว่า ทำไมข้อสอบของเธอถึงได้คะแนนไม่ดี (จริงๆ น้อยกว่าที่ได้สูงสุดแค่ 7 คะแนน) ผู้เขียนบอกว่าเขียนออกมาแล้วไม่ชัดเจน ไม่ตรงคำตอบที่วางไว้ มีโครงสร้างการตอบไม่ตรงที่ควรเป็น เธอโกรธมาก บอกว่าเธอเป็นเจ้าของภาษา  เรียนเอกภาษาอังกฤษ  และจะออกไปเป็นครูสอนวิชานี้ เธอมั่นใจว่าเธอตอบได้ดี ผู้เขียนจึงบอกไปว่าน่าสนใจ แต่บังเอิญผู้เขียนสอนวิชาดังกล่าวนี้ ผู้เขียนเป็นผู้ตัดสินที่ชอบธรรม และผู้เขียนก็ได้ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยที่คนอเมริกันหลายคนเข้าไม่ได้ หรือเข้าได้แล้วก็ไม่ได้จบก็มากมาย เธอโกรธมาก และกลายเป็นคนที่จงเกลียดจงชังผู้เขียนตั้งแต่นั้นมา คือคนอื่นผิดหมด เธอถูกคนเดียว พอโดนตอกกลับก็โกรธ  


 


อันนี้จึงอยากขอบอกว่า ฝรั่งนั้นมีหลายแบบ ที่น่ารักพอมี  และที่เป็นแบบน่ากลัวแบบนี้ก็มีมาเป็นระยะๆ เพราะคนพวกนี้จะทนไม่ได้กับการที่คนผิวสี ที่อิมพอร์ทมาจากต่างประเทศจะมาเก่งกว่า  ยิ่งสายมนุษยศาสตร์นี้นั้นมีแต่ฝรั่งทั้งนั้น หากะเหรี่ยงเป็นอาจารย์ไม่ค่อยมี เพราะอาจารย์ด้านนี้เงินเดือนน้อย กะเหรี่ยงมักเป็นอาจารย์สายวิทย์เงินเดือนดีกว่า ฝรั่งเองไม่ค่อยเรียนสูงๆ มาเป็นอาจารย์ เพราะจบแค่ตรีเงินเดือนก็มากแล้ว  ดังนั้น กะเหรี่ยงน่าเอ็นดูอย่างผู้เขียนจึงต้องเจออะไรแปลกๆบ่อยๆ  ทั้งจากนักศึกษาเองและเพื่อนอาจารย์บางคนที่ในใจลึกๆไม่ชอบคนผิวสี   ซึ่งประเด็นนี้คนผิวสีก็ไม่สามารถนำไปฟ้องร้องได้ตามกฏหมายเพราะไม่ชัดเจนพอ


 


เปลี่ยนกลับมาเรื่องความเปิ่นทางภาษาต่อก่อนจบบทความนี้


 


ในเทอมแรกที่ผู้เขียนสอนที่มหาวิทยาลัยนี้ ผู้เขียนได้นักศึกษาที่น่ารักมากห้องหนึ่ง นักศึกษาเหล่านี้ช่วยผู้เขียนในการสอนมาก สั่งงานอะไรไม่เคยบ่น ไม่ค่อยโดดเรียน แถมเวลาผู้เขียนจะยกตัวอย่างรายการทีวีมาประกอบ พวกเค้าจะช่วยลุ้นกับผู้เขียน (อันนี้ต้องบอกก่อนว่าสอนเด็กฝรั่งต้องฉับไวมาก เรื่องราวใหม่ๆ ฮ้อตๆ เป็นเรื่องที่เธอชอบ) เฮฮากันตลอด มีอยู่ครั้งหนึ่งที่จะมีการสอบย่อย ผู้เขียนได้ให้เอกสารช่วยทบทวนเนื้อหาก่อนสอบ แล้วตั้งใจจะบอกว่าขอให้พวกเธอเบาใจ พักผ่อนได้ โดยพูดออกไปว่า "This study guide will help you prepare for the exam. So you can rest in peace."


 


นักศึกษางงเป็นไก่ตาแตก เพราะสำนวนว่า "rest in peace" ไว้ใช้สำหรับคนที่ตายแล้วหน้าหลุมฝังศพ เปรียบได้กับว่า "หลับให้สบายเถิดนะเจ้า" หรือ "ขอให้ไปสู่สุคติ" นักศึกษาคนหนึ่งถามข้าพเจ้าว่าพูดอะไรนะ ข้าพเจ้าก็ย้ำตามเดิม เธอพยายามกลั้นหัวเราะแล้วบอกว่าที่ผู้เขียนใช้นั้นไม่ถูกกับสถานการณ์แบบนี้ ควรใช้ว่า "So you can relax." พอผู้เขียนหัวเราะและขอโทษ คนอื่นๆ ก็ขำกันได้ อันนี้ก็ทำให้ผู้เขียนต้องระวังมากขึ้นแม้ว่าจะรู้มาก่อนว่าใช้กับกรณีคนตาย แต่คิดว่ามันน่าใช้กับบริบทอื่นได้ด้วย ในฐานะคนที่ไม่ใช่เจ้าของภาษาตรงนี้เราพลาด


 


ขอแถมอีกนิดนึง "have a seat" กับ "take a seat" นั้นต่างกัน ทั้งที่มีความหมายว่าให้นั่งได้  อันแรกเหมือนพูดว่า "เชิญนั่ง"  อันที่สองเหมือนพูดว่า "นั่งสิ" มีเนื้อหาโดยนัยเหมือนออกคำสั่ง อันนี้เอามาให้รู้ไว้เล็กน้อย สำหรับคนที่ไม่ใช่เจ้าของภาษาอย่างเราๆ ท่านๆ


 


นึกถึง รมต. ศึกษาฯ ปัจจุบันที่อยากส่งเสริมให้มีการเรียนรู้ภาษาอังกฤษมากๆ ซึ่งถือว่าดี อย่างไรก็ตาม การเรียนเรื่องนี้เป็นการเรียนมากกว่าตัวภาษา แต่เป็นเรื่องวัฒนธรรมและระบบความคิดของเจ้าของภาษาด้วย การหาคนที่มีความสามารถจริงๆ มาสอนคงไม่ใช่เรื่องง่าย


 


ก่อนจบ ผู้เขียนขอบอกว่า ใครๆ ก็ผิดกันได้ แต่ผิดแล้วต้องจำและแก้ไข  ไว้มีโอกาสจะเล่าเรื่องอื่นๆ เกี่ยวกับเรื่องภาษาอังกฤษแบบขำๆ คงไม่ว่ากัน