Skip to main content

น้องเฟิร์น








 


หากวัยเด็กและวัยเยาว์เป็นแค่เรื่องไร้สาระ  แล้วความมุ่งมาดปรารถนา


ที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่จะมิยิ่งไร้สาระกว่าหรือ


                                                  วินเซนต์  แวงโก๊ะ


 



 



ในยามเผลอ น้องเฟิร์นจะดึงทึ้งเส้นผมของตัวเองหลุดออกมาเป็นกระจุกจนหัวเว้าแหว่งน่าเกลียด เพื่อน ๆ รุ่นเดียวกันในละแวกบ้านและที่โรงเรียนจะล้อเรื่องหัวที่เว้าแหว่ง จนน้องเฟิร์นร้องไห้เสมอ แต่น้องเฟิร์นก็ยังไม่หยุดกิจกรรมการดึงทึ้งเส้นผมของตนเอง


 


บ้านของน้องเฟิร์นแวดล้อมด้วยบรรยากาศของชนบท ดังนั้น พ่อและแม่น้องเฟิร์นวิเคราะห์ว่าด้วยเหตุผลบางอย่างอาจเป็นไปได้ที่น้องเฟิร์นจะ "ถูกของ" หรืออำนาจเหนือธรรมชาติเล่นงาน แต่พ่อแม่ก็ไม่กล้าพาน้องเฟิร์นไปหาหมอพื้นบ้านเพราะกลัวว่ามันจะจริงอย่างที่คิด รวมทั้งไม่พาน้องเฟิร์นไปหาแพทย์แผนใหม่ วิธีการห้ามไม่ให้น้องเฟิร์นถอนเส้นผมของตนเองคือการดุด่าอย่างรุนแรงเจ็บแสบซึ่งก็ไม่เคยได้ผล พ่อแม่ไม่เคยจะเฉลียวใจเลยว่าพฤติกรรมของลูกสาวนั้นมีสาเหตุมาจากการเลี้ยงดูของตนเอง


 


พ่อแม่มักจะทิ้งน้องเฟิร์นไว้กับพี่ชาย ปล่อยให้ 2 พี่น้องอยู่กันด้วยความหวาดกลัว บางครั้งเป็นเพราะความหวาดกลัว พี่ชายจะดุด่าน้องสาวอย่างไร้สาเหตุ และเมื่อถูกพี่ชายดุ น้องเฟิร์นจะร้องไห้ แต่พอเติบโตขึ้นมาหน่อยน้องเฟิร์นก็จะโต้เถียงทั้งน้ำตา


 


อาชีพหลักของครอบครัวนี้คือการเล่นการพนัน  เกือบทุกคืนหรือทุกคืนก็ว่าได้ที่ผู้เป็นพ่อจะออกนอกบ้านไปเล่นการพนันและถ้าได้เงินมาก็อาจจะเอามันไปผลาญเล่นที่ร้านคาราโอเกะ บางคราวผู้เป็นแม่ก็จะไปกับผู้เป็นพ่อด้วยเพราะกลัวว่าสามีของตนเองจะไปติดพันสาวคนอื่น หรือก็อาจเป็นเพราะความนิยมชมชอบในการเล่นการพนันเป็นทุนเดิมด้วยอยู่แล้ว


 


เด็กน้อยทั้งคู่จึงผ่านแต่ละค่ำคืนไปอย่างหวาดกลัว เด็กน้อยว้าเหว่และกลัว ทั้งกลัวผี กลัวความมืด กลัวสิ่งที่อธิบายไม่ได้ บางคราวสองพี่น้องพากันร้องไห้อย่างโหยหวนจนคนข้างบ้านต้องแห่กันมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ใครที่คิดว่าเสียงร้องไห้ของเด็กเป็นสิ่งแสดงถึงความไม่ประสีประสา จะต้องเปลี่ยนความคิดอย่างแน่นอน หากได้ยินเสียงคร่ำครวญอันทุกข์ทรมานของ 2 พี่น้องอันเกิดจากความกลัวจับจิตและความว้าเหว่อันทุรนทุราย


 


ตอนแรกพี่ชายจะบอกให้น้องหยุดร้อง


"อย่าร้องสิ"  พี่ชายบอก  "ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัวเลย เดี๋ยวแม่ก็กลับแล้ว"


"แม่จะกลับเมื่อไหร่"


"เดี๋ยวแม่ก็กลับแล้ว" พี่ชายบอก


แต่เมื่อสำนึกได้ว่าแม่คงไม่กลับมาเร็วดังที่คิด พี่ชายก็เริ่มร้องไห้อีกคน นี่เป็นโศกนาฏกรรมที่พบเห็นได้ไม่ยากและไม่สลักสำคัญอะไรเลยในสายตาของผู้ใหญ่


 


น้องเฟิร์นเผชิญกับสถานการณ์นี้โดยการดึงทึ้งเส้นผมของตนเองอย่างเมามัน ประหนึ่งว่าจะช่วยบรรเทาการขาดความอบอุ่นจากพ่อแม่ได้ ส่วนพี่ชายนั้นมีบุคลิกเฉยชา  ไม่สนใจไยดีที่จะเล่นกับเพื่อน หรือในทางกลับกันก็คือไม่มีเพื่อนอยากจะเล่นกับเขาเลย


 


เมื่อได้ดึงทึ้งเส้นผมของตนเอง น้องเฟิร์นจะหายจากอาการหวาดกลัว เพลิดเพลินจดจ่ออยู่กับความรู้สึกเจ็บแปลบเมื่อเส้นผมถูกดึงออกมาทั้งราก พอพี่ชายเห็นดังนั้น ก็จะตวาดให้น้องสาวของตนเองหยุดกิจกรรมนี้เสีย น้องเฟิร์นก็จะหยุดไปชั่วระยะหนึ่ง แต่แล้วเมื่อเผลอตัว น้องเฟิร์นก็หันกลับมาหากิจกรรมการถอนเส้นผมนี้อีก


 


บางครั้งน้องเฟิร์นถอนเส้นผมจนหลับไป ขณะหลับไปแล้ว น้องเฟิร์นก็อาจจะถอนเส้นผมของตนเองอีกด้วยอาการของคนละเมอ


 


คนเป็นพ่อแม่ไม่เคยตระหนักต่อปัญหาเหล่านี้เลย และคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดามาก ๆ ของชุมชนชนบท และคิดเอาเองง่าย ๆ ว่าพอโตขึ้นแล้วนิสัยและบุคลิกด้านลบมันจะหายไปเอง ไม่ว่าจะอย่างไร คนเป็นพ่อแม่ก็ไม่เคยแม้แต่คิดที่จะโทษตนเอง


 


การโทษตนเองไม่อยู่ในวิธีคิดของคนในแถบชนบทแห่งนี้ แต่การผลักความผิดและความรับผิดชอบไปให้เด็ก ๆ นั้นเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของพวกผู้ใหญ่ในการหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับความไร้น้ำยาของตนเอง การที่เด็กมีพฤติกรรมเสื่อมเสียหรือเป็นคนวิกลจริตเป็นเพราะตัวของเด็ก ๆ เองที่ไม่รักดี  ดังนั้นการให้ผู้ใหญ่เปลี่ยนพฤติกรรมของตนเองจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้


 


ไม่มีใครเคยเห็นน้องเฟิร์นหัวเราะเลย เด็กน้อยมีเพื่อนเล่นน้อยลงทุกวัน เพื่อนเล่นที่ดีที่สุดก็คือพี่ชายของเธอเอง ทั้งคู่ไปไหนมาไหนด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน พี่ชายคอยดูแลเธอทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน ผู้ใหญ่บางคนเห็นแล้วใจหายที่เด็กถูกละเลยถึงขนาดนี้ ทั้งที่อาศัยอยู่กับพ่อแม่แท้ ๆ ของตนเอง


 


วันหนึ่ง น้องเฟิร์นถูกทุบตีจนร้องไห้ยกใหญ่เมื่อไปขโมยขนมจากร้านขายของชำ เจ้าของร้านซึ่งเป็นชายวัยกลางคนอารมณ์ร้ายใช้ไม้เรียวหวดเข้าไปที่ขาของน้องเฟิร์น เด็กพยายามหนีแต่ก็ถูกจับข้อมือไว้ เจ้าของร้านหวดด้วยไม้เรียวจนพอใจ และประจานให้ผู้ใหญ่คนอื่น  ๆ รู้ว่าน้องเฟิร์นเป็นเด็กขี้ขโมย


 


ส่วนพี่ชายมองน้องถูกทารุณด้วยความเศร้าเสียใจและเจ็บใจอย่างล้ำลึก พี่ชายคิดว่านอกจากคนในครอบครัวแล้ว คนอื่นไม่มีสิทธิตีน้องสาวของเขาได้ แต่เขาก็ได้แต่ยืนมอง น้ำตาไหล เพราะช่วยอะไรน้องสาวของตนเองไม่ได้ เหตุการณ์นี้รวมทั้งเหตุการณ์ต่าง ๆ ก่อนหน้าเปลี่ยนบุคลิกของพี่ชายไปโดยสิ้นเชิง เขาชิงชังโลก ชิงชังผู้ใหญ่ ดูเหมือนว่าความไร้เดียงสาน่ารักได้จากเขาไปแล้ว


 


พี่ชายหันเหความรักและความดีไปให้กับน้องสาว เขาหวงและรักน้องสาวของตนเองมากขึ้นกว่าเก่า เขาไม่ดุด่าน้องสาวอีกต่อไปแล้ว


 


เมื่อน้องเฟิร์นถอนเส้นผมของตนเองอย่างที่เคยทำเป็นประจำ พี่ชายก็บอกอย่างอดทนว่าอย่าทำ โดยยกข้ออ้างร้อยแปดเพื่อให้น้องสาวเชื่อ เมื่อน้องสาวร้องไห้ด้วยความกลัว เขาก็จะเล่านิทานที่จำมาจากหนังสือ หรือบางทีก็แต่งขึ้นเองเพื่อให้น้องสาวลืมความกลัว  เมื่อน้องสาวหิว เขาก็จะหุงหาอาหารให้กิน เขาจะหาซื้อขนมให้กิน แต่เขาจะไม่ไปร้านค้าร้านนั้นอีกอย่างเด็ดขาด


 


เด็กทั้งคู่มีความสนใจน้อยลงในเรื่องที่ว่าพ่อแม่จะกลับมาบ้านเมื่อไหร่ หรือจะซื้ออะไรมาฝากบ้าง เลิกเรียกร้องความรัก ความอบอุ่นที่ไม่เคยได้รับ พ่อแม่รู้สึกโล่งใจที่เห็นลูกของตนเองไม่งอแง ไม่ขอนั่นขอนี่เหมือนแต่ก่อน


 


..........


 


ความเอาใจใส่ของพี่ชายช่วยได้มากทีเดียว เมื่อน้องเฟิร์นเผลอดึงเส้นผมออกมา น้องเฟิร์นจะรู้ตัวแล้วหยุดในทันที และสิ่งที่บ่งบอกได้ว่าความรักของพี่ชายบรรเทาเยียวยาได้นั่นก็คือ น้องเฟิร์นเริ่มที่จะหัวเราะได้แล้ว.