Skip to main content

จดหมายรักระหว่างเพื่อน 7 : จุลสารของฉัน

คอลัมน์/ชุมชน








3 กรกฎาคม 2531


จาริก...ที่รัก


 


อีกครั้งที่ฉันได้รับ let’ ที่เป็น บับ’ ที่ 1 ดีใจมากๆ เลย ฉันรอคอยการตอบจากเธอ แม่ ไล


 


ได้รับจากเธอเป็นคนแรก เป็นอย่างไรบ้างจ๊ะ เธอคงเหนื่อยกับงานและจุลสารมากสินะ ฉันเรื่องงานก็ไม่หนักหนาอะไรหรอก แต่ก็ไม่เรียกว่าสบายหรอกจ้ะ


 


ก็ชีวิตจนๆ ชีวิตหนึ่ง จะเอาอะไรมากมายเล่านะ หันเห แปรเปลี่ยน โดยที่ฉันปรับตัวเองแทบไม่ทัน


 


ใครล่ะจะรู้ และเข้าใจบ้างว่าฉันมีความรู้สึกอย่างไร


 


ฉันคิดถึงทุกอย่างที่บ้าน คิดถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ฉันเคยเป็นมาและสัมผัส ฉันไม่อยากบอกใครๆ เลยว่า ฉันคือคนผิดหวังแทบทุกเรื่อง แทบทุกอย่าง


 


อยากให้ตัวฉันสมหวังบ้าง ก็แค่หวังนั่นแหละนะ


 


เธอคงปลื้มนะ กับสิ่งที่เธอหวัง เช่นจุลสารไง...


ฉันรู้สึกถึงความเห็นแก่ตัวอย่างที่สุด ผ่าน-ผ่านมา ฉันไม่ได้ช่วยเหลืออะไรเกี่ยวกับจุลสารเลย  ฉันไม่รู้จะโทษใคร เพราะฉันต้องรับภาระครอบครัว เพราะฉันมีแม่ที่ไม่เข้าใจ เพราะฉันไม่มีสมาธิ ฉันอยู่ที่อึดอัด และมันบอกไม่ถูกเลย


 


เพราะฉันยังคงสับสน จริงอยู่ ฉันอยู่กับ บัว 2 คน แต่ก็แค่นั้น ไม่ค่อยจะพูดกันหรอก ก็เหมือนอยู่ที่บ้าน หากจะพูดคุยกันก็คงเรื่องไร้สาระทุกเรื่อง


 


จาริก...รูปของเราได้หรือยังล่ะ หากได้เรียบร้อยแล้ว ช่วยส่งมาให้ฉันบ้างนะจ๊ะ แล้วฉันจะสอดเงินมาให้


 


ฉันเห็นตัวเองเป็นเช่นนี้ ทำให้ฉันนึกถึงเธอมาก เหมือนครั้งที่อยู่บ้านพักศาล ฉันผูกพันกับเธอ เป็นคนแรกที่ไม่สามารถลบเลือนไปจากจิตใจของฉันได้


 


เพื่อนที่รัก...ฉันค้นหาตัวเองไม่พบว่าชีวิตฉันยังต้องการอะไรอีก


ฉันจากมาโดยที่ฉันจำเป็น ใจจริงชีวิตที่บ้านก็สุขได้วันต่อวัน แต่ความสมดุล และด้วยอันไม่มีจะกินนี่สิ มันทำให้ฉันหลีกเลี่ยงไม่ได้ สภาพแวดล้อมอีกต่างหาก ที่เป็นผลผลักดันให้ฉันละทิ้งทุกอย่างที่บ้าน


 


แต่เชื่อเถอะ ฉันจะยังคงเป็นฉันตลอดไป จะยังคงรักและศรัทธาเธออยู่ตลอดไปและนิรันดร์...


ช่วงนี้ระวังรักษาสุขภาพเอาไว้บ้างนะจ๊ะ ฉันเป็นห่วง พยายามทานข้าวมากๆ หน่อย


 


รู้มั้ย...เธอซูบผอมไปมาก ฉันสิ กลุ้มใจมากเลย น้ำหนักคงขึ้น 43-47 โลแล้วก็ได้ อยู่ได้ 5 วัน รู้สึกตัวว่าอ้วนขึ้นมาก หน้าตาก็อ้วนด้วย ตอนนี้กำลังฟิตลดน้ำหนัก เธอช่วยเป็นกำลังใจหน่อยนะ คิดว่าคงไม่เกิน 1 เดือน ฉันคงเหมือนเดิม


 


รู้สึกตัวว่าน้ำหนักขึ้น อึดอัดไม่น้อยเลย กลุ้มใจมากที่สุด


ฉันอบอุ่นนะ หากมีเธอเป็นเพื่อนนิรันดร์


 


ด้วยรักและอาทร


วรางคนางค์


 


ปล. ฝากซื้อจุลสารฉบับที่จะถึงนี้ เดือนหน้าใช่ไหม งั้นฉบับที่ออกไปแล้วดีกว่านะ 1 ฉบับ


 


... จาริก ฉันขอทำผิดสักครั้งนะ ช่วยเอาแผ่นกระดาษสีน้ำตาลไปให้ ทรี หน่อย กรุณาอย่าให้ใครเห็นและรับรู้เป็นอันขาด ฉันระลึกถึงเขาก็เท่านั้น คงไม่ผิดมากเท่าไหร่ หากฉันทำอย่างนี้


 


ช่วยบอกเขาว่าฉันฝากมาให้และกำชับเขาที อย่าให้ใครรู้ และเห็นเพราะฉันจะเป็นคนผิดมากกว่านี้นะจ๊ะ


 


ขอบคุณเธอมาก กรุณาอย่าพูดให้คนอื่นๆ ทราบนะ อ้อ! ไม่ต้องให้ที่อยู่ฉันหรอกนะจ๊ะ


 


ด้วยรักเธอเสมอ


* เงินฉันแนบมาให้ 10 บาท สั่งซื้อจุลสา


 


 


 


ในปี 2531


 


ฉันยุติการเร่ร่อนชั่วคราว กลับไปอยู่ที่บ้านเกิด และรับต้นทำจุลสารทำมือฉบับหนึ่ง


เป็นช่วงที่เธอเลิกร้างจาก ยุทธ ไปแล้ว เส้นชีวิตซึ่งเคยตัดพบกัน ต่างฉีกแยกจากกันคนละทาง


 


เธอยังออกไปทำงานนอกหมู่บ้าน กับเพื่อนที่เป็นลูกพี่ลูกน้องอีกคนหนึ่ง ชื่อ บัว ขณะที่ฉันกลับก้าวสวนทาง มานั่งทำในสิ่งที่ในหมู่บ้านเองถือเป็นเรื่อง ‘ไร้สาระ’ พอกัน


 


ฉันใฝ่สูง ตั้งต้นเป็นบรรณาธิการจุลสารวรรณกรรม ที่จริงไม่ควรใช้คำหรูขนาดนั้น เพราะเป็นเพียงสื่อกลางของคนหนุ่มสาวที่รักการอ่านเขียน ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดต่างๆ นานา


 


เพียงความในใจวัยหวาน ประมาณนั้น


 


แต่คงเพราะฉันเอง เติบโตมาอีกแบบหนึ่ง ได้ผ่านพบสิ่งต่างๆ มากมาย ในวัยเพียง 18 ปี ฉันจึงใช้พื้นที่ในกระดาษ (ถ่ายเอกสาร) บันทึกเรื่องราวต่างๆ ซึ่ง "บ้านนอกและเพื่อชีวิต" อย่างยิ่ง


 


เป็นต้นว่า ฉันเล่าถึงขอทานในตลาด, ชาวเขาไปซื้อเสื้อผ้า, ค่าข้าวราคาต่อเกวียน, ราคาข้าวสาร, คนเก็บตั๋วรถบัส ฯลฯ ชีวิตของคนใช้แรงงานและภาพของคนในหมู่บ้านห่างไกล


 


ออกจะแปลกด้วยซ้ำ ที่สมาชิกจุลสารของฉันกลับมาจากหลายทิศทาง แถมยังเป็นนักเรียน นักศึกษา


 


จุดเริ่มแรก ฉันเขียนไปที่หนังสือ "วัยหวาน" และ "วัยฝัน" แจ้งถึงโครงการวัตถุประสงค์ ความเป็นมา อัตราค่าสมาชิก (เล่มละ 10 บาท) ตอนนั้นยังคิดเงินไม่ค่อยเป็น ค่าซองแสตมป์จะคิดมากก็ยังเกรงใจ มีการระบุด้วยว่า หากสมัครรายปี จัดส่งฟรี  (เสร็จแล้วต้องไปเกี่ยวข้าว เอาเงินมาเป็นค่าจัดส่ง และถ่ายเอกสารในส่วนประชาสัมพันธ์)


 


ฉันใช้ที่บ้านเป็นสำนักงาน เขียนบนแผ่นไม้เสียเก๋ไก๋ว่า  "สำนักงานจุลสารเพื่อน"


 (ต่อมา ฉันเปลี่ยนชื่อเป็น "ใบตอง" เพราะมีคนบอกว่า ‘เพื่อน’ มีคนใช้แล้ว และมิตรรักนักอ่านทั้งหลาย ก็อุตส่าห์ตั้งต่อให้ว่า "เพื่อนใบตอง")


 


เพื่อนๆ ในหมู่บ้านเคยหัวเราะ พูดกับฉันว่า


 


 "เธอบ้าไปแล้ว ทำแบบนี้มีแต่จะเสียเงินเสียทอง เป็นคนจับจดเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ เอางานเบานำหน้า หาวิธีไม่สู้งานหนัก"


 


พูดเป็นภาษาเหนือ แต่ได้ใจความประมาณนี้


แต่สำหรับเธอ ไม่มีสักครั้งที่จะไม่เห็นด้วย บางครั้งเธอยังส่งบทกวีมาร่วมด้วย แม้จะออกตัวตามประสาเสมอว่า


 "ฉันเขียนไม่ดี ไม่เก่ง ไม่มีสาระ"


 


แต่ฉันกลับรักงานเธอเสมอ เพราะมีแต่เราที่รู้ว่า คำแต่ละคำซึ่งกลั่นจากความรู้สึก ถึงจะดูฟูมฟาย ไร้สาระในสายตาคนอื่น มันคือสิ่งถ่ายทอดจากจิตวิญญาณ จากความยากแค้น จากความสับสนกดดันต่างๆ


 


ฉันลงงานของเธอสม่ำเสมอในจุลสารที่ทำ ใครจะว่าลำเอียงก็ตามเถิด ฉันยอมรับเต็มใจ สมาชิกหลายคนก็เริ่มแซวว่าเธอเป็น "ขาประจำ" เส้นใหญ่


 


ซึ่งฉันก็ตอบไปว่า


 "มีจดหมายต่อว่า บก. ว่าลงผลงานของ ‘กากชา’ บ่อยมากกว่าใครๆ อยากชี้แจงว่า เพราะบัดนี้ กากชา เป็นนักเขียนประจำของที่นี่แล้ว..."


 


ใช้วิธีกำปั้นทุบดิน ตั้งตำแหน่งให้ตัวเอง (เต็มอัตรา) แล้วยังตั้งให้เธออีกด้วย


 


ในภายหลัง


 


เมื่อกลับมาเปิดดูจุลสารเก่าแก่ ได้เห็นการตัดแปะทำอาร์ตเวิร์กผิดๆ ถูกๆ กาวเป็นของแพง ใช้แม้แต่ข้าวเหนียวบี้ๆ ติดกระดาษ กวนแป้งมันบ้าง (พบว่ามันทำให้กระดาษเปียกมากไป)


 


สารพัดจะตกแต่งหนังสือทำมือของตัวเองให้น่าสนใจ เขียนเองด้วยลายมือทั้งเล่ม นิตยสารที่แม่สะสมไว้อ่านถูกนำมาตัดแปะ ใช้ภาพมาทำภาพประกอบ ฯลฯ (แม่ห้ามไม่ให้เอาหนังสือ ‘ลลนา’ ไปตัด ฉันจึงหันไปหาหนังสือ ‘เรา’ และ ‘ขวัญเรือน’)


 


และคงเป็นการทำหนังสือนี้เอง ที่ทำให้เส้นทางของฉันกับเธอห่างกันออกไปทีละน้อย


 


โดยเราไม่ทันรู้ตัว...


 


 


**********************************************************