Skip to main content

ปางแดง…เหตุการณ์เลวร้ายที่ไม่เปลี่ยนแปลง

คอลัมน์/ชุมชน

 


                                                                                               


ผมไม่รู้ว่าในห้วงยามแห่งชีวิตเธอนั้น ได้พกพาความทุกข์รันทดและปวดร้าวมานานเท่าใด


เมื่อยามที่ผมจ้องมองเธออยู่ใกล้ๆ  ผมมองเห็นดวงตาคู่นั้นดูเศร้า ใบหน้าหมอง…ยิ่งยามเธอบอกเล่าถึงเหตุการณ์เพิ่งผ่านพ้นมาไม่นาน  น้ำเสียงเธอนั้นสั่นพร่า…เหมือนกับว่าดวงจิตของเธอยังตกอยู่ในห้วงเหวของความหวั่นหวาดขลาดกลัวอยู่ไม่หาย 


 


ในเรื่องราวอันเลวร้ายที่ถาโถมเข้ามาสู่ชีวิตเธอ…


 


"ทำไมต้องมาจับพวกเราด้วย…ทั้งที่เราไม่ได้ทำผิดอะไรเลย  ทำไมไม่คิดถึงจิตใจของเราบ้าง  หรือว่าพวกเขามองเราเหมือนไม่ใช่คน…" เธอเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าปนเย้ยหยันในเรื่องราวปัญหาที่ถาโถมเข้ามา


 


ผมอึ้งและเงียบงัน…


เมื่อยินเสียงความบอบช้ำของเธอ


บอกเล่าความรู้สึกอันเลวร้าย


ที่ยากเกินจะเยียวยา


 


* * * * * *


 


เช้ามืดของวันที่  23  กรกฎาคม 2547 


ขณะที่ทุกคนกำลังพักผ่อนนอนหลับอยู่ในกระท่อมไม้ไผ่ 


ท่ามกลางความเงียบ สงบ และเยียบเย็น หลังฝนซาในความสลัวรางยามใกล้สาง…


ทุกคนไม่อาจล่วงรู้ได้ว่า- -มีเงามืดดำตะคุ่มๆกำลังคืบคลานเคลื่อนไหวเข้ามาสู่วิถีชีวิตและชุมชนอีกครั้งหนึ่ง


 


กว่าจะรู้อีกที- -เมื่อยินเสียงฝีเท้าย่ำขึ้นไปบนกระท่อม


พร้อมเสียงตะโกนอันกราดกร้าว ร้องเรียกชาวบ้านทุกคนตื่นขึ้นมาพบกับความงุนงงตกใจ!!


 


ห้วงยามนั้น, ทุกคนต่างตื่นตระหนกอกสั่นขวัญหาย- -เมื่อมองเห็นเจ้าหน้าที่ อส.ตำรวจ ทหาร และป่าไม้กว่าสองร้อยนาย  พร้อมอาวุธครบมือเข้าปิดล้อมหมู่บ้าน พร้อมเสียงประกาศดังก้อง


 


"ขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบ!!…" เสียงของเจ้าหน้าที่ประกาศก้องดังไปทั่วหมู่บ้าน


 


เจ้าหน้าที่บางนายบุกขึ้นไปในกระท่อม ร้องเรียกให้ทุกคนเอาบัตรประจำตัวประชาชน บัตรประจำตัวบุคคลบนพื้นที่สูงออกมาดู ในขณะที่เจ้าหน้าที่อีกนาย  ยืนถือปืนสงครามคุมเชิงอยู่หน้าบ้าน


 


บางคนแสดงหลักฐานว่าได้รับสัญชาติไทยแล้ว หากยังถูกข่มขู่พร้อมดึงตัวออกมายืนข้างนอก เจ้าหน้าที่บังคับทุกคนให้ถือป้ายและถ่ายรูปชาวบ้าน ก่อนจะควบคุมตัวชาวบ้านขึ้นในรถคุมขังด้วยกรงเหล็กที่จอดนิ่งรออยู่ตรงลานดินกลางหมู่บ้าน


 


"เราทำผิดอะไร…ทำไมต้องจับเราไป…"


"สงสารพวกเราเถอะ…ขอร้อง อย่าเอาตัวผมไปเลย"


เสียงของความหวาดกลัวของชาวบ้านดังระงมไปทั่วหมู่บ้าน  บ้างร้องไห้ บ้างยกมือไหว้วิงวอนร้องขอ…ทว่าไม่เป็นผล…เจ้าหน้าที่ยังคงกราดเกรี้ยวและรุนแรง!!


 


* * * * * *


 


 



ผมจดจ้องภาพของชายชรายืนน้ำตาคลอเกาะซี่กรงเหล็ก


ภาพของหญิงชรา หญิงท้องแก่ หญิงแม่ลูกอ่อน และชายขาด้วนพิการใช้ไม้เท้าค้ำยันเดินลงจากรถคุมขังที่มีซี่กรงเหล็กกั้นล้อมรอบ ตรงไปที่หน้าที่ว่าการอำเภอเชียงดาว 


 


เป็นภาพความรู้สึกที่ผมมองเห็นด้วยความรันทดและหดหู่…


เหมือนกับสัตว์ป่าที่บาดเจ็บ ที่ถูกจับมาคุมขังโดยมิรู้สาเหตุ 


ว่าจับมาเพื่อสิ่งใด!?…เพื่อความสงสาร หรือเพื่อความอาฆาตแค้น


 


ผมเฝ้าถามตัวเองอยู่อย่างนั้น…อยู่กับความสับสนหม่นมัวและสิ้นหวัง!!


 


48 ชีวิต ทั้งชนเผ่าลาหู่ ปะหล่อง และคนพื้นราบ ที่ถูกจับต้อนเข้าไปในที่ว่าการอำเภอหลังเก่า…พร้อมความสับสนไม่เข้าใจ ในโมงยามอันแปลกเปลี่ยนเช่นนี้ 


 


 


"พวกเราทำผิดอะไรๆ…" เสียงของความทุกข์ยังย้ำดังก้องไปทั่ว… 


ท่ามกลางความสับสนอลหม่านของญาติพี่น้องชนเผ่าดาระอั้ง ลาหู่ ลีซู และคนพื้นเมืองที่ติดตามกันมาอยู่เต็มลานสนามหญ้าหน้าอำเภอ  ด้วยความเป็นห่วงในชะตากรรมที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า


 



 


นานหลายนาน…ที่ชาวบ้านผู้ถูกจับกุม ถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวเข้าไปจับพิมพ์ลายมือลงในเอกสารที่วางไว้   โดยที่ทุกคนมิได้รับรู้ว่าพิมพ์ลายมือไปเพื่ออะไร!?


 


ใช่, เพียงไม่กี่โมงยาม…ชาวบ้านทั้ง 48  คน กลับกลายเป็นผู้ต้องหา "คดีบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ"  ทั้งๆ ที่พวกเขาอยู่กันมานานนับนาน  อีกทั้งเจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้นำมาตั้งถิ่นฐานที่นั่น ท่ามกลางความเคลือบแคลงระแวงสงสัยของญาติพี่น้อง ของสังคมทั้งประเทศว่า เจ้าหน้าที่รัฐกำลังทำอะไรกัน 


 


"มันต้องมีอะไรผิดพลาดอย่างแน่นอน…" เสียงใครคนหนึ่งพึมพำพึมพำออกมาเบาๆ


 


* * * * * *


 


เช้านั้น, ผมนั่งอยู่ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ ไม่ไกลนักจากถ้ำปางแดง  


 


"นี่ไม่ใช่ครั้งแรก…มันเป็นครั้งที่สามแล้ว ที่พวกเขาเข้ามาจับกุมพวกเรา โดยที่ไม่ได้ทำผิด"


"แสงหล้า  จะดู่"  หญิงสาวลาหู่ เธอบอกเล่าเหตุการณ์ให้ผมฟัง…ในวันที่มีการจัดผ้าป่าสามัคคีเพื่อหาทุนไปช่วยเหลือญาติพี่น้องชาวบ้านปางแดงที่ถูกจับกุม


 


เธอบอกว่า ในจำนวน 48 คนที่ถูกจับกุมนั้น มีพ่อ พี่เขยและพี่ชายของเธอรวมอยู่ด้วย ทำให้ครอบครัวของเธอต้องเคว้งคว้างและสับสนกับชะตากรรมที่เธอไม่ได้ก่อ…


 


 


นับแต่นั้นมา- -เธอจำต้องเป็นหนึ่งในแกนนำเพื่อยื่นหนังสือเรียกร้องความไม่เป็นธรรม


เธอเป็นตัวแทนชาวบ้านยื่นหนังสือร้องเรียนกับนายอำเภอ ผู้ว่าราชการจังหวัด รวมทั้งพาพี่น้องลงไปกรุงเทพฯ เพื่อยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และสภาทนายความแห่งประเทศไทย


 


ใช่, สถานการณ์นั้นสร้างเธอเป็นนักต่อสู้!! 


 


และเธอจำต้องเดินทางเพื่อทวงถามสิทธิของความเป็นคน  ทั้งๆ ที่ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า วิถีชีวิตของเธอจะต้องจากแผ่นดินถิ่นเกิด พาญาติพี่น้องเดินทางออกจากหมู่บ้าน มาร่วมชุมนุมเรียกร้องขอความเป็นธรรมที่ศาลากลางเชียงใหม่


 


ช่างเป็นการเรียกร้องที่แสนมืดมนและยาวนาน…


 



ครั้งแล้วครั้งเล่า…ที่พี่น้องชาวบ้านปางแดงถูกจับกุม


หลายคนส่ายหน้าไม่เข้าใจ ว่าทำไมต้องเป็นการจับกุมซ้ำซากไม่รู้จักจบสิ้น


หรือเป็นเพราะว่าเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมองเห็นพวกเขาเป็นเพียงคนชายขอบ


เป็นวัชพืชที่เขาไม่ต้องการ จึงพยายามกระทำย่ำยีให้อ่อนล้าโรยแรง


และให้แห้งเหี่ยวเฉาตายในที่สุด 


                       


* * * * * *


 


ในช่วงบ่ายอันร้อนแรงของวันนั้น,


โตโบ ผู้นำทางพิธีกรรมของชนเผ่าลาหู่กำลังนั่งยองๆ อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในหมู่บ้านปางแดง 


พ่อเฒ่ากำลังจุดธูปเทียนสวดคำสาปแช่งให้กับคนที่เข้ามาทำร้ายจิตใจของชาวบ้าน 


ก่อนที่จะใช้มีดตัดคอไก่จนขาดกระเด็น  เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณพิธี…


 


เพราะพวกเขาถูกทำให้เดือดร้อนจนน้ำตาตกสามครั้ง เขาจึงได้ทำพิธีสาปแช่งอันศักดิ์สิทธิ์ในครั้งนี้"  พะตีจอนิ  โอโดเชา  ปราชญ์ชนเผ่ากระซิบบอกให้ผมฟังเบาๆ


หลังการร่ำลาชาวบ้าน…ผมเดินทางออกจากหมู่บ้านปางแดง  


 


 


 




           


 


 



ท่ามกลางความสับสนไม่เข้าใจลอยวนไปมา



ในห้วงยามนั้น, เสียงสวดสาปแช่งของโตโบ 


ยังดังก้องอยู่ในหัวสมองของผมอยู่อย่างนั้นนานหลายนาน…


พร้อมกับภาพของผู้เฒ่าน้ำตารินไหล  ชายขาขาดเกาะซี่กรงรถคุมขัง


ภาพหญิงชรา และหญิงท้องแก่ เดินลงจากรถ ผุดเข้ามาในความทรงจำอีกครั้ง


ในขณะที่คดีทั้งหมดยังอยู่ในชั้นศาลเพื่อรอการตัดสิน...


 


ทำให้ผมอดนึกถึงพวกเขาไม่ได้


"ปางแดง กับเหตุการณ์เลวร้ายที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง"


 


* * * * * *


 


หมายเหตุ : ภาพประกอบโดย "อานุภาพ นุ่นสง"