ปางแดง เหตุการณ์เลวร้ายที่ไม่เปลี่ยนแปลง
คอลัมน์/ชุมชน
ผมไม่รู้ว่าในห้วงยามแห่งชีวิตเธอนั้น ได้พกพาความทุกข์รันทดและปวดร้าวมานานเท่าใด
เมื่อยามที่ผมจ้องมองเธออยู่ใกล้ๆ ผมมองเห็นดวงตาคู่นั้นดูเศร้า ใบหน้าหมอง ยิ่งยามเธอบอกเล่าถึงเหตุการณ์เพิ่งผ่านพ้นมาไม่นาน น้ำเสียงเธอนั้นสั่นพร่า เหมือนกับว่าดวงจิตของเธอยังตกอยู่ในห้วงเหวของความหวั่นหวาดขลาดกลัวอยู่ไม่หาย
ในเรื่องราวอันเลวร้ายที่ถาโถมเข้ามาสู่ชีวิตเธอ
"ทำไมต้องมาจับพวกเราด้วย ทั้งที่เราไม่ได้ทำผิดอะไรเลย ทำไมไม่คิดถึงจิตใจของเราบ้าง หรือว่าพวกเขามองเราเหมือนไม่ใช่คน " เธอเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าปนเย้ยหยันในเรื่องราวปัญหาที่ถาโถมเข้ามา
ผมอึ้งและเงียบงัน
เมื่อยินเสียงความบอบช้ำของเธอ
บอกเล่าความรู้สึกอันเลวร้าย
ที่ยากเกินจะเยียวยา
* * * * * *
เช้ามืดของวันที่ 23 กรกฎาคม 2547
ขณะที่ทุกคนกำลังพักผ่อนนอนหลับอยู่ในกระท่อมไม้ไผ่
ท่ามกลางความเงียบ สงบ และเยียบเย็น หลังฝนซาในความสลัวรางยามใกล้สาง
ทุกคนไม่อาจล่วงรู้ได้ว่า- -มีเงามืดดำตะคุ่มๆกำลังคืบคลานเคลื่อนไหวเข้ามาสู่วิถีชีวิตและชุมชนอีกครั้งหนึ่ง
กว่าจะรู้อีกที- -เมื่อยินเสียงฝีเท้าย่ำขึ้นไปบนกระท่อม
พร้อมเสียงตะโกนอันกราดกร้าว ร้องเรียกชาวบ้านทุกคนตื่นขึ้นมาพบกับความงุนงงตกใจ!!
ห้วงยามนั้น, ทุกคนต่างตื่นตระหนกอกสั่นขวัญหาย- -เมื่อมองเห็นเจ้าหน้าที่ อส.ตำรวจ ทหาร และป่าไม้กว่าสองร้อยนาย พร้อมอาวุธครบมือเข้าปิดล้อมหมู่บ้าน พร้อมเสียงประกาศดังก้อง
"ขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบ!! " เสียงของเจ้าหน้าที่ประกาศก้องดังไปทั่วหมู่บ้าน
เจ้าหน้าที่บางนายบุกขึ้นไปในกระท่อม ร้องเรียกให้ทุกคนเอาบัตรประจำตัวประชาชน บัตรประจำตัวบุคคลบนพื้นที่สูงออกมาดู ในขณะที่เจ้าหน้าที่อีกนาย ยืนถือปืนสงครามคุมเชิงอยู่หน้าบ้าน
บางคนแสดงหลักฐานว่าได้รับสัญชาติไทยแล้ว หากยังถูกข่มขู่พร้อมดึงตัวออกมายืนข้างนอก เจ้าหน้าที่บังคับทุกคนให้ถือป้ายและถ่ายรูปชาวบ้าน ก่อนจะควบคุมตัวชาวบ้านขึ้นในรถคุมขังด้วยกรงเหล็กที่จอดนิ่งรออยู่ตรงลานดินกลางหมู่บ้าน
"เราทำผิดอะไร ทำไมต้องจับเราไป "
"สงสารพวกเราเถอะ ขอร้อง อย่าเอาตัวผมไปเลย"
เสียงของความหวาดกลัวของชาวบ้านดังระงมไปทั่วหมู่บ้าน บ้างร้องไห้ บ้างยกมือไหว้วิงวอนร้องขอ ทว่าไม่เป็นผล เจ้าหน้าที่ยังคงกราดเกรี้ยวและรุนแรง!!
* * * * * *
ผมจดจ้องภาพของชายชรายืนน้ำตาคลอเกาะซี่กรงเหล็ก
ภาพของหญิงชรา หญิงท้องแก่ หญิงแม่ลูกอ่อน และชายขาด้วนพิการใช้ไม้เท้าค้ำยันเดินลงจากรถคุมขังที่มีซี่กรงเหล็กกั้นล้อมรอบ ตรงไปที่หน้าที่ว่าการอำเภอเชียงดาว
เป็นภาพความรู้สึกที่ผมมองเห็นด้วยความรันทดและหดหู่
เหมือนกับสัตว์ป่าที่บาดเจ็บ ที่ถูกจับมาคุมขังโดยมิรู้สาเหตุ
ว่าจับมาเพื่อสิ่งใด!? เพื่อความสงสาร หรือเพื่อความอาฆาตแค้น
ผมเฝ้าถามตัวเองอยู่อย่างนั้น อยู่กับความสับสนหม่นมัวและสิ้นหวัง!!
48 ชีวิต ทั้งชนเผ่าลาหู่ ปะหล่อง และคนพื้นราบ ที่ถูกจับต้อนเข้าไปในที่ว่าการอำเภอหลังเก่า พร้อมความสับสนไม่เข้าใจ ในโมงยามอันแปลกเปลี่ยนเช่นนี้
"พวกเราทำผิดอะไรๆ " เสียงของความทุกข์ยังย้ำดังก้องไปทั่ว
ท่ามกลางความสับสนอลหม่านของญาติพี่น้องชนเผ่าดาระอั้ง ลาหู่ ลีซู และคนพื้นเมืองที่ติดตามกันมาอยู่เต็มลานสนามหญ้าหน้าอำเภอ ด้วยความเป็นห่วงในชะตากรรมที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
นานหลายนาน ที่ชาวบ้านผู้ถูกจับกุม ถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวเข้าไปจับพิมพ์ลายมือลงในเอกสารที่วางไว้ โดยที่ทุกคนมิได้รับรู้ว่าพิมพ์ลายมือไปเพื่ออะไร!?
ใช่, เพียงไม่กี่โมงยาม ชาวบ้านทั้ง 48 คน กลับกลายเป็นผู้ต้องหา "คดีบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ" ทั้งๆ ที่พวกเขาอยู่กันมานานนับนาน อีกทั้งเจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้นำมาตั้งถิ่นฐานที่นั่น ท่ามกลางความเคลือบแคลงระแวงสงสัยของญาติพี่น้อง ของสังคมทั้งประเทศว่า เจ้าหน้าที่รัฐกำลังทำอะไรกัน
"มันต้องมีอะไรผิดพลาดอย่างแน่นอน " เสียงใครคนหนึ่งพึมพำพึมพำออกมาเบาๆ
* * * * * *
เช้านั้น, ผมนั่งอยู่ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ ไม่ไกลนักจากถ้ำปางแดง
"นี่ไม่ใช่ครั้งแรก มันเป็นครั้งที่สามแล้ว ที่พวกเขาเข้ามาจับกุมพวกเรา โดยที่ไม่ได้ทำผิด"
"แสงหล้า จะดู่" หญิงสาวลาหู่ เธอบอกเล่าเหตุการณ์ให้ผมฟัง ในวันที่มีการจัดผ้าป่าสามัคคีเพื่อหาทุนไปช่วยเหลือญาติพี่น้องชาวบ้านปางแดงที่ถูกจับกุม
เธอบอกว่า ในจำนวน 48 คนที่ถูกจับกุมนั้น มีพ่อ พี่เขยและพี่ชายของเธอรวมอยู่ด้วย ทำให้ครอบครัวของเธอต้องเคว้งคว้างและสับสนกับชะตากรรมที่เธอไม่ได้ก่อ
นับแต่นั้นมา- -เธอจำต้องเป็นหนึ่งในแกนนำเพื่อยื่นหนังสือเรียกร้องความไม่เป็นธรรม
เธอเป็นตัวแทนชาวบ้านยื่นหนังสือร้องเรียนกับนายอำเภอ ผู้ว่าราชการจังหวัด รวมทั้งพาพี่น้องลงไปกรุงเทพฯ เพื่อยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และสภาทนายความแห่งประเทศไทย
ใช่, สถานการณ์นั้นสร้างเธอเป็นนักต่อสู้!!
และเธอจำต้องเดินทางเพื่อทวงถามสิทธิของความเป็นคน ทั้งๆ ที่ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า วิถีชีวิตของเธอจะต้องจากแผ่นดินถิ่นเกิด พาญาติพี่น้องเดินทางออกจากหมู่บ้าน มาร่วมชุมนุมเรียกร้องขอความเป็นธรรมที่ศาลากลางเชียงใหม่
ช่างเป็นการเรียกร้องที่แสนมืดมนและยาวนาน
ครั้งแล้วครั้งเล่า ที่พี่น้องชาวบ้านปางแดงถูกจับกุม
หลายคนส่ายหน้าไม่เข้าใจ ว่าทำไมต้องเป็นการจับกุมซ้ำซากไม่รู้จักจบสิ้น
หรือเป็นเพราะว่าเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมองเห็นพวกเขาเป็นเพียงคนชายขอบ
เป็นวัชพืชที่เขาไม่ต้องการ จึงพยายามกระทำย่ำยีให้อ่อนล้าโรยแรง
และให้แห้งเหี่ยวเฉาตายในที่สุด
* * * * * *
ในช่วงบ่ายอันร้อนแรงของวันนั้น,
โตโบ ผู้นำทางพิธีกรรมของชนเผ่าลาหู่กำลังนั่งยองๆ อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในหมู่บ้านปางแดง
พ่อเฒ่ากำลังจุดธูปเทียนสวดคำสาปแช่งให้กับคนที่เข้ามาทำร้ายจิตใจของชาวบ้าน
ก่อนที่จะใช้มีดตัดคอไก่จนขาดกระเด็น เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณพิธี
" เพราะพวกเขาถูกทำให้เดือดร้อนจนน้ำตาตกสามครั้ง เขาจึงได้ทำพิธีสาปแช่งอันศักดิ์สิทธิ์ในครั้งนี้" พะตีจอนิ โอโดเชา ปราชญ์ชนเผ่ากระซิบบอกให้ผมฟังเบาๆ
หลังการร่ำลาชาวบ้าน ผมเดินทางออกจากหมู่บ้านปางแดง
ท่ามกลางความสับสนไม่เข้าใจลอยวนไปมา
ในห้วงยามนั้น, เสียงสวดสาปแช่งของโตโบ
ยังดังก้องอยู่ในหัวสมองของผมอยู่อย่างนั้นนานหลายนาน
พร้อมกับภาพของผู้เฒ่าน้ำตารินไหล ชายขาขาดเกาะซี่กรงรถคุมขัง
ภาพหญิงชรา และหญิงท้องแก่ เดินลงจากรถ ผุดเข้ามาในความทรงจำอีกครั้ง
ในขณะที่คดีทั้งหมดยังอยู่ในชั้นศาลเพื่อรอการตัดสิน...
ทำให้ผมอดนึกถึงพวกเขาไม่ได้
"ปางแดง กับเหตุการณ์เลวร้ายที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง"
* * * * * *
หมายเหตุ : ภาพประกอบโดย "อานุภาพ นุ่นสง"