Skip to main content

เอดส์ : เรื่องใกล้ตัว

คอลัมน์/ชุมชน


แม้จะมีการค้นพบโรคเอดส์มานานหลายทศวรรษแล้ว แต่ทั่วโลกก็ยังมีผู้ป่วยโรคเอดส์เพิ่มมากขึ้นตลอดเวลาอย่างน่าตกใจ โรคเอดส์ในปัจจุบันจึงเป็นปัญหาสำคัญระดับโลกที่ประเทศต่าง ๆ มีร่วมกัน มนุษย์โลกต้องร่วมทนทุกข์ทรมานด้วยกัน


 


โรคเอดส์ไม่เลือกชนชั้นวรรณะ ไม่ว่าจะเป็นคนชั้นไหนก็ล้วนแล้วแต่มีโอกาสติดเชื้อไวรัสเอดส์ได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นคนชั้นสูงหรือคนสลัมก็มีสิทธิ์ตายด้วยโรคเอดส์ แต่คนรวยอาจโชคดีกว่าคนจนหน่อยที่มีตัวยาหลายขนานในการยืดเวลาของการมีชีวิตอยู่ให้ยาวออกไป


 


เป็นการยากที่จะประเมินได้ว่าแท้จริงแล้วมีผู้ป่วยโรคเอดส์ในเมืองไทยมากน้อยแค่ไหน เพราะเชื่อได้ว่า ด้วยเหตุผลบางประการผู้ติดเชื้อเอดส์จะซุกซ่อนหลบหลีกอยู่ตามชุมชน ตามวัดหรือสถานที่ต่าง ๆ ไม่ยอมเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหรือในคลินิก ในทางตรงข้าม ก็มีผู้ติดเชื้อบางรายเหมือนกันที่ญาติพี่น้องไม่ต้องการให้มานอนป่วยอยู่ในชุมชน ในบ้าน และผลักไสให้ไปอยู่ที่อื่น


 


ความละอายบวกความกลัวที่จะถูกคนอื่นรังเกียจทำให้ผู้ติดเชื้อปกปิดตนเองจากคนอื่น ๆ การเปิดเผยตนเองต่อสาธารณชนนั้นต้องใช้เวลาและความกล้าหาญอย่างสูง เพราะโรคเอดส์นั้นผูกโยงเกี่ยวข้องอย่างสำคัญกับประเด็นปัญหาทางจริยธรรม การได้รับเชื้อเอดส์เข้าสู่ร่างกายอาจมองได้ว่าเป็นเรื่องที่เกิดจากความผิดทางจริยธรรมของปัจเจกบุคคล เป็นต้นว่า การสำส่อนทางเพศ (ทั้งหญิงและชาย) การเบี่ยงเบนทางเพศ ดังนั้น สมควรแล้วที่ปัจเจกบุคคลจะต้องได้รับเคราะห์กรรมซึ่งตนเองเป็นผู้ก่อขึ้น


 


การมองปัญหาโรคเอดส์ และผู้ติดเชื้อเอดส์ทำนองนี้เป็นเหมือนปราการปิดกั้นความเข้าใจต่อเรื่องนี้จากแง่มุมและมิติอื่นๆ มองไม่เห็นว่าแท้จริงแล้วการได้รับเชื้อเอดส์ในหลายกรณีไม่เกี่ยวกับประเด็นทางจริยธรรมแต่ประการใด หรือถึงแม้ว่าจะเกี่ยวกับประเด็นทางจริยธรรม ผู้ติดเชื้อเอดส์ก็ยังสมควรที่จะได้รับการปฏิบัติต่อเช่นเดียวกับที่มนุษย์คนอื่นได้รับ


 


ผู้ติดเชื้อเอดส์หลายคนจึงเลือกทางออกด้วยการเนรเทศตัวเองออกจากสังคม ซ่อนตนเองเสียจากโลกภายนอก เพราะคิดว่าตนเองเป็นบุคคลไร้ประโยชน์ซึ่งสังคมไม่ต้องการแล้ว กระทั่งเป็นภาระให้กับคนอื่น แต่ที่ร้ายกว่านั้นบางคนแก้ปัญหาด้วยการลงโทษทำร้ายตนเอง เพราะไม่อาจแบกรับความทุกข์ทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจไว้ได้อีกต่อไป  บางคนไปไกลถึงขั้นลงมือแก้แค้นสังคมด้วยการจงใจแพร่เชื้อไปให้คนอื่น ๆ


 


ตัวอย่างที่น่าสนใจที่เกิดขึ้นก็คือ เมื่อมีใครในชุมชน ในสังคมเกิดอาการเจ็บไข้ไม่สบายด้วยสาเหตุที่ไม่อาจอธิบายให้คนอื่น ๆ ได้รับรู้อย่างกระจ่าง และบุคคลคนนั้นมีความประพฤติที่ไม่เป็นที่ยอมรับกันมากนัก บุคคลคนนั้นจะถูกตั้งข้อสงสัยจากสังคมในทันทีว่าอาจจะเป็นโรคเอดส์  นี่คือความโหดร้ายรุนแรงประการหนึ่งของสังคมไทยที่ปรารถนาจะเห็นคนอื่นกลายเป็นคนชายขอบ เป็นคนบาป  ดังนั้น สิ่งที่น่ากลัวกว่าโรคเอดส์จึงเป็นทัศนคติและความเข้าใจต่อโรคเอดส์ของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง


 


โรคเอดส์จึงไม่เพียงเป็นปัญหาทางสาธารณสุขซึ่งยังหาตัวยารักษาไม่ได้เท่านั้น หากแต่ยังข้ามพรมแดนไปเป็นปัญหาทางสังคมซึ่งกระแสโลกาภิวัตน์ได้ช่วยโหมกระพือทำให้มันส่งผลกระทบในวงกว้าง และอย่างทั่วถึง และต่อคนในทุกระดับชั้นด้วยกัน ยิ่งไปกว่านั้นยังกลายเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจทั้งของปัจเจกบุคคลและของประเทศอีกด้วย 


 


และในระยะยาวก็มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นปัญหาทางการเมืองที่สำคัญยิ่งปัญหาหนึ่ง (ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรวมทั้งพรรคการเมืองทั้งทางเลือกและทางหลัก ควรพิจารณานำเสนอนโยบายเกี่ยวกับการป้องกันรักษาโรคเอดส์สำหรับการเลือกตั้งที่จะมาถึงซึ่งจะช่วยให้ได้คะแนนเสียง และคะแนนนิยมทั้งจากผู้ติดเชื้อและจากสังคมไม่น้อย)


 


ในที่นี้อยากจะเสนอว่า ไม่ควรเรียกผู้ติดเชื้อเอดส์ว่า "ผู้ป่วย" เพราะเป็นการผลักผู้ติดเชื้อไปสู่ภาวะที่ไม่ปกตินั่นคือภาวะของการเป็น "ผู้ป่วย" ซึ่งต้องถูกดูแลรักษาและถูกจัดการโดยเทคนิควิทยาทางการแพทย์แบบหนึ่ง อีกทั้งเมื่อผู้ติดเชื้อเอดส์ถูกปักป้ายติดตราว่าเป็น "ผู้ป่วย" แล้วสังคมก็จะมองและปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อเอดส์อีกแบบหนึ่งซึ่งย่อมแตกต่างจากการปฏิบัติต่อคนปกติ และนั่นก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงความโชคร้ายของการเป็นผู้ติดเชื้อเอดส์


 


ในความเป็นจริง ผู้ติดเชื้อเอดส์หลายคนได้แสดงให้เห็นจนเป็นที่ประจักษ์กันแล้วว่าพวกเขา/เธอเป็นคนปกติธรรมดาที่สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมในสังคมและดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ได้เหมือนคนอื่น ๆ มีความสามารถและศักยภาพที่จะทำงานได้ไม่น้อยไปกว่าคนอื่น ๆ


 


สำหรับการรักษาพยาบาลในปัจจุบันแม้ว่าจะมีการค้นพบตัวยาหลายขนาน และมีวิธีการต่าง ๆ ที่จะช่วยยืดอายุของผู้ติดเชื้อเอดส์ให้ยาวออกไปมากขึ้น แต่ถึงที่สุดแล้วก็ยังไม่น่าพอใจมากนัก เพราะยังไม่มียาใดรักษาโรคเอดส์ให้หายขาดได้อยู่ดี และถ้าว่าไปแล้วการที่จะยืดอายุของผู้ติดเชื้อเอดส์ให้ยาวออกไปนั้นยังต้องเสียค่าใช้จ่ายในอัตราที่แพง ซึ่งแน่นอนว่าคนจนๆ ย่อมไม่มีโอกาสมากนักที่จะเข้าถึงตัวยาและวิธีการเหล่านั้น


 


เมื่อแก้ไขรักษาไม่ได้ หนทางที่ดีที่สุดก็คือการป้องกัน  แต่หลาย ๆ กรณีที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นว่าถึงแม้ปัจเจกบุคคลจะมีการป้องกันที่ดี แต่บางครั้งปัจจัยบางประการที่ไม่อาจควบคุมป้องกันได้ก็สามารถทำให้ติดเชื้อเอดส์ได้โดยไม่คาดฝัน ดังนั้น การจะติดหรือไม่ติดเชื้อเอดส์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกระทำและความประพฤติของปัจเจกบุคคลอย่างเดียวเท่านั้น นี่ยังไม่นับถึงว่ากลุ่มวัยรุ่นซึ่งยังขาดวุฒิภาวะ ความรอบคอบ และความยับยั้งชั่งใจและทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อมากที่สุด


 


มีตัวอย่างของวัยรุ่นอยู่ไม่น้อยที่ติดเชื้อเอดส์โดยเริ่มมาจากการดื่มของมึนเมาเข้าไป     ประเทศไทยเราแม้ว่าจะมีการรณรงค์กันอย่างแข็งขัน และประชาสัมพันธ์ให้รับรู้ถึงภัยอันตรายของโรคเอดส์  แต่จำนวนผู้ป่วยก็เพิ่มมากขึ้นทุกที ๆ ลำพังการขอร้องให้ใช้และไล่แจกถุงยางอนามัยของกระทรวงสาธารณสุข หรือออกข้อบังคับเชิงศีลธรรมของกระทรวงวัฒนธรรมไม่เพียงพอแน่ ๆ ที่จะป้องกันแก้ไขวิกฤติจากปัญหาโรคเอดส์ได้


 


และปัญหาโรคเอดส์รวมทั้งการแก้ไขป้องกันไม่ควรอย่างยิ่งที่จะผลักไปให้รัฐบาลเป็นผู้กระทำแต่เพียงลำพังเพราะรัฐบาลได้พิสูจน์ให้เห็นมานานแล้วว่ามีศักยภาพไม่เพียงพอต่อปัญหาใหญ่ ๆ และซับซ้อนอย่างนี้ได้ ภาระนี้จึงควรจะตกอยู่ที่สังคมและชุมชน สถาบันทางสังคมอย่างเช่นวัดควรที่จะเข้ามาแบกรับแบ่งเบาภาระนี้ไปจากรัฐ และที่ผ่านมาหลาย ๆ วัดก็ทำหน้าที่ในเรื่องนี้ได้อย่างน่าพอใจและน่าชมเชย


 


ถึงทุกวันนี้โรคเอดส์ไม่ใช่เรื่องไกลตัว เพราะที่ผมเขียนเรื่องนี้ก็เพราะว่ามีคนรู้จักหลายคนที่ตายไปเพราะโรคนี้ ลูกพี่ลูกน้องผมคนหนึ่งอายุ 30 ต้น ๆ ต้องตายไปพร้อมทั้งทิ้งเมียและลูกน้อยไว้ เพื่อนสมัยเรียนปริญญาตรีบอกผมว่าเขาป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ จนกระทั่งเขาตายไปเกือบปี ผมจึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นเอดส์ ฯลฯ


 


ผู้ติดเชื้อเอดส์ไม่ควรถูกมองด้วยสายตาแห่งความแปลกแยกอีกต่อไป เราเคยพูดกันถึงความเอื้ออาทร  วิกฤติปัญหาของโรคเอดส์จะเป็นสิ่งพิสูจน์ประการหนึ่งว่า   แท้จริงแล้วสังคมไทยนั้นมีความเอื้ออาทรมากน้อยเพียงไร