Skip to main content

"เมื่อมนุษย์มีอำนาจ ก็จะกลายเป็นความชั่วร้าย"

คอลัมน์/ชุมชน

 


 




 







"แล้วแล้วมนุษย์ก็มีอำนาจเด็ดขาดเหนือนรกภูมิ,    
มีอำนาจล้นเหลือไปกว่าที่พญามารเคยมีเสียอีก


พวกเขาสถาปนาแบบแผนการปกครองขึ้นมาใหม่,


ยกตำแหน่งสูงสุดให้ปีศาจที่มีหัวเป็นวัว


พวกเขาประจุเชื้อเพลิงเพิ่มเข้าไปในกองไฟ,


ลับภูเขาดาบให้คมแล้วแปรโฉมหน้าของนรกภูมิไปสู่


ความตกต่ำด้วยรูปแบบอันเสื่อมโทรมเน่าเฟะ"


 



 


                         

 


นั่นเป็นบางถ้อยคำ "นรกอันรุ่งเรืองที่สูญสิ้นไปแล้ว" หนังสือชุมนุมร้อยแก้ว "หญ้าป่า" ของ "หลู่ซิ่น" กวี นักคิดนักเขียนแนวสัจจะสังคมของจีน ที่ว่ากันว่า งานของเขานั้นสะท้อนภาพการปลุกจิตสำนึกแห่งการต่อสู้เพื่อสังคมที่ดีงามของประเทศจีนและของสังคมไว้อย่างหมดจด


 


และทำให้ผมอดนึกไปถึงประเทศไทยเราในห้วงขณะนี้ไม่ได้ มันเหมือนมีอะไรบางสิ่งที่ดูอึมครึมหม่นมัวยังไงไม่รู้ เหมือนกับว่าเรากำลังถูกอำนาจลึกลับบางอย่างเข้าคลี่คลุมกดทับให้อึดอัดแน่น หายใจไม่ทั่วท้อง มองฟ้าฟ้าก็หมอง ก้มหน้ามองผืนแผ่นดินก็คล้ายกำลังสั่นสะเทือนไหว


 


"เมื่อมนุษย์มีอำนาจ ก็จะกลายเป็นความชั่วร้าย" ประโยคอมตะของนักคิดคนสำคัญคนหนึ่งของโลกดังก้องเข้ามาในโสตประสาทผมอีกครั้ง


 


และทำให้ผมรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงกับการเคลื่อนไหวชุมนุมกลางเมืองหลวงทันใด


หวั่นเกรงไปต่างๆ นานา ว่าเมืองแห่งเทวาสวรรค์ อาจจะกลายเป็นเมืองแห่งนรกภูมิ ที่มีอำนาจเด็ดขาดเหนือนรกภูมิ เหมือนดัง "หลู่ซิ่น" บันทึกเอาไว้นานนับนานมาแล้ว


 


* * * * *


 


  



 


บ่ายวันนั้น, ขณะที่ผมกับ "แสงดาว ศรัทธามั่น" นั่งรถบัสประจำทางจากเชียงราย เพื่อกลับเข้าสู่เมืองเชียงใหม่


 


อ้ายแสงดาว ในวัยหกสิบเอ็ด ยังคงทะมัดทะแมงด้วยท่วงท่าลีลาที่บ่งบอกถึงวัยหยาบกร้านของชีวิต หลายใครหากมีโอกาสใกล้ชิดชายร่างเล็กผมสีดอกเลาคนนี้แล้ว จะรับรู้ได้เลย แม้ว่าวารวัยจะร่วงโรยไปตามสังขารกาลเวลา ทว่าเมื่อจ้องมองดวงตาคู่นั้น กลับเปล่งแสงแวววาวประดุจดวงดาวยามค่ำคืน


 


จริงสิ, หลายคนอาจมองดูรูปลักษณ์ภายนอก ว่าเขาคือชายขี้เมา ผมเผ้ายาวรุงรัง สกปรก ไร้สาระในชีวิต


แต่หากใครได้สัมผัส และค้นหาตัวตนของเขาอย่างลึกซึ้ง จะรับรู้ทันใดว่า ชายผู้นี้ดูธรรมดาแต่ไม่ธรรมดาเลย


 


ว่ากันว่า เขาเป็นลูกเชื้อเจ้าล้านนา ผู้มีเชื้อสายเจ้าเจ็ดตน แต่เขาไม่ค่อยสนใจในเรื่องลาภยศ สรรเสริญเชื้อชั้นวรรณะพวกนั้นเลย ทว่าเขากลับยอมรับในสมญานาม "ขบถสามัญชน" ที่อยู่เคียงข้างพี่น้องประชาชน


 


"อ้ายจำเป็นต้องไป เพราะรู้สึกว่าบ้านเมืองเริ่มไปไม่ไหว เริ่มผุพังแล้ว" เขาเอ่ยออกมาเงียบๆ ในขณะที่รถบัสประจำทางคันเก่ายังคงขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้าๆ


 


ใช่, เขากำลังย้ำกับผมถึงการตัดสินใจออกเดินทางไปร่วมชุมนุมที่ลานบรมรูปทรงม้า


"ไปทำไม!?..." หลายคนฉงนสงสัย


"อ้ายจะไปอ่านบทกวี ให้พี่น้องประชาชน"


ผมจับมือเขา พร้อมกับนิ่งงัน.


 


"ได้ข่าวว่า การชุมนุมครั้งนี้อาจเกิดความรุนแรงขึ้นก็ได้" ผมทำลายความเงียบ


"ไม่เป็นไร...อ้ายเคยไปร่วมหลายครั้งแล้ว ยังจำเหตุการณ์พฤษภาทมิฬนั้นได้ดี" เขาบอกกับผม


"ฮักษาตัวเน้ออ้าย ตัวก็น้อยกว่าเปิ้น" ผมแซวเขา


"เจื้ออ้ายเต๊อะ...อ้ายจะลากรองเท้าแตะไป มันสะดวกดี" เขาพูดพร้อมเสียงหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดี


 


บางห้วง, สายตาเขากลับจดจ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง


พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงดังฟังกร้าว!!


"มันทำอะไรมากเกินไปแล้ว ประเทศชาติจะย่อยยับเพราะคนนี้จริงๆ" เขาสบถ


ทำให้ผมนิ่งเงียบ. ก่อนนึกไปถึงผู้หญิงคนหนึ่ง เคยพร่ำบ่นถึงเรื่องนี้


"อาจารย์ ส.ศิวรักษ์ เคยบอกว่า ตั้งแต่เป็นประเทศไทยมา นายกรัฐมนตรีคนนี้น่ากลัวมากที่สุด" เธอเอ่ยกับผมในวันนั้น ที่ร้านอาหารในซอยวัดอุโมงค์


 


ทำให้ผมอดครุ่นคิดถึงภาพเก่าวนทับซ้อนภาพใหม่ไปมาอยู่อย่างนั้น...


นึกไปถึงเหตุการณ์ชุมนุมและความรุนแรงที่ผ่านมาและที่กำลังจะเกิดในอนาคต


 


* * * * *


สื่อที่อยู่ข้างประชาชน กระหึ่มเสียง...


 


"เพราะมันเป็นเรื่องของบ้านเมืองของเราทุกคน"


"ประเทศกำลังถูกปล้นถูกทำลายอย่างไม่มีชิ้นดี"


 


"เราคงยอมไม่ได้อีกแล้วแม้แต่วินาทีเดียวที่จะให้ผู้นำคนนี้มีอำนาจ เพราะคนๆนี้ปล้นชาติ ขายแผ่นดินยังน้อยไป ถ้าไม่จัดการออกไปเราจะไม่สามารถแก้ปัญหาคอร์รัปชั่น ปัญหาความยากจนได้เลย" นักวิชาการคนหนึ่งออกมาย้ำ


"ทักษิณออกไปๆ ๆ..."


 


"ชาติหน้าสายๆ ถึงจะลาออก..." เสียงของนายกรัฐมนตรี เอ่ยออกมาพร้อมเสียงหัวเราะ


 


ในขณะที่สื่อที่ซุกอยู่อ้อมปีกอำนาจรัฐ กลับเงียบ!


บ้างถอยฉากหลบอยู่ในซอกหลืบ แล้วแอบแทงข้างหลัง


 


บางกลุ่ม บอกว่า "คืนพระราชอำนาจ"


ในขณะที่นักวิชาการ รวมทั้ง ส.ว.อีกกลุ่มหนึ่ง กลับเรียกร้องให้ต่อสู้ผ่านกระบวนสภา มีการล่ารายชื่อห้าหมื่น ต่อศาลรัฐธรรมนูญผ่านประธานรัฐสภา ให้มีการถอดถอน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี


 


"ผมเห็นด้วยที่ทุกคนออกมาแสดงพลังบริสุทธิ์ แต่ผมไม่เห็นด้วยกับการเรียกร้องให้คืนพระราชอำนาจ" นักวิชาการคนหนึ่งเอ่ยกับผม ก่อนอัดบุหรี่ด้วยสีหน้าเครียดเคร่ง


 


* * * * *


 



 


รถโดยสารยังขับเคลื่อนไปตามทางที่คดเคี้ยวไปตามหุบเขา


แดดบ่ายสาดแสงร้อนกระทบกรอบกระจกหน้าต่าง


ผมทอดถอนใจกับหนทางข้างหน้า...


 


"จริงๆ แล้ว คนเรา ไม่ต้องมีอำนาจ ไม่ต้องร่ำรวยอะไรมากมาย" เขาเหมือนรำพึง


และทำให้ผมนึกบ้านดินที่เขากับมวลมิตรร่วมกันสร้างแล้วเสร็จ อย่างเรียบง่ายกลางทุ่งนา


"สุดท้าย เราต้องคืนสู่ดิน..." เป็น แสงดาว ศรัทธามั่น หันหน้ามาจับมือผมแน่น.