Skip to main content

ปรับ / ปรุง

คอลัมน์/ชุมชน














































































































































 

คนไทยได้ " คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ " อีกครั้งหนึ่งแล้ว …

 

เรียกอย่างหนังสือพิมพ์ว่า " ครม . ทักษิณ ๑๐ " อันหมายถึงคณะรัฐมนตรีชุดที่ ๑๐ ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี พ . ต . ท . ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย

 

ทันทีที่ประกาศรายชื่อออกมา ก็ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์แง่มุมต่าง ๆ กันไป
ตามธรรมดา และเป็นปกติวิสัย ..
ปกติวิสัยของการเมือง อันเป็นเรื่องของอำนาจและผลประโยชน์ ซึ่ง " ความเปลี่ยนแปลง " แต่ละครั้งจะส่งผลกระทบถึงผู้คนจำนวนมาก
และปกติวิสัยของปุถุชน ที่จะมากจะน้อย ก็มักเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับ " โลกธรรม ๘ " คือการ มีลาภ ไม่มีลาภ มียศ ไม่มียศ นินทา สรรเสริญ สุข ทุกข์ ทั้งของตนเองและผู้อื่น

 

เพียงสองสาเหตุข้างต้น ก็นับได้ว่าเป็นที่มาของอาการ " ปากอยู่ไม่สุข " ได้อย่างขนานใหญ่ทีเดียว
เมื่อประกอบเข้ากับอาการ " ขาลง " ของรัฐบาล ที่โจษขานกันมายาวนานและต่อเนื่องด้วยแล้ว ดูราวกับว่า การ " ปรับ ครม ." ครั้งนี้ เพียงแค่จะประคับประคองให้ภาพลักษณ์ " เสมอตัว " ก็ยังยาก
ไม่ต้องกล่าวถึง " กำไร " อันหมายถึง " การแก้ไขปัญหา " หรือ " การเพิ่มประสิทธิภาพทางการบริหาร " ในภาพรวมของรัฐ หรือประเทศชาติ เอาเลยก็ว่าได้

 

ดัง นสพ . ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๔๗ ถึงกับพาดหัวข่าวว่า " ทักษิณ ๑๐ ' จตุรวินาศ ' ' หมอประเวศ ' ชี้คอรัปชั่น , ไฟใต้ , ไข้หวัดนก , เศรษฐกิจ จะล้มรัฐบาล " เลยทีเดียว
ไม่นับพรรคฝ่ายค้าน และพรรคการเมืองใหม่ ที่พากันเหยียดหยันไยไพเอาซึ่ง ๆ หน้า
เรียกว่านอกจากจะ " ไม่ต้อนรับ " แล้วยัง " ขับไส " เสียด้วยซ้ำ !!

 


 

แต่พุทธศาสนาสอนให้มองทุกอย่างด้วยความรอบคอบ - รอบด้าน ให้เห็นแจ้งด้วยวิปัสสนาวิธี โดยปัญญาที่ฝึกดีแล้ว อีกทั้งสอนไม่ให้เชื่ออะไรสุ่มสี่สุ่มห้า ด้วยหลัก " กาลามสูตร " ซึ่งเป็นสูตรหนึ่งในคัมภีร์ติกนิบาต อังคุตตรนิกาย ดังมีใจความโดยสรุป ว่า ..

 

" พระพุทธเจ้าตรัสสอนชนชาวกาลามะแห่งเกสปุตตนิคมใน แคว้นโกศล ไม่ให้เชื่อถืองมงายไร้เหตุผล ตามหลัก ๑๐ ข้อ คือ อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา , ด้วยการถือสืบๆ กันมา , ด้วยการเล่าลือ , ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์ , ด้วยตรรกะ , ด้วยการอนุมาน , ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล , เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีของตน , เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าเชื่อ , เพราะนับถือว่าท่านสมณะนี้ เป็นครูของเรา ; ต่อเมื่อใด พิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่า ธรรมเหล่านั้นเป็นอกุศล เป็นกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ เป็นต้นแล้ว จึงควรละหรือถือปฏิบัติตามนั้น เรียกอีกอย่างว่าเกสปุตติยสูตร หรือเกสปุตตสูตร ."

 

ไม่นับรวมถึงการวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่าง เหตุ - ปัจจัย ด้วยกฎอิทัปปัจจยตา และการพิจารณาด้วยโยนิโสมนสิการ เพื่อความแยบคายและลึกซึ้งต่อเรื่องที่จะศึกษา หรือพยายามทำความเข้าใจ

 

ตลอดจนการสืบค้นระหว่าง เหตุ – ผล และ วิธีการ – ทางออก ตามหลักอริยสัจจ์ ๔ ประการ เพื่อการค้นพบ " ความจริงแท้ " และ เป็น " อิสระ " จาก " พันธะ " แห่งการ " ดับทุกข์ " ทั้งปวง

 


 

มีผู้รู้คำนวณไว้ในบางสื่อ ทำนองว่า พ . ต . ท . ทักษิณ ชินวัตร และทีมงานการเมือง " ปรับ ครม ." เฉลี่ย ๔ . ๘ เดือน / คณะ / ครั้ง

 

โดยหมายเหตุไว้ว่า " หากรัฐบาลที่พรรคไทยรักไทยเป็นแกนนำอยู่ครบเทอม ๔ ปี "

 

ซึ่งเข้าใจ ว่าเป็น " ค่าและวิธีการทางคณิตศาสตร์ " ซึ่งเฉลี่ยและคำนวณนับเพื่อให้เห็นกันชัด ๆ ว่า " เปลี่ยนบ่อย " มากกว่าที่จะให้นำมา " เชื่อถือ " แบบสำเร็จรูป และตีความกันทื่อ ๆ ง่าย ๆ ดังที่บางหน่วยงานในบ้านเรามักกระทำกับผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาติ หรือรายได้ประชาชาติ ซึ่งเท่าที่รู้ คำนวณโดยนำผลผลิต หรือรายได้ของทุกคนในประเทศมารวมกัน แล้วหารด้วยจำนวนประชากร หรือเทียบเคียงกับจำนวนประชากร

 

โดยมิได้คำนึงถึง " คุณค่า " หรือ " มูลค่า " อื่น ๆ ที่มีความสำคัญร่วมด้วย

 

กระทั่งเรามีแบบจำลองทางเศรษฐกิจอัน ผิดเพี้ยนและบิดเบี้ยว ส่งผลให้คนส่วนใหญ่ตกเป็นเหยื่อคนจำนวนน้อย ทั้งระดับชาติและนานาชาติ มาจนเกือบกึ่งศตวรรษเข้านี่แล้ว

 

กล่าวคือ ในบางช่วง บางระยะ " ครม . ทักษิณ " อาจจะมีระยะเวลาเกิน " ค่าเฉลี่ย " หรือ เอาเข้าจริงอาจค่าเฉลี่ยอาจจะสั้น หรือน้อยกว่านี้ก็เป็นได้ หากมีการยุบสภาฯ ในไม่ช้าไม่นานนี้

 

และโดยที่ความ " ยาว - สั้น " ข้างต้น เป็นเพียง " ค่าทางคณิตศาสตร์ " ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
ยังมิได้ลึกซึ้งลงไปถึงระดับ " หัวใจ " หรือ " ความรู้สึก " แต่อย่างใด
ซึ่งหากจะวัดด้วย " ใจ "…

 

ใครจะยืนยันได้ ว่า … ครม . ทั้งหลายประดามี จะไม่ " อยู่นานเกินควร " ตั้งกะปีมะโว้มาแล้ว

 


 

การปรับ ครม . ครั้งนี้ มีสิ่งที่ควรพิจารณาประกอบการ " ตัดสินคุณค่า " หรือประกอบการ " วิพากษ์วิจารณ์ " อยู่ไม่น้อย โดยที่บางเรื่องก็ดูจะเป็นตลกร้ายจน " ขำไม่ออก " ไปเลยก็มี อาทิ รัฐมนตรีบางท่านถึงกับหลั่งน้ำตาต่อหน้าธารกำนัล นัยว่าเสียอกเสียใจ ที่ต้องไปรับตำแหน่งสูงขึ้น แต่มีอำนาจน้อยลง กระทั่งอาจไม่สามารถแก้ปัญหาให้กับเกษตรกรที่ตนรักและห่วงใยได้อย่างเต็มที่ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ในคราวที่เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ ตลอดจนผู้เลี้ยงสัตว์ปีกเชิงเศรษฐกิจทั้งหลาย ตกอยู่ในวิกฤติ " หวัดนก " จนแทบสิ้นเนื้อประดาตัวมาแล้วถึงสองครั้งสองคราว ก็แทบจะไม่ปรากฏความกระตือรือร้นใด ๆ จากท่านผู้นี้ ที่จะแก้ปัญหาให้ลุล่วง

 

เห็นภาพเช็ดน้ำตาป้อย ๆ จึงอดนึกถึงเด็กที่ถูกผู้ใหญ่แย่งขนม ( ที่กำลังจะเข้าปากเคี้ยว ) ไม่ได้สักที … หรือมีรัฐมนตรีใหม่บางท่าน ที่ข่าวซุบซิบการเมืองกล่าวว่าเป็นหรือเคยเป็นแพทย์ประจำตัวของมารดาของภรรยาท่านผู้มีอำนาจหรือบางท่านที่ก้าวหน้า มีตำแหน่งสูงขึ้น ได้ครองกระทรวงใหญ่ขึ้น เพราะเคยเดินทางไปเจรจาซื้อหุ้นสโมสรฟุตบอลต่างประเทศ ในนามของรัฐหรือของใครก็ไม่แจ้ง

 

ตลอดจนข่าวที่ว่า " มุ้ง " ต่าง ๆ ในรัฐบาล หรือในพรรคไทยรักไทย เริ่มแสดงอาการไม่พอใจต่อการ " ปรับ ครม . ฝีมือท่านนายกฯ " อย่างไม่ค่อย " เก็บอาการ " กันหลายหมู่หลายคน เป็นครั้งแรก ชนิดไม่เคยมีมาก่อน ฯลฯ และ ฯลฯ อย่างนี้เป็นต้น

 

น่าเสียดายก็ที่ว่า รัฐมนตรี " บางคน " ซึ่งถูกกล่าวถึงก่อนหน้านี้ ว่าแอบอ้างชื่อญาตินายกฯ ภรรยานายกฯ ไป " หาเงินเข้าพรรค " กลับไม่มีการ " ปลด " หรือ " เปลี่ยน " ให้เป็นข่าว ทั้งที่อยู่ระหว่าง " สงครามต่อต้านการคอร์รัปชั่น " ของรัฐบาล ซึ่งประกาศมาตั้งแต่ ๓๐ กันยายน ที่ผ่านมา อันนับว่าทีมงานสร้างภาพพลาดโอกาสโชว์ความเด็ดขาดของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ไปอย่างน่าเสียดาย

 

ทั้งหลายทั้งปวงที่ว่ามานี้ล้วนเป็นเรื่อง " หน้าฉาก " โดยที่ " คนนอก " หรือ " คนดู " ทั้งปวง ยากที่จะมีโอกาสได้เห็น " หลังโรง " ว่ามีความเคลื่อนไหวอย่างไร จากความคิด หรือจากเหตุปัจจัยใด

 

บ่อยครั้งเราทั้งหลายจึงได้ยินคำเตือน หรือคำบ่นปนคำปราม จากปากของ " ท่านผู้นำ - ผู้มีอำนาจ " ว่า " รู้ไม่จริง " บ้าง " ไม่มีข้อมูล " หรือ " ไม่มีความรู้มากพอ " บ้าง

 

จึงไม่ควรมาทักถาม หรือโต้แย้งแข่งวาทะ กับท่านผู้นำ และคณะ

 

คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ …
ก็แล้วอะไรเล่าที่สำคัญมาก ถึงขนาดเจ้าของอำนาจอธิปไตยตัวจริงไม่มีสิทธิรับรู้
ก็แล้วอะไรเล่า ที่นักการเมือง นักเลือกตั้ง หรือนักบริหารจัดการ ในสภาต่าง ๆ หรือในทำเนียบต่าง ๆ " นั่งทับไว้ " จนประชาชนทั่วไป หรือกระทั่งนักวิชาการ ตลอดจนนักปราชญ์ราชบัณฑิตเข้าถึง " ข้อมูล " เหล่านั้นไม่ได้

 


 

หลังการล่มสลายของคอมมิวนิสต์และสังคมนิยมหลากรูปแบบ ระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน ที่โน้มเอียงไปทางการค้าเสรีและบริโภคนิยม ดูจะถูกยืนยันอีกครั้ง และอีกครั้ง ว่า .. เลวร้ายน้อยที่สุด เช่นเดียวกับประเทศไทยหลังวิกฤติเศรษฐกิจ และหลังวิกฤติศรัทธาต่อระบอบขุนนางประชาธิปไตย อันอิงอาศัยข้าราชการและระบบราชการเป็นแขนขา - มือเท้า

 

ที่หลงใหลได้ปลื้มกับ " นักบริหาร - จัดการ " จนหลงลืม " ข้อดี - ข้อด้อย " อันพึงพิจารณาไปเสียง่ายๆ กระทั่งในที่สุดก็พบว่ามีอะไร " ทะแม่งๆ " ปนเปื้อนอยู่ในอาหารราคาแพงตรงหน้า หลังจากลิ้มรสไปแล้วเกือบหมดจาน

 

อาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก และพะอืดพะอมจึงเกิดขึ้นโดยทั่วหน้า
รออยู่ว่าใครจะอาเจียนก่อนกันเท่านั้น …

 

ที่น่าประหลาดใจก็คือ แทนที่จะชวนกันตั้งคำถาม ต่อว่า หรือเปลี่ยนร้าน ก็กลับทนรอให้ " เถ้าแก่ " คนเดิมขอแสดงฝีมือ ปรับและปรุง " อาหารจานเก่า " อยู่นั่นเอง

 

จะรอให้แอลกอฮอล์ลวกหน้ากันเสียก่อน อย่าง ส . . ท่านหนึ่งที่เป็นข่าวเร็ว ๆ นี้ หรืออย่างไรก็ไม่รู้ !??!