โชคชะตา
คอลัมน์/ชุมชน
-1-
หนูน้อยลอยคอกลางทะเลเป็นวันที่ 2 แล้ว รู้สึกอ่อนเพลียและหิวน้ำเหลือกำลัง เมื่อคืนเจ้าหนูหนาวสั่น แต่วันนี้อากาศร้อนเหลือประมาณ
เจ้าหนูเมาคลื่นจนหายเมา อาเจียนออกมาจนหมดไส้หมดพุง แทบจะทรมานตายจากการอาเจียน อ่อนระโหยโรยแรง ทั้งหิวน้ำ หิวข้าว และอยากพักผ่อนนอนหลับสักหลายชั่วโมง เจ้าหนูเก็บแผ่นไม้ได้แผ่นหนึ่ง เสื้อชูชีพกับแผ่นไม้ช่วยให้เขาลอยคอและนอนหลับได้ในท้องทะเล
แม้จะหมดแรง แต่กำลังใจของเจ้าหนูยังดีอยู่มาก เขาไม่เคยคิดถึงความตายของตนเองเลย มันเป็นสิ่งที่ดูห่างไกลและเป็นไปไม่ได้ มันจะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อเขารักชีวิตและต่อสู้เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่อย่างไม่ย่อท้อ
แต่พ่อแม่และน้องชายล่ะ เจ้าหนูไม่แน่ใจว่าพ่อแม่และน้องชายยังอยู่หรือเปล่า เมื่อคืนตอนที่เขาผล็อยหลับไปเพราะความเหนื่อยอ่อนนั้น เขาฝันเห็นพ่อแม่และน้องชาย ทั้ง 3 คน อยู่ที่สนามหญ้าหน้าบ้าน น้องชายกำลังเล่นฟุตบอลอยู่กับเจ้าพลูโต-สุนัขที่เลี้ยงไว้ ส่วนพ่อกำลังรดน้ำต้นไม้และแม่ก็นั่งอ่านหนังสือ ทั้ง 3 คนดูมีความสุขดี
ถัดจากนั้น ภาพในฝันก็กลายมาเป็นที่ท่าเรือข้ามฟากแห่งหนึ่ง เขากำลังจะลงเรือข้ามฟากในขณะที่พ่อแม่และน้องชายยืนโบกมือ ทุกคนยิ้มให้เขา น้องชายทำท่าล้อเลียนแลบลิ้นปลิ้นตาอย่างที่ชอบทำอยู่เสมอ เขาได้ยินพ่อพูดว่า
"ไม่ต้องกลัวหรอก แล้วเราจะได้พบกันอีก ดูแลตัวเองดี ๆ ล่ะ รู้มั้ยว่าพ่อรักเจ้าเหนือใคร ๆ" แล้วเรือข้ามฟากก็พาเขาหายลับไป
แสงอาทิตย์ที่ทอประกายอยู่เหนือเกลียวคลื่นมองไปแล้วทำให้แสบตา ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็เห็นแต่ยอดคลื่น กับท้องฟ้าที่เวิ้งว้าง ดูเหมือนเจ้าหนูจะลอยล่องอยู่ในวงล้อมของท้องฟ้าและท้องทะเล
เสื้อชูชีพช่วยให้หนูน้อยลอยอยู่อย่างนั้น ถ้าไม่มีเสื้อชูชีพ เจ้าหนูก็คงจะจมหายไปแล้วก็ได้ เขาคิดว่าพ่อแม่และน้องชายก็สวมเสื้อชูชีพเหมือนกัน คนทั้งหมดอาจกำลังลอยคอรอคอยความช่วยเหลือเหมือนกับเขา หรือบางทีอาจโชคดีได้รับการช่วยเหลือแล้วก็ได้ เจ้าน้องชายจอมวายร้ายคงจะคิดถึงเขา แน่ละ ถ้าไม่มีเขา น้องชายจะเล่นฟุตบอลกับใคร กับเจ้าพลูโตงั้นเหรอ เจ้าพลูโตมันเป็นแค่สุนัข ถึงมันจะชอบเล่นฟุตบอล มันก็เล่นไม่ได้เหมือนคนอยู่ดี
แต่เขาหิวเหลือเกินแล้ว เขาผ่าน 1 คืนกับ 1 วัน อันสาหัสมาได้ แต่เวลาต่อจากนี้ล่ะ เรี่ยวแรงเขาน้อยลงทุกที ริมฝีปากของเขาเริ่มเป็นแผล และแสบ พอเขาแลบลิ้นเลียริมฝีปาก ก็ยิ่งรู้สึกแสบ ความหิวน้ำก็แสนทรมาน อยากจะดื่มน้ำทะเลเข้าไปให้เต็มกระเพาะเสียเลยให้มันรู้แล้วรู้รอดไป
เจ้าหนูเผลอตัวแลบลิ้นเลียริมฝีปากอีกครั้ง "โอ๊ย แสบ" เขาอุทาน "ถ้าขึ้นบกเมื่อไหร่" เขาคิด "ฉันจะกินน้ำให้หมดถังใหญ่ ๆ เลย"
เจ้าหนูมองเห็นเกาะทางทิศตะวันออกอยู่เลือนราง ถ้าเขามีกำลังวังชามากกว่านี้สักหน่อยเขาก็จะว่ายน้ำไปที่เกาะแห่งนั้น ว่ายน้ำไปซัก 2 วันก็อาจจะถึง คงจะดีกว่ารอคอยความช่วยเหลือไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีอะไรทำ
ตอนนี้แข้งขาของเจ้าหนูขยับไม่ได้แล้ว แกว่งเท้าตีน้ำ บังคับทิศทางไปไหนไม่ได้ แล้วแต่คลื่นจะพาไป ปล่อยตัวไปตามคลื่นจะได้ไม่เหนื่อย คลื่นโยนไปทางไหน เขาก็ไปทางนั้น
เจ้าหนูผล็อยหลับไปอีกครั้ง แขนสองข้างกอดแผ่นไม้ไว้และซบหน้าลง บางทีคลื่นกระเด็นเข้าหน้าจนเขาสำลัก แต่ก็ยังคงหลับต่อไป ไม่มีอะไรดีไปกว่าการนอนหลับ ไม่ว่าจะเหน็ดเหนื่อยอย่างไรหากได้นอนหลับพักผ่อนแล้วมันก็คงจะดีขึ้น
-2-
2 วันแล้วที่ผู้เฒ่าไม่ได้ออกทะเล เรือของแกที่จอดไว้ริมทะเลเสียหายเพราะแรงกระแทกจากคลื่นใหญ่และแรงกระแทกกันเองของเรือหางยาวที่ผูกไว้ใกล้กัน โชคดีที่ป่าชายเลนซึ่งอยู่รอบ ๆ ช่วยกันและกั้นคลื่นไว้ได้มาก ไม่งั้นเรือหางยาวของแกคงกลายเป็นเพียงเศษไม้ เหมือนเรือหางยาวของหลานที่ไปจอดรอรับนักท่องเที่ยวบนเกาะแห่งหนึ่งแน่ ๆ
นอกจากเรือหางยาวของหลานจะพังไม่มีชิ้นดีแล้ว หลานของแกก็หายไปด้วย ไม่มีใครรู้เลยว่าหลานของแกหายไปไหน อย่างน้อยขอให้พบศพของหลานก็ยังดี แต่นี่เหตุการณ์ร้ายผ่านไป 2 วันแล้วยังไม่มีวี่แววอะไรเลย
พอนึกถึงหลานผู้เฒ่าก็พาลน้ำตาเอ่อ หลานของแกอาภัพนัก พ่อกับแม่ของมันตายตั้งแต่มันยังเล็กเพราะเรือจม คนขับเรือไม่ชำนาญ พอเจอคลื่นมรสุมก็บังคับเรือที่บรรทุกคนและของจนเพียบไม่ได้ เรือชนเข้าหินโสโครกและแตกเป็นเสี่ยง ไม่มีใครรอด
หลังจากนั้น หลานของแกก็กลายเป็นเด็กกำพร้า แกเลี้ยงดูหลานเรื่อยมาจนมันเติบใหญ่ แกคิดว่าถ้าไม่เพราะเป็นห่วงหลาน แกคงจะตามเมียรักของแกไปสู่อีกภพหนึ่งแล้วก็ได้ แต่นี่แกทั้งห่วงทั้งรักมัน หน้าตาของมันเหมือนลูกชายคนโตของแกไม่มีผิด
แต่ตอนนี้หลานของแกไม่อยู่แล้ว มันหายไปในท้องทะเลเช่นเดียวกับพ่อและแม่ของมัน แม้ว่าทะเลจะให้ชีวิต แต่ทะเลก็กลืนกินเอาชีวิตของคนที่แกรักจากไปเหมือนกัน
"อายุมันแค่ 17 ปีเอง กำลังหนุ่มแน่น มันจะได้ท่องท้องทะเลอีกมาก" ผู้เฒ่ารำพึง
แกได้แต่ติดตามข่าวคราวจากสื่อต่าง ๆ ว่า มีการพบเจอคนที่รอดชีวิตบ้างหรือไม่ บางคนติดอยู่ใต้ซากเรือ ซากตึก แต่ก็มีการค้นพบและได้รับการช่วยเหลือจนรอดปลอดภัย หลานของแกอาจยังไม่ตายก็ได้
แต่ความคิดหวังนี้ริบหรี่เต็มทน การรอดจากความกราดเกรี้ยวของคลื่นร้ายนั้นเป็นเรื่องของปาฏิหาริย์เท่านั้น
ผู้เฒ่าขอยืมเรือหางยาวของเพื่อนบ้านซึ่งไม่ได้รับความเสียหายเพราะตอนที่เกิดคลื่นใหญ่นั้น เรือของเพื่อนบ้านอยู่กลางท้องทะเลลึก ไม่เป็นอะไรเลย
ผู้เฒ่าล่องเรือไปเรื่อย ๆ แกไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกอยากออกทะเล หรือว่าแกหวังว่าอาจได้พบหลานของแกติดค้างอยู่ตามเกาะแก่งที่รกร้างที่ไหนสักแห่ง หรือถ้ามันจะเลวร้ายจริง ๆ ขอให้ได้พบศพหลานก็ยังดี
บรรยากาศแห่งท้องทะเลยามเช้าช่างสดชื่น คลื่นสงบราบเรียบ มีลมอ่อน ๆ โชยมาจากทิศเหนือ ไม่น่าเชื่อว่าท้องทะเลที่ดูน่าวางใจ และที่แกคุ้นเคยนี้จะเกรี้ยวกราดอาฆาตร้าย กลืนเอาคนไปจำนวนนับไม่ถ้วน
แกล่องเรือไปไกลกว่าเคย ทะเลกลับคืนสู่สภาพปกติแล้ว แต่ก็เหลือให้เห็นถึงร่องรอยของภัยพิบัติ มีเศษซากสิ่งของต่าง ๆ ลอยอยู่ ไกลออกไปประมาณร้อยกว่าเมตร ผู้เฒ่าเห็นบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ มันอาจจะเป็นเศษไม้หรือข้าวของเครื่องใช้ที่ถูกคลื่นพัดพามาก็ได้ แกแล่นเรือเข้าไปดู
สิ่งที่แกพบคือศพของฝรั่งคนหนึ่ง ขึ้นอืดและส่งกลิ่นเหม็นจนทนไม่ได้ แกอยากจะช่วย แต่แกไม่รู้จะช่วยยังไง แกไม่ใช่คนเก็บศพ เจ้าหน้าที่เขาคงจะตามมาเก็บไปเองหรือถ้าโชคไม่ดี ศพก็จะกลายเป็นอาหารของสัตว์ในทะเล ไม่ไกลจากศพฝรั่งมากนัก แกก็ได้เห็นอีกศพหนึ่ง เป็นศพของหญิงคนไทย
ผู้เฒ่ารู้สึกสังเวชใจต่อสิ่งที่ได้เห็น เศร้าใจที่ได้มาเป็นประจักษ์พยานแห่งนาฎกรรมของความกระจ้อยร่อยของมวลมนุษย์ อายุปูนนี้แล้ว พบเจออะไรมาไม่น้อย แต่สิ่งที่ได้พบในบั้นปลายชีวิตเป็นเรื่องที่ไม่คาดฝันจริง ๆ ถัดจาก 2 ศพนั้นแล้วก็ยังได้พบอีกหลายศพ ลอยเกลื่อนกลาดอยู่ใกล้ ๆ กับเกาะร้างแห่งหนึ่ง
"โอ้ ! พระผู้เป็นเจ้า" ผู้เฒ่าร้อง "ทะเลได้กลายเป็นสุสานไปเสียแล้ว"
-3-
ตอนที่ผู้เฒ่าพบหนูน้อยลอยคอกลางทะเลนั้น ผู้เฒ่าคิดว่าหนูน้อยเสียชีวิตแล้วเหมือนกับศพอื่น ๆ ที่แกผ่านพบมา
"ยังเล็กอยู่เลย" แกคิด "ไม่น่าเลย ไอ้หนูเอ๊ย"
แต่พอเข้าไปไกล้ แกจึงได้รู้ว่าเจ้าหนูยังไม่ตาย เจ้าหนูไม่ได้พองขึ้นอืดและซีดขาวเหมือนคนที่ตายแล้ว
"ไอ้หนู" ผู้เฒ่าเรียก
เจ้าหนูหลับลึกและไม่ได้ยินเสียงเรียก ผู้เฒ่าบังคับเรือเข้าไปใกล้ เอื้อมมือไปเขย่าตัวหนูน้อย
เจ้าหนูลืมตาขึ้นช้า ๆ แล้วพูดว่า "ผมกำลังฝันว่ามีคนมาช่วย" เขาไม่ได้ส่งเสียงพูดมานานแล้ว และลำคอเขาก็แห้งผาก ผู้เฒ่าจึงไม่ได้ยินที่เขาพูด
"มาเถอะ" ผู้เฒ่าบอก "เอ็งไม่เป็นไรนะ" ผู้เฒ่าอุ้มหนูน้อยขึ้นเรือหางยาว เรือตะแคง ผู้เฒ่าเกือบเสียหลัก
แกถอดเสื้อที่ใส่มาห่มให้หนูน้อย เจ้าหนูนอนนิ่ง ปากซีดเซียว ตาลอย "ลอยคอมากี่วันแล้วล่ะ ทรหดจริง ๆ ช่างเถอะ เดี๋ยวค่อยเล่าก็ได้"
กลับถึงฝั่ง ผู้เฒ่าเช็ดตัวให้หนูน้อย เอาข้าวปลาอาหารมาให้กิน เพื่อนบ้านที่รู้ข่าวพากันมาดูเจ้าหนู บางคนเอาเสื้อผ้าชุดใหม่มาใส่ให้ บางคนถึงกับน้ำตาคลอ คนที่มีญาติได้รับภัยพิบัติในครั้งนี้ด้วยพลอยร้องไห้กระจองอแง
เด็กกินข้าวและน้ำได้เพียงเล็กน้อย แต่อาการดีขึ้นมาก สติสัมปชัญญะกลับคืนมาครบถ้วน เจ้าหนูวาดภาพในใจและทำความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
"ผมมาเที่ยวกับครอบครัว" เจ้าหนูเล่า "เราอยู่กันบนเรือแถวชายฝั่ง จากนั้นคลื่นใหญ่ยักษ์ไม่รู้มาจากไหน ซัดเข้ามาจนเรือคว่ำ"
แล้วเจ้าหนูก็เริ่มร้องไห้ สิ่งที่เขาได้ประสบมันมากเกินไป เขาอายุเพียง 11 ขวบ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันเหลือกำลังที่เด็กตัวเท่านี้จะรับมือไหวจริง ๆ ความเหนื่อยยากต่าง ๆ นานา ความเจ็บปวดที่ได้รับไหลหลั่งออกมาน้ำตา
"ร้องไห้เถอะไอ้หนูเอ๋ย" ผู้เฒ่าบอก
"ผมไม่รู้ว่าครอบครัวเป็นยังไงบ้าง" หนูน้อยสะอื้น ทำให้คนอื่นสะอื้นไห้ไปด้วย ผู้เฒ่าเอามือปาดน้ำตาที่เอ่อไหลลงมาตามร่องแก้มเหี่ยว
-4-
นั่นเป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมา 1 ปีเต็ม ๆ แต่เจ้าหนูยังจดจำได้แม่น พ่อแม่และน้องชายของเขาเสียชีวิตจากคลื่นยักษ์ถล่ม เขากลายเป็นเด็กกำพร้าคนหนึ่งท่ามกลางเด็กกำพร้าอีกมากมาย เขาเสียใจมากที่ครอบครัวจากเขาไปและปล่อยเขาไว้อย่างโดดเดี่ยว
หนูน้อยได้เข้าร่วมพิธีรำลึกครบรอบ 1 ปี ของเหตุการณ์นี้ บรรยากาศแสนจะเศร้าสลด เสียงร่ำไห้ระงม ความโศกเศร้าสูญเสียท่วมท้นอยู่ในจิตใจของทุกคน และเขาก็ไม่วายที่จะหลั่งน้ำตาให้กับความอาลัยไห้หวนที่เขาที่มีต่อพ่อแม่และน้องชายของเขา เขารักและคิดถึงคนเหล่านี้มาก
ส่วนผู้เฒ่าได้ติดตามข่าวคราวจนที่สุดก็ได้พบศพหลานของแกแล้ว ได้ประกอบพิธีทางศาสนาให้กับหลานเรียบร้อย
ผู้เฒ่ามีชีวิตอยู่ต่อไป ชีวิตของแกมีความหมายมากกว่าที่แกเคยคิด
แกได้ช่วยเด็กตัวน้อย ๆ ซึ่งยังมีอนาคตยาวไกล นี่เป็นสิ่งที่แกภูมิใจมาก เด็กน้อยคนนั้นอาศัยอยู่กับแกเกือบเดือน กว่าจะติดตามหาญาติพี่น้องได้ แกรักและเอ็นดูมันเหมือนกับเป็นหลานเท้ ๆ ของแกเอง.