Skip to main content

คิกออฟแคมเปญ

คอลัมน์/ชุมชน

























































































































































 

ในที่สุด " มหกรรมหาเสียง " ของพรรคไทยรักไทย พรรคการเมืองใหญ่ -- แกนนำรัฐบาล ก็ปรากฏขึ้น … ในชื่อภาษาต่างด้าว ว่า " คิกออฟแคมเปญ " ซึ่งเชื่อว่าหลายสิบเปอร์เซ็นต์ของประชาชนไทย หรือเกินกว่าครึ่งของประชากรประเทศนี้ แปลเองไม่ออก และไม่สามารถเข้าใจ " ความหมาย " ได้โดยตรง ทันทีที่ได้ยิน หรือได้อ่าน " ภาษาอังกฤษตัวไทย " ของคำฝรั่งสองสามคำนี้

 

ยิ่งถ้าเขียนเป็นภาษาอังกฤษอักษรโรมันตามต้นกำเนิดเดิม ก็เชื่อได้ว่าจำนวนคน " ไม่รู้เรื่อง " ยิ่งจะมีมากกว่าขึ้นไปอีก

 

แต่จะรู้หรือไม่ .. รู้แค่ไหน คงไม่ใช่ปัญหา ด้วยว่า " ความหมาย " ไม่ใช่ " ประเด็นที่มุ่งจะสื่อ " เสมอไป ด้วยกลวิธีทางการโฆษณา รอเวลาผ่านไปสักระยะ คงมีคน " ตีความ " ได้เอง แม้ว่าจะยัง " แปลไม่ออก " อยู่เช่นเดิมก็ตาม

 

ดูแต่คำว่า " โปรโมชั่น " คำว่า " จีเอสเอ็ม " คำว่า " สองวัตต์ " คำว่า " โมบายไลฟ์ " ฯลฯ นั่นปะไร เพียงไม่กี่ปีก็ " เก็ต " และ " ใช้บริการ " กันได้ทั่วหน้า

 

ยิ่งคำพื้นๆ ประเภท " คอรัปชั่น " ด้วยแล้ว เดิมทีฝรั่งจะใช้ในความหมายใดก็ตาม แต่สำหรับคนไทย " คอรัปชั่น " ทั้ง .. โดยตรง โดยอ้อม หรือเชิงนโยบาย เราต่างก็ถ่องแท้และเจนจบ จากระดับชาติไปถึงท้องถิ่น ตั้งแต่สภาใหญ่ไปจนสภาองค์การบริหารส่วนตำบล หรือแม้แต่สภานักเรียน

 

ลูกเด็กเล็กแดงก็ล้วนเข้าอกเข้าใจเป็นอันดี และมีไม่น้อยที่มุ่งหวังอยู่ลึก ๆ ว่าเมื่อไรจะมีโอกาสกับเขาบ้าง ดังผลการวิจัยเมื่อไม่นานมานี้ระบุไว้

 

 

ด้วยการจัดการอย่างเป็นระบบ และกระบวนการทางเทคโนโลยีอันล้ำหน้า " คิกออฟแคมเปญ " เปิดตัวขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในหลายจุดและหลายพื้นที่ของประเทศ ใช้ชื่องานว่า " ๔ ปีซ่อมความหายนะจากวิกฤติ ๔ ปีสร้างชาติให้แข็งแกร่งยั่งยืน " หรือที่ปรากฏบนป้ายคำขวัญอย่างสั้นกระชับ ว่า .. " ๔ ปีซ่อม ๔ ปีสร้าง " อันคมคายและช่วยให้เห็นจริง หรือเห็นดีเห็นงามตามกันไปได้โดยง่าย แต่ละจุดจัดงานก็ได้รับความสนใจทั้งจากสมาชิกพรรคไทยรักไทยและบุคคลทั่วไปอย่างล้นหลาม

 

และแม้จะจัดกระจายกันทั่วประเทศ แต่ การปราศรัยผ่านระบบดาวเทียม ตลอดจน ถ่ายทอดสดผ่านเครือข่ายสถานีโทรทัศน์ช่อง ๙ อ . ส . ม . ท . หรือ " โมเดิร์นไนน์ทีวี " ก็ช่วยให้รับฟัง - รับชม สีหน้าและวาทะของนายกรัฐมนตรีกันได้อย่างทั่วถึง นับว่ายิ่งใหญ่และอลังการอย่างไม่เคยมีพรรคการเมืองใดในประเทศไทยเคยทำ หรือทำได้มาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ " จัด " และ " ทำ " ขึ้นด้วยเครื่องมือและกลไกของรัฐ ภายใต้การอำนวยความสะดวกของเจ้าหน้าที่ของรัฐหลากหลายระดับ

 

เพราะอย่าว่าแต่จะ " คิกออฟ " ให้ใกล้เคียงกับ " มหกรรม " เมื่อเย็นวันที่ ๑๗ ตุลาคม นี้เลย เพียงแค่ " พรรคมหาชน " ซื้อเวลาออกอากาศของสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง ๕ มาประชาสัมพันธ์พรรคฯ ช่วงสั้น ๆ ก็ยังถูกถอน " โฆษณา " ( ที่ต้องจ่ายสตางค์ซื้อเวลาเอง ) ด้วยข้อหา " ถี่เกินไป " และโฆษณาเพียง " พรรคเดียว " อันอาจไม่เป็นธรรมกับพรรคอื่น ๆ

 

นี่ย่อมพิสูจน์ให้เห็นอยู่กลาย ๆ ว่าในยุค " คิดใหม่ - ทำใหม่ " อะไรก็ย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ ขอเพียงแต่ เลือกให้ชัดว่า " คุณเป็นใคร " และ " อยู่ข้างใคร " ดังเช่นวาทะของพี่ใหญ่อเมริกา " ต้นแบบอำนาจนิยม " ที่ว่าจะ " อยู่ข้างเรา หรือเป็นศัตรูกับเรา " อันเคยลือลั่นมาแล้ว

 

แต่อย่างไรก็ตาม ในยุคนี้ ไม่ว่าจะอยู่ข้างไหน " คุณ " ย่อมได้อานิสงส์ของการ " คิดใหม่ - ทำใหม่ " เสมอหน้ากัน … กล่าวคือ ถ้ายืนอยู่ในฝ่าย " กุมอำนาจ " ก็มีโอกาส " คิดใหม่ - ทำใหม่ " อย่างผู้มีอำนาจ คิดแล้วมีประโยชน์ คิดแล้วทำประโยชน์ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เต็มไม้เต็มมือ

 

แต่ .. หากคุณมายืนอยู่ข้างฝ่าย " ไร้อำนาจ " ก็ธรรมดาอยู่เอง ที่จะถูกบีบบังคับ และคาดคั้นให้ " คิดใหม่ - ทำใหม่ " เยี่ยงผู้แสวงหาทางรอด คือ .. ถ้าไม่คิดให้ออก ก็ต้องทยอยกันแห้งเหี่ยวตายไป ตามวิถี " การแข่งขันทางการค้า - การต่อสู้ในวงการธุรกิจ " ที่นับวันก็ยิ่งจะสวมรอย หรือกลมกลืนเข้ากับ " การเมือง " จนเป็นเนื้อเดียวกันยิ่งขึ้นทุกที

 

 

จะว่าไปแล้ว ปรากฏการณ์ " คิกออฟ " ข้างต้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อันใด เพราะเมื่อบริษัทรถยนต์ต้องการจะเปิดตัวรถรุ่นใหม่สักรุ่น หรือสักคัน บริษัทจะเปิดสาขาใหม่สักแห่ง หรือแม้แต่การเปิด " แคมเปญ " ของโทรศัพท์มือถือสักระบบ สักรูปแบบ จำเป็นอยู่เองที่จะต้องมีการสร้าง " จุดสนใจ " ในหลาย ๆ ระดับ ทั้งต่อ " ลูกค้า ", " ตัวแทนจำหน่าย " และ " สื่อมวลชน " พร้อม ๆ ไปกับการ " ข่มขวัญ " คู่ต่อสู้ หรือคู่แข่งขัน บนเส้นทางแห่งการแสวงหา " กำไรสูงสุด " ซึ่งไม่จำเป็นต้องห่วง " ต้นทุน " ด้วยมีช่องทางที่จะผลักภาระไปให้ผู้บริโภคอยู่แล้ว อย่างยากที่จะจับได้ไล่ทัน

 

รถรุ่นใหม่ โทรศัพท์รุ่นใหม่ หรือระบบเครือข่ายโทรคมนาคมใหม่ ๆ จึง " เปิดตัว " ได้อย่างหรูหราอลังการยิ่ง ทั้งกิน ดื่ม และแจกแถม ให้กับตัวแทนจำหน่าย หรือยี่ปั๊ว - ซาปั๊ว ตลอดจนเหล่า " ผู้อำนวยความสะดวก " ต่าง ๆ อย่างไม่อั้น เพราะ " คิดคำนวณ " ไว้ใน " มูลค่าเพิ่ม - คุณค่าแฝง " ก่อนประกาศ " ราคาขาย " สินค้านั้น ๆ เรียบร้อยแล้ว

 

รถยนต์คันหนึ่ง จึงมี " ราคาบวกมูลค่าเพิ่ม " มากกว่า " คุณค่า " อันพึงมี ในฐานะยานพาหนะ หรือเครื่องมือในการผลิตชิ้นหนึ่ง ๆ เช่นเดียวกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ ที่กลายเป็น " ของเล่น " และ " เครื่องประดับ " มากเสียยิ่งกว่าคุณค่าของความเป็น " เครื่องมือสื่อสาร "

 

หรือการโฆษณาชวนเชื่ออื่น ๆ ที่ปรากฏเคลือบแฝงหรือหุ้มห่ออยู่ใน " สินค้า " ประดามี ซึ่งเป็นที่มาของการ " จ่ายแพง " และ " ไม่ได้ของที่ต้องการจริง ๆ " ในระบบทุนนิยมบริโภค และการค้าเสรี ( ชนิดผูกขาดโดยนายทุนใหญ่ ) ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

 

จึงป่วยการที่จะกล่าวไปถึง " นโยบายทางการเมือง " ว่าทำไมถึงวันนี้จึงกลายเป็น " นิทาน " หรือ " นิยายน้ำเน่า " อันฉูดฉาดหวือหวา น่าตื่นเต้นเคลิ้มหลงไปเสียได้

 

 

พรรคและนักการเมืองฝ่ายตรงกันข้ามกับรัฐบาลพากันวิพากษ์และวิจารณ์ถึง " คิกออฟแคมเปญ " ในหลายแง่มุม บ้างก็ว่าเป็นการตกเขียวทางการเมือง บ้างก็ว่าเป็นการซื้อเสียงล่วงหน้า บ้างก็ว่ายากจะทำได้จริง ทำนองว่าเป็น " สัญญาจะซื้อจะขาย " ที่มีความสุ่มเสี่ยง ด้วยความที่พรรคไทยรักไทยอยู่ในห้วงยามของ " ขาลง " ที่เป็นไปได้ ว่าจะไม่ได้เป็น " เสียงข้างมาก " ในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งหน้า หลังจากการเลือกตั้งในปี ๒๕๔๘ จบสิ้นลง และหากเป็นเช่นนั้นจริง สิ่งที่ประกาศไว้ใน " คิกออฟแคมเปญ " ก็จะ " เป็นหมัน " หรือกระทั่ง " แท้งนอกมดลูก " เมื่อตกอยู่ในภาวะรัฐบาลผสมหลายพรรค ที่การเมืองไม่นิ่ง และนายกรัฐมนตรี หรือพรรคแกนนำปราศจากอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอย่างที่มีอยู่ในรัฐบาลปัจจุบัน

 

ในที่นี้คงไม่ต้องกล่าวซ้ำ ว่าโครงการ " ลด - แลก - แจก - แถม " ที่ปรากฏในคำปราศรัยออกไปทั่วประเทศของ พ . ต . ท . ทักษิณ ชินวัตร เป็นไปได้หรือไม่ หรือน่าเชื่อถือเพียงไร เพราะนับแต่มหกรรม " คิกออฟแคมเปญ " ป่าวประกาศจบสิ้นลง คงมี " ผู้รู้ " จำนวนมาก ที่จะออกมาวิเคราะห์ หรือประกาศผลที่ตนศึกษา ไปจนกว่าจะจบการเลือกตั้ง หรือหลังไปจากนั้น

 

และเชื่อว่า " พรรคไทยรักไทย " ย่อมจะรู้อยู่เองว่า ได้ประกาศสิ่งใดออกไป ในฐานะ " สัญญาประชาคม " อันมีผลที่จะต้องรับผิดชอบในทาง " ศีลธรรม - จริยธรรม " นอกเหนือไปจากความรับผิดชอบต่อพันธสัญญาทางการเมือง ซึ่งมีผลทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งต่ออนาคตทางการเมืองของพรรคไทยรักไทย และอนาคตทางการเมืองของระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทนของประเทศนี้

 

และทั้งนี้ทั้งนั้น ที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมด ก็ยังมิได้อ้างถึงความเสียหายของชาติและผู้คนในชาติ อันจะพึงบังเกิดขึ้น จากความสำเร็จหรือล้มเหลวของสิ่งที่หัวหน้าพรรคไทยรักไทยได้กล่าวไว้ ในวันเริ่มต้น " คิกออฟแคมเปญ " แต่ประการใด

 

เพราะในทางพุทธศาสนา ด้วยวิถีโลกย์ หรือในโลกิยวิสัย ความสำเร็จหรือล้มเหลว อันเนื่องมาจากการกระทำของปุถุชน จะมากจะน้อยย่อมส่งผลกระทบถึงผู้อื่นหรือสิ่งอื่นเสมอ ทั้งทางบวกและทางลบ หรือความสุข - ความทุกข์ ของผู้ที่เกี่ยวข้อง

 

 

ในฐานะ " ชาวพุทธ " หรือในฐานะ " ศาสนิกชน " เมื่อมีปรากฏการณ์ " โฆษณาชวนเชื่อ " เกิดขึ้น ก็จำเป็นอยู่เองที่จะต้องพิจารณาและวิเคราะห์ด้วยความมีสติ สามารถระลึกได้อย่างทันท่วงที ว่านี่ไม่ใช่เรื่อง " ปกติวิสัย " หากเกิดขึ้นด้วยเจตนาและความตั้งใจของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งมีวัตถุประสงค์แน่ชัด

 

จึงควรที่ " ชาวพุทธ " จะใช้ความรู้ตัวทั่วพร้อม ความรู้ตระหนัก ความรู้ชัดเข้าใจชัด หรือสัมปชัญญะ ประกอบกับปัญญาอย่างปราศจากอคติ วิเคราะห์ด้วยจิตอันสงบ ด้วยสัมมาสมาธิ เพื่อมองให้เห็น " ความจริง " อันกว้างขวางและลึกซึ้งไปกว่า " เปลือกนอก " และ " เครื่องปรุงแต่ง " ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อห่อหุ้มเจตนา

 

และนอกเหนือไปจากนั้น ก็ควรที่จะมองให้เห็นความสัมพันธ์โยงใยของเหตุและผล ตลอดจนความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงในทุกระยะ และทุกระดับ เท่าที่จะสามารถทำได้ เพื่อให้เกิด " วิปัสสนาญาณ " หรือความรู้รอบ รู้กว้าง รู้อย่างครอบคลุม อันนำไปสู่ความเข้าใจใน " อริยสัจ " คือ รู้ว่าสิ่งใดเป็นเหตุ สิ่งใดเป็นผล สิ่งใดเป็นเป้าหมาย สิ่งใดเป็นวิธีการ เป็นต้น

 

เสน่ห์และความเย้ายวนของอำนาจและผลประโยชน์ยิ่งมีมากเพียงใด ก็เป็นธรรมดาอยู่เอง ที่จะมีผู้คนจำนวนหนึ่งบากบั่นพยายาม มุ่งและหวัง จะมีให้ได้ จะไปให้ถึง

 

หากเป็นผู้มีธรรมะ และมั่นคงอยู่ในทำนองคลองธรรม ก็ย่อมที่จะสร้างเหตุและปัจจัยไปในทางธรรม แต่โดยนัยตรงกันข้าม หากเป็น " อธรรม " เสียแล้ว วิธีการของเขา ของพวกเขา ก็ย่อมจะเป็น " กลลวง " มากไปกว่า " อุปายโกศล " อันเป็นหนทางหรือวิธีการ " ที่ถูกที่ควร "

 

ในฐานะ " ชาวพุทธ " จึงหาควรไม่ที่จะต้อง " ตื่นเต้น " หรือ " ตื่นข่าว " ไปกับถ้อยคำและการแสดงออกอันตื้นเขินในระดับผิวเปลือก โดยมิได้ใส่ใจในเนื้อแท้ หรือเนื้อหาสาระที่พึงมี

 

บ่อยครั้งที่ความยิ่งใหญ่อลังการก็เป็นแต่เพียง " การแสดง " อันหา " ความจริง " ไม่ได้ ด้วยว่าเกิดขึ้นเพียงเพื่อต้องการสร้างภาพ และเพิ่มมูลค่าจอมปลอมให้แก่สินค้าฟุ่มเฟือยบางประเภทเท่านั้น

 

บ่อยครั้งที่ฉากอันยิ่งใหญ่ตระการตาในภาพยนตร์เป็นเพียงเศษวัสดุ และการฉาบทาอย่างผิวเผิน เพื่อสร้างมายาคติ ที่จะ " ลวงให้หลง " ไปกับเนื้อเรื่องที่ตระเตรียมไว้

 

จะว่าไปแล้ว " การเมือง - การเลือกตั้ง " ก็คล้ายการใช้ " โทรศัพท์เคลื่อนที่ " นั่นเอง …

 

ระหว่างที่ได้ฟังโปรโมชั่น และการโฆษณาสรรพคุณ หรือกระทั่งกำลังใช้โทร .- ใช้ส่งข้อความหากัน ก็สนุกเพลิดเพลิน และไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไรนัก

 

ต่อเมื่อได้รับ " ใบเรียกเก็บค่าบริการ " นั่นล่ะ ที่จะเริ่มสงสัยและตกใจว่า .. " ทะลึ่งใช้เข้าไปได้อย่างไร ?!!?…"