Skip to main content

การตรวจร่างกายประจำปีควรเป็นอย่างไร


 


 


การตรวจร่างกายประจำปีควรมีลักษณะเป็นการตรวจหาความเสี่ยงที่จะเป็นโรคอะไร  ซึ่งสามารถทำได้ด้วยการสัมภาษณ์ประวัติและการตรวจร่างกาย


 


ไม่ใช่การเจาะเลือดหรือเอกซเรย์


 


เมื่อทราบความเสี่ยงแล้วก็ให้กลับบ้านไปหาหนทางป้องกันความเสี่ยงนั้น   อย่าให้ความเสี่ยงนั้นก่อโรค  


 


แนวคิดแบบนี้จะไม่เหมือนแพคเกจการตรวจร่างกายที่ทำๆ กันอยู่    แพคเกจการตรวจร่างกายที่ทำๆ กันอยู่เป็นการ "ควานหา" โรค     หากหาพบก็แปลว่าป่วยเสียแล้ว    เรียกว่าเพียงตรวจพบก็สายไปเสียแล้ว   ป่วยซะแล้ว


 


การตรวจร่างกายประจำปีที่พึงประสงค์คือตรวจพบก่อนที่จะป่วย


 


ยกตัวอย่างการตรวจเลือดหาเบาหวาน    หากไล่เจาะเลือดผู้คนแล้วพบเบาหวานก็แปลว่าเป็นเบาหวานไปเสียแล้ว     ที่ถูกที่ควรคือควรตรวจหาความเสี่ยงที่ใครคนหนึ่งมีแนวโน้มที่จะเป็นเบาหวานแล้วป้องกันไว้ก่อน


 


แน่นอนว่าคนถูกตรวจ (ซึ่งยังมิใช่ผู้ป่วย) ต้องป้องกันตนเอง จะเอาบริโภคนิยมมาจับเช่นทุกเรื่องคือขอยากินป้องกันเบาหวานนั้นทำไม่ได้


 


อีกตัวอย่างหนึ่ง เช่นรู้ว่าตนเองทำงานในโรงงานที่อุดมไปด้วยฝุ่นโลหะและมีเสียงดัง     เช่นนี้เพียงประวัติก็ทำนายได้ว่าจะต้องเป็นโรคปอดหรือหูตึงในเวลาไม่ช้าไม่นาน     เมื่อไปตรวจร่างกายประจำปีก็ไม่ควรไปเพียงเพื่อเจาะเลือดหาว่าทุกอย่างปกติดีแล้วกลับบ้าน     แต่ควรได้รับคำแนะนำว่าจะทำงานอย่างไรในสภาพแวดล้อมเช่นนั้นโดยไม่ล้มป่วย


 


อีกตัวอย่างหนึ่ง เช่นงานยกของหนัก    เรื่องสำคัญของคนยกของหนักคือยังไม่แก่ก็จะมีปัญหาปวดหลัง    เมื่อแก่ตัวขึ้นจะมีปัญหาปวดเข่า   คำถามที่ควรถามคือจะยกของหนักกันอย่างไรไม่ให้ปวดหลังวันนี้และไม่ให้ปวดเข่าวันหน้า


 


หรือว่าไม่ควรป้องกัน    บริษัทยาจะได้ขายยาแก้ปวดหลังวันนี้และขายยาแก้ปวดเข่าในวันหน้า


 


จะเห็นว่าการตรวจร่างกายประจำปีเป็นของมีประโยชน์หากใช้ให้ถูกทาง    หนึ่งปีไปพบแพทย์สักครั้งอาจจะมิใช่เรื่องน่ารังเกียจ    แต่การแพทย์ควรมีระบบรองรับผู้คนที่จะมาหาให้ถูกเรื่องถูกราวและเป็นประโยชน์    


 


มากกว่าทำกำไรจากการเจาะเลือดตรวจเอกซเรย์โดยหาประโยชน์อันใดมิได้


 


พูดถึงการตรวจร่างกายประจำปีแล้วก็ควรพูดเรื่องใบรับรองแพทย์ด้วย เวลาต้องทำใบขับขี่  เรียนต่อ  สมัครสอบบรรจุหรือสมัครงานต้องใช้ใบรับรองแพทย์   ล่าสุดเด็กอายุ 9 ขวบก็ต้องมาขอใบรับรองแพทย์เพื่อจะเข้าโรงเรียน


 


ราคาของใบรับรองแพทย์ปัจจุบันเท่ากับ 20 30 40 หรือ 50 บาทแล้วแต่โรงพยาบาล    ไม่ทราบมีที่แพงกว่านี้อีกหรือเปล่า


 


เชื่อว่าการออกใบรับรองแพทย์ในลักษณะนี้มักไม่ได้ตรวจร่างกายอย่างละเอียดก่อนออกใบรับรอง     จึงมีลักษณะเป็นการสร้างภาระการเงินให้แก่ผู้มาขอใบรับรองแพทย์เปล่าๆ


 


อันที่จริงสังคมน่าจะช่วยกันคิดดูใหม่ว่าการจะขอใบขับขี่หนึ่งใบนั้น    สมควรตรวจโรคอะไร     หรือว่าที่แท้แล้วไม่จำเป็นต้องตรวจ


 


หากจะตรวจจำเป็นต้องให้แพทย์ตรวจหรือเปล่า  หรือเจ้าหน้าที่ที่ไหนก็ตรวจได้  เช่น  ขอแค่แขนขาครบก็พอ   หากต้องการเท่านี้ก็ไม่จำเป็นต้องตรวจ  น่าที่จะให้พนักงานที่ออกใบรับรองแพทย์ช่วยดูแทนก็ได้ว่าแขนขาครบหรือเปล่า


 


หรือต้องการตรวจการได้ยินว่าหูตึง   หรือตรวจสายตาว่าตามัว   เหล่านี้น่าจะจัดบริการรองรับให้เรียบร้อยขณะขอใบขับขี่  ไม่น่าจะต้องรบกวนประชาชนให้เทียวหาโรงพยาบาลต่อคิวยาวเพื่อขอใบรับรองแพทย์ที่ไม่มีประโยชน์คุ้มค่า


 


ใบรับรองแพทย์เพื่อสมัครสอบรรจุหรือสมัครงานยิ่งสมควรคุยกัน   คนไม่มีงานทำนั้นคงจะไม่มีเงินมากอยู่ก่อนแล้ว    การที่ต้องมาเสียเงินค่าใบรับรองแพทย์ครั้งละ 50 บาทต่อการสมัครสอบหรือสมัครงานหนึ่งครั้ง    หนึ่งครั้งมิใช่ว่าจะได้งานยังต้องเสียครั้งสองสามสี่ห้าจนกว่าจะได้งาน


 


น่าเห็นใจและน่าพูดคุยเรื่องนี้กันมากๆ เลยครับ