Skip to main content

สู่วัฒนธรรมแห่งความตื่นรู้

คอลัมน์/ชุมชน

 


 


 


กระแสโลกาภิวัตน์ที่มีอิทธิพลอยู่ในปัจจุบัน ได้มีส่วนไม่น้อยในการทำให้เกิดวัฒนธรรม ๒ กระแสใหญ่ คือ "วัฒนธรรมแห่งความละโมบ" และ "วัฒนธรรมแห่งความโกรธเกลียด" 


 


การเชื่อมโลกให้เกือบจะเป็นหนึ่งเดียวกันนั้นด้วยโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีนั้น ในด้านหนึ่งทำให้ลัทธิบริโภคนิยมแพร่ขยายไปทุกมุมโลกอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน  แม้กระทั่งในป่าลึกและภูเขาสูงก็ยังหนีไม่พ้น   ระบบโทรคมนาคมที่เชื่อมโยงถึงกันทั้งโลกได้ถูกใช้เพื่อกระตุ้นการบริโภคทั้งวัตถุและภาพลักษณ์อย่างไม่หยุดหย่อน     จนผู้คนไม่เคยรู้สึกพอเสียที


 


ในอีกด้านหนึ่งกระแสโลกาภิวัตน์ได้ทำให้ผู้คนทั่วทั้งโลกได้เผชิญกับการไหลบ่าของอัตลักษณ์ที่แตกต่างจากตน ไม่ว่าจะเป็นศาสนา เชื้อชาติ และภาษา   ระยะห่างทางภูมิศาสตร์ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นกำแพงขวางกั้นคนต่างเชื้อชาติ ศาสนา และภาษา ให้อยู่แยกห่างจากกัน เมื่อพังทลายลงหรือไร้ความหมาย  ผู้คนสามารถเดินทางข้ามทวีปหรือข้ามพรมแดนง่ายกว่าแต่ก่อน อีกทั้งยังสามารถตอกย้ำอัตลักษณ์ของตนผ่านสื่อไร้พรมแดน


 


ผลที่ตามมาก็คือ คนต่างอัตลักษณ์ต้องมาอยู่ประชิดกัน  แต่แทนที่จะเข้าใจกันมากขึ้น กลับหวาดระแวงกันและรู้สึกว่าอัตลักษณ์ของตนกำลังถูกคุกคาม จึงพยายามป้องกันอัตลักษณ์ของตนมากขึ้น ซึ่งเท่ากับผลักอีกฝ่ายให้กลายเป็นคนละพวกคนละฝ่ายมากขึ้น ผลก็คือเป็นศัตรูกัน เกิดความโกรธเกลียดต่อกัน   ทั้งนี้ยังไม่พูดถึงการแผ่ขยายและรุกรานของทุนที่ทรงพลังในการเข้ามาตักตวงผลประโยชน์ในท้องถิ่นอื่นได้อย่างสะดวกขึ้นเพราะตลาดถูกเปิดอย่างเสรี ทำให้เกิดความขัดแย้งและต่อสู้ขัดขืนจนระเบิดเป็นความรุนแรงในหลายที่


 


สังคมที่ดีงามนอกจากจะต้องมีโครงสร้างและระบบที่เอื้อให้เกิดชีวิตที่ดีงามแล้ว  ยังจำเป็นต้องมีวัฒนธรรมที่สอดคล้องไปในแนวทางเดียวกัน  เราอาจเรียกวัฒนธรรมดังกล่าวว่า "วัฒนธรรมแห่งความตื่นรู้"   โครงสร้างนั้นไม่ว่าจะดีเพียงใดย่อมต้องมีการปรับเปลี่ยนตามยุคสมัย แต่ถ้ามีวัฒนธรรมที่ดีงามเป็นเครื่องรองรับ ก็ช่วยให้การปรับเปลี่ยนนั้นเป็นไปอย่างเหมาะสมกับกาลเวลา แทนที่จะแข็งตัวจนฝืนความเปลี่ยนแปลง   นอกจากนั้นโครงสร้างยังเป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลที่อยู่ในโครงสร้างนั้นไม่ใช่น้อย  แม้โครงสร้างจะดีเพียงใด แต่ตัวบุคคลไม่ดีด้วยก็อาจก่อให้เกิดผลที่ไม่พึงปรารถนา   วัฒนธรรมนั้นมีบทบาทโดยตรงในการกำหนดจิตสำนึกและพฤติกรรมของผู้คน   วัฒนธรรมที่ดีย่อมอำนวยให้เกิดบุคคลที่มีจิตสำนึกและพฤติกรรมที่ดีงาม จึงเป็นองค์ประกอบสำคัญที่เสริมกับโครงสร้างเพื่อก่อให้เกิดสังคมที่ดีงาม


 


พุทธศาสนาสามารถช่วยให้เกิดวัฒนธรรมแห่งความตื่นรู้ได้ด้วยการเสริมสร้างโลกทัศน์ที่ไปพ้นจากวัตถุนิยม  แม้พุทธศาสนามิได้ปฏิเสธวัตถุ แต่เห็นว่าความสุขนั้นมิได้ขึ้นอยู่กับวัตถุเสมอไป   นอกจากความสุขทางกายแล้ว เรายังต้องการความสุขทางจิตใจ   และความสุขทางใจนี้เองที่เป็นความสุขที่ลึกซึ้งที่สุดที่มนุษย์ทุกคนควรเข้าถึงให้ได้  


 


จุดมุ่งหมายสูงสุดของมนุษย์จึงมิได้อยู่ที่การครอบครองวัตถุให้ได้มากที่สุด แต่อยู่ที่การเข้าถึงความสุขทางจิตใจด้วยตนเอง และเอื้อให้ผู้อื่นเข้าถึงด้วยเช่นกัน  ความสุขดังกล่าวจะช่วยให้เราไม่หลงใหลมัวเมากับวัตถุเพราะประจักษ์ด้วยตนเองว่ามีความสุขที่ประเสริฐและลึกซึ้งกว่าความสุขจากวัตถุมากนัก


 


นอกจากโลกทัศน์ที่เห็นมนุษย์ในแง่มุมที่ลึกซึ้งแล้ว  พุทธศาสนายังเอื้อให้เกิดโลกทัศน์ที่มองเห็นมนุษย์อย่างเชื่อมโยงสัมพันธ์กับสรรพชีวิตและสิ่งแวดล้อม  ชีวิต สังคม และธรรมชาติไม่อาจแยกจากกันได้   ความผาสุกของเราแต่ละคนผูกติดอยู่กับความผาสุกของผู้คนรอบข้าง  สังคมรอบตัว และธรรมชาติแวดล้อม  สำนึกดังกล่าวจะช่วยให้เราอ่อนโยนต่อธรรมชาติและรู้สึกถึงบุญคุณของสรรพชีวิตและทุกผู้คนในสังคมมากขึ้น  เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางน้อยลง   ไม่มองตนเองในกรอบแคบ ๆ โดยมองคนต่างเชื้อชาติ ศาสนา ภาษาเป็นคนอื่น หากมองเห็นมนุษย์ทุกคนและทุกชีวิตว่าเป็นเพื่อนร่วมโลกที่อยู่ภายใต้สายสัมพันธ์เดียวกัน มีความรักและความเห็นอกเห็นใจกันมากขึ้น


 


พุทธศาสนายังช่วยให้เกิดวัฒนธรรมแห่งการตื่นรู้ได้ด้วยการส่งเสริมการพัฒนาจิต  พุทธศาสนามีระบบการพัฒนาจิตโดยอาศัยสมาธิภาวนาเป็นพื้นฐาน  จิตนั้นมีคุณภาพหลายประการที่สามารถพัฒนาได้ เช่น สติ  สมาธิ  เมตตา กรุณา รวมทั้งปัญญา   แม้ว่าคุณภาพแต่ละชนิดต้องการวิธีการที่แตกต่างกัน แต่จุดร่วมก็คือการกลับมารู้จักตนเองและมีความสงบเย็นเป็นผลที่ตามมา  การพัฒนาจิตให้มีคุณภาพดังกล่าวนอกจากช่วยให้ตนเองเป็นสุข   และเป็นทาสวัตถุน้อยลงแล้ว  ยังเอื้อให้เกิดสัมพันธภาพที่ดีงามกับผู้อื่น  มีความเอื้ออาทร  ไม่ระบายทุกข์ใส่คนอื่น หากปรารถนาช่วยให้ผู้อื่นมีความสุข   การพัฒนาจิตจึงเป็นพื้นฐานสำคัญของการมีจริยธรรม (หรือศีล) ที่ดีงามในสังคม


 


จริยธรรมที่ดีงามนอกจากจะเกิดจากการพัฒนาจิตโดยอาศัยสมาธิภาวนาแล้ว   ยังสามารถบ่มเพาะได้ด้วยการอาศัยกัลยาณมิตรและกระบวนการกลุ่ม   พุทธศาสนาสามารถส่งเสริมให้เกิดกระบวนการกลุ่มดังกล่าวได้ในหลายลักษณะ  ดังที่พระสงฆ์ในหลายท้องที่ส่งเสริมให้ชาวบ้านรวมกลุ่มเพื่อการพัฒนาชุมชน อนุรักษ์วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม  รวมถึงกลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์   กลุ่มดังกล่าวหากมีกระบวนการที่ดี เช่น ส่งเสริมให้ทุกคนมีส่วนร่วม มีการสรุปบทเรียนและแลกเปลี่ยนประสบการณ์  นอกจากจะสร้างความไว้วางใจให้เกิดขึ้นแล้ว ยังช่วยหล่อหลอมให้เกิดความเสียสละและรับผิดชอบต่อส่วนรวม  ตลอดจนตั้งมั่นในศีลมากขึ้น


 


ปริมณฑลของธรรมนั้นมิได้อยู่ที่จิตใจของผู้คนเท่านั้น  หากยังครอบคลุมไปถึงสังคมและชุมชนที่อยู่รอบตัวเราด้วย   ดังนั้น เมื่อจะนำธรรมมาใช้ให้เกิดผล  นอกเหนือจากการน้อมนำเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและตั้งมั่นในจิตใจแล้ว   การจัดวางธรรมให้เป็นพื้นฐานของสังคมและวัฒนธรรม ก็มีความสำคัญเช่นกัน  การบูรณาการธรรมอย่างรอบด้านเท่านั้นที่จะช่วยให้ชีวิตที่ดีงามบังเกิดขึ้นได้ในทุกมิติ


 


บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกใน โพสต์ทูเดย์