แด่ ส.ว.ที่น่าชัง
คอลัมน์/ชุมชน
สัปดาห์ที่แล้วมีข่าวเรื่องที่มีการประท้วงประธานวุฒิสภา สุชน ชาลีเครือ จนกระทั่งมีการนำบันไดไปล่อประธานลงจากเก้าอี้ประธาน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเนื่องจากประธานได้อ้างว่า มีส.ว.จำนวน ๖๔ ท่านยื่นคำร้องให้ประชุมลับ ซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติเป็นอย่างยิ่งที่อยู่ดีๆ พอวาระเรื่องพิจารณาสรรหาคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเข้ามากลับบอกว่าให้ประชุมลับทันที
ก็เลยมีการประท้วงถึงขนาดประธานสุชน ให้ รปภ.เชิญตัว ส.ว.การุณ ใสงาม ส.ว.บุรีรัมย์ ให้ออกจากห้องประชุม ซึ่งสมาชิกหลายท่านคิดว่าประธานทำหน้าที่ไม่ถูกต้อง ใช้อำนาจ ส.ว.เสียงส่วนใหญ่รังแกเสียงส่วนน้อย
ผมเป็นคนหนึ่งซึ่งประท้วงการทำหน้าที่ของประธานวุฒิสภาในวันนั้น ก็ขอเรียนว่าการที่ ส.ว. ๖๔ คนอ้างว่าต้องประชุมลับเนื่องจากเกรงว่าจะมีการกล่าวพาดพิงถึงสถาบันสูงสุดนั้นไม่มีเหตุผลเพียงพอ
เพราะไม่ว่าจะเป็นการประชุมเปิดเผยหรือลับ วุฒิสภาไม่มีสิทธิที่จะพาดพิงสถาบันอื่นให้เกิดความเสียหาย ใครพูดพาดพิงก็ต้องรับการฟ้องร้องกล่าวโทษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นมากกว่ากฎหมาย ซึ่งคนไทยทุกคนทราบเป็นอย่างดีตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
คงจำกันได้ว่าสำนักราชเลขาธิการได้ขอให้วุฒิสภาทบทวนการทูลเกล้าฯ ถวายรายชื่อ ๙ ปปช.ใหม่ เพราะขั้นตอนการสรรหามีผู้ได้รับการเสนอชื่อไม่ครบจำนวนตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด
ประเด็นที่สำคัญคือก่อนลงมติเลือกผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อจากคณะกรรมการสรรหาจำนวน ๑๘ คน ปรากฎว่าก่อนลงมติของวุฒิสภา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการทหารบก ได้ถอนตัวออกไป ทำให้เหลือผู้ได้รับการเสนอชื่อให้วุฒิสภาพิจารณาเพียง ๑๗ คน ไม่ครบตามรัฐธรรมนูญ
ต้องพิจารณาว่า คนระดับ ผบ.ทบ. มีสุขภาพสมบูรณ์ แข็งแรง ตั้งแต่ตอนกระบวนการตรวจสอบประวัติ มาอ้างในจดหมายก่อนการลงคะแนนว่ามีปัญหาด้านสุขภาพ
ปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ที่วุฒิสภานั้นเอง เพราะมีข่าวก่อนหน้านั้นว่ามีการล็อกโผ ปปช. เพราะฉะนั้นคนที่จะต้องตอบคำถามประชาชน คือวุฒิสภา ส.ว.ที่น่าชังทั้งหลายว่าจะทำตัวอย่างไรให้ประชาชนเขาไว้ใจ วางใจ และเชื่อใจ
เพราะวุฒิสภาชุดนี้มีข่าวมาโดยตลอดว่า มีการรับเงินเดือนจากพรรคการเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากฝ่ายรัฐบาล ส่วนคนที่เป็นซีกของฝ่ายค้านก็เป็นของญาติพี่น้องที่ลง ส.ส.ในนามของฝ่ายค้าน บังเอิญในขณะนี้ซีกของรัฐบาลมีการล็อบบี้จนกระทั่งเป็นเสียงข้างมากในวุฒิสภาเสียแล้ว องค์กรอิสระที่จะเลือกโดยวุฒิสภา ประชาชนก็เลยไม่มีความเชื่อมั่นได้เลยว่าจะทำตามใบสั่งของรัฐบาลหรือไม่
หลายๆ ครั้งก็เป็นที่ครหา หรือคาดหมายไว้ได้ก่อนที่จะมีการลงมติขององค์กรอิสระต่างๆ เกือบทุกองค์กรว่า คำตอบที่จะได้คืออะไร ส่วนใหญ่ตัดสินให้รัฐบาลเป็นฝ่ายถูกต้องทั้งสิ้น ยกเว้นศาลปกครองซึ่งมีความเป็นอิสระสูงยิ่ง เป็นที่ยอมรับ
จนเป็นที่มาของ นายสนธิ ลิ้มทองกุลที่เปิดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์หลายแห่งทั่วประเทศกล่าวหาว่า รัฐบาลภายใต้การนำของนายก ทักษิณ ชินวัตร ได้ครอบงำทุกองค์กรอิสระไว้เรียบร้อยแล้ว
ผมมิอาจจะกล่าวถึงองค์กรอิสระอื่นได้เพราะไม่ได้อยู่ในองค์กรนั้นๆ แต่ในวุฒิสภากล่าวได้เลยว่า เรียบร้อยโรงเรียนแม้วแล้วครับ มีการสารภาพในที่ประชุมวุฒิสภาว่ามีการรับเงินจากรัฐบาลจริงๆ
สัปดาห์ที่แล้ว ส.ว.ภิญญา ช่วยปลอด จากสุราษฎร์ธานี ก็เลยเสนอให้บรรดา ส.ว.ทั้งหลายไปสาบานที่วัดพระแก้วว่าใครรับเงินเดือนจากพรรคการเมืองขอให้มีอันเป็นไป ผมก็ได้ท้าแล้วว่าอย่าว่าแต่ไปวัดพระแก้วเลย เอาแค่ลงชื่ออภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติ จะหา ส.ว.แค่ ๑๒๐ ชื่อจะหาได้หรือเปล่า เพราะเห็นแต่คนเอาใจท่านนายกรัฐมนตรี กลัวว่าท่านจะเคือง เกรงว่าท่านจะโกรธ ไม่รู้จะเอาใจไปถึงไหน เสียชื่อที่ประชาชนเขาเลือก ส.ว.ให้ไปตรวจสอบการทำงาน แค่ลงชื่ออภิปรายนายกรัฐมนตรี ขอถามคำถามที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุลถามรัฐบาลแต่ยังไม่ตอบ ประชาชนเขาอยากฟังรัฐบาลตอบในสภา ไม่อยากให้คุณสนธิกล่าวโทษฝ่ายเดียว โดยไม่ให้โอกาสรัฐบาลตอบ
แล้วอย่างนี้ผมไม่เรียกว่า ส.ว.ที่น่าชังได้อย่างไร
ถึงเวลานั้นจะได้รู้ว่าใครบ้างที่เป็นคนจริง ใครบ้างที่รับเงินหรือไม่รับเงิน เพราะแค่ลงชื่ออภิปรายทั่วไปให้นายกรัฐมนตรีมาตอบในวุฒิสภาไม่ได้ วุฒิสภาชุดนี้ก็มีตราบาปไปตลอด