Skip to main content

บางชีวิตนั้นมีปัญหา บางชีวิตนั้นมีความหมาย

คอลัมน์/ชุมชน

 


ธีรเชนทร์ เดชา


 


"ก็เห็นอย่างนี้ไง อนาคตพี่ถึงไม่อยากจะมีลูก เพราะพี่รู้สึกว่าสังคมทุกวันนี้มันฉาบฉวย ไม่มีความปลอดภัย และยังคงเต็มไปด้วยสิ่งยั่วยุต่างๆ ลำพังตัวเราเองก็ยังไม่รู้ว่าจะรอดพ้นจากเงื้อมมือของปีศาจสังคมเหล่านี้ได้ นึกแล้วก็อดสงสารและเป็นห่วงพวกเด็กๆ ที่เกิดมาในยุคนี้ไม่ได้" คำพูดของพี่นักจิตวิทยาคนนั้น ยังคงแว่วอยู่ในความคิดผม


 


ภายหลังจากที่เรานั่งคุยกัน ในช่วงว่างจากการงาน เป็นการพูดถึงเรื่องเด็กที่กระทำผิด ที่เข้ามาพบเราซึ่งล้วนมาพร้อมกับปัญหาต่างๆ นานา เป็นปัญหาที่เกิดจากทั้งตัวเด็กและสิ่งแวดล้อมต่างๆ  การทำความผิดของเด็กๆ ซึ่งล้วนเกิดจากหลากหลายปัจจัยนั้น ส่งผลให้ผมและนักจิตวิทยารู้สึกมองสังคมในแง่ร้ายมากขึ้นทุกที...


 


"หรืออาจเป็นเพราะความใหม่กับงานเช่นนี้ หรือว่าหัวใจเรายังไม่ชาชินต่อสิ่งที่พบเจอ..." ผมตั้งคำถามกับตัวเอง


 


หรือที่ผ่านมา เรายังรับรู้ปัญหาของพวกเด็กๆ น้อยไป จวบจนได้มาสัมผัสดัวยตัวเองในครั้งนี้ มันทำให้เรารู้สึกแย่ ทุกครั้งที่เห็นเด็กและเยาวชนถูกตำรวจควบคุมตัวก้าวเท้าย่ำย่างเข้ามายังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดอุตรดิตถ์แห่งนี้


 


เรา- -หลายคน ต่างเพิ่งมาเริ่มต้นทำงานกันที่นี่ พร้อมๆ กับการเปิดสถานที่ทำการของสถานพินิจฯ แห่งใหม่  ทุกคนต่างพากันคาดเดาว่า สถานพินิจฯ เปิดใหม่ คงมีคดีการกระทำผิดของเด็กเข้ามาน้อย


 


ทว่ากลับผิดคาดอย่างสิ้นเชิง หนึ่งเดือนผ่านไป...คดีเด็กมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มันเกิดอะไรขึ้น!


 


หรือว่าสังคมเรากำลังป่วยจนยากเกินจะเยียวยารักษาได้


จนกลายเป็นโรคติดต่อที่ทำให้เด็กป่วยมากขึ้น มากขึ้น...


 


แน่นอน เด็กแต่ละคนล้วนมีอาการป่วยแตกต่างกัน ดังนั้นการแก้ไข บำบัด จำเป็นต้องคำนึงถึงความแตกต่าง รวมไปถึงปัจจัยอื่นร่วมด้วย


 


จริงๆ แล้ว การแก้ไขปัญหาเด็กที่กระทำผิด ทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกัน ต้องทำทุกอย่างด้วยความเอื้ออาทร ให้โอกาส และให้อภัย อีกทั้งต้องเข้าใจความรู้สึกของเขาด้วย


 


ที่สำคัญ,ครอบครัว ชุมชน ต้องเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อที่เด็กจะได้ไม่หวนกลับมากระทำผิดซ้ำอีก จึงจะเป็นการแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืน


 


                                                * * * * *


 


ผมรู้สึกดีใจที่ตัวเองได้เข้ามาทำงานด้านนี้


แต่ในบางห้วง ก็รู้สึกสลดหดหู่ใจอย่างบอกไม่ถูก  เหมือนดั่งเช่นวันนี้....


 


ท่ามกลางเด็กๆ ที่เข้ามาแวดล้อมอยู่ในสถานพินิจฯ แห่งนี้ ผมได้คุยกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง


เธอมีอายุเพียง 12 ปี เรียนอยู่ชั้น ป.6 และเธอถูกจับในคดีลักทรัพย์ 


 


มองจ้องมองดูเธอ เด็กผู้หญิงผิวคล้ำตัวเล็กๆ ใส่เสื้อผ้าดูมอมแมม เดินเข้ามาทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของผม เธอแกว่งเท้าไปมา กวาดสายตามองไปรอบๆ ราวกับว่ามองไม่เห็นผมนั่งอยู่ตรงหน้านั้นเลย


 


ผมพยายามสร้างความคุ้นเคยกับเธอ...ก่อนจะเริ่มสัมภาษณ์เธอ ทีแรกผมคิดหนักว่า เด็กคนนี้คงหวาดกลัว และคงต้องใช้หลายๆ วิธีการเพื่อที่จะให้เด็กพูด แต่ต้องแปลกใจ เมื่อเธอนั้นกลับเป็นคนที่ช่างพูดช่างคุย ถามอะไรก็ตอบโต้ได้ทันควัน ไม่มีความรู้สึกหวาดกลัวเหมือนที่คาดไว้ แม้ในแววตา..... แต่ลึกๆ ข้างใน ผมยังมีความรู้สึกว่าคำพูดของเธอก็ยังคงความเป็นเด็กซ่อนอยู่   


 


ด.ญ.น้ำ (นามสมมติ)...ผมขออนุญาตตั้งชื่อเธอ ท่าทางเธอดูแก่นแก้ว พูดจาห้วนๆ ฟังดูไม่ค่อยสุภาพเท่าไร ทุกครั้ง เธอจะใช้คำว่า อืม แทนคำว่า ค่ะ แต่ดูตรงไปตรงมาดี 


 


ผมพยายามบอกให้เธอพูด "ค่ะ" แต่สุดท้าย เธอทำได้แค่ "อืม......ค่ะ" เพียงเท่านั้น


 


จริงสิ อาจเป็นเพราะความเคยชินของเธอ ซึ่งผมพอเข้าใจ เพราะว่าสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็กนั้นมีอิทธิพลอย่างสูงต่อพัฒนาการทางจิตใจและความคิดคำพูดของเด็ก


 


จากการสัมภาษณ์พูดคุยเบื้องต้น ทำให้รู้ว่า ด.ญ.น้ำ เติบโตมาในครอบครัวที่ไม่ค่อยสมบูรณ์เท่าไรนัก  อีกทั้งผู้ปกครองยังขาดทักษะในการเลี้ยงดู อันเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่สำคัญ ที่ทำให้เด็กกระทำผิดในครั้งนี้   


 


...เธอถูกจับ เพราะไปขโมยของบ้านตำรวจซึ่งได้กระทำเป็นครั้งที่สองแล้ว  โดยสิ่งของที่เธอขโมยนั้นก็ใช่ว่าจะเป็นสิ่งของอะไรใหญ่โต เช่น กิ๊บผม ผ้าอนามัย ขนม กระเป๋าเป้  ตุ๊กตา รวมทั้งสิ่งของจุกจิกอื่นๆ ที่เป็นความต้องการของเด็กหญิงวัยรุ่นราวคราวเดียวกันนั้นที่อยากได้อยากมี...


 


 "รู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นมันไม่ดี แต่ที่ทำก็เพราะว่าอยากมีเหมือนเพื่อน..."  น้องน้ำ บอกเล่าให้ฟัง


 


ทุกวันนี้ ด.ญ.น้ำ อาศัยอยู่กับพ่อที่ติดเหล้า มีอาชีพรับจ้างไปวันๆ  ส่วนแม่นั้นได้เสียชีวิตังคงเต็มไปด้วยสิ่งยั่วยุต่างไปแล้ว และทุกครั้งเวลาพ่อเมากลับมาบ้าน พ่อจะชอบดุด่าน้องน้ำเป็นประจำ บ่อยครั้งที่ น้องน้ำต้องหนีออกไปอยู่บ้านยายและอาที่อยู่ข้างบ้าน....


 


ทำให้ผมกลับมานั่งครุ่นคิด แท้จริงแล้ว สิ่งของที่น้องน้ำขโมยได้นั้นล้วนเป็นสิ่งที่หาซื้อได้ทั่วไป  แล้วอะไรเล่า? คือสิ่งที่เธอคิดว่าขาด....


 


แต่ถึงอย่างไร ด.ญ.น้ำ ก็ยังโชคดีกว่าเด็กๆ อีกหลายคน  


บนความโชคร้ายของชีวิต...


ก็ยังคงมีความโชคดีเล็กๆ หลงเหลือให้กับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งไว้เป็นที่พักพิง


 


นั่นหมายถึงยายและอาที่คอยดูแลช่วยเหลือ แต่นั่นก็ไม่อาจเติมเต็มสิ่งที่ขาดได้  เธอจึงเลือกใช้วิธีการขโมย สิ่งที่ตัวเองคิดว่าขาดเพื่อตอบสนองความต้องการอันชั่ววูบ  ด้วยเหตุผลอันไร้เดียงสา...


 


"หนูไม่คิดว่าจะโดนจับ เพราะเจ้าของบ้านเป็นคนใจดี...."


 


 "ทุกวันนี้น้องต้องการอะไรมากที่สุด..."ผมเอ่ยถามน้องน้ำต่อ


 


 "หนูต้องการแม่ อยากให้แม่ฟื้น แม่ทำงาน แม่เลี้ยงดูหนูได้ พ่อขี้เหล้าไม่ค่อยสนใจชอบดุด่า ถ้าเป็นไปได้ อยากให้แม่มาแทนพ่อ" ด.ญ.น้ำตอบราวกับว่าเธอคิดไว้ในใจมานานนักแล้ว  


 


คำพูดของเธอ...มันได้สะท้อนความรู้สึกบางอย่างที่เธอได้กลบเกลื่อนไว้ภายใน เพียงก่อนหน้านั้น เธอได้แสดงบุคลิกภายนอกที่ดูแข็งกร้าวออกมาแทน ทว่าแท้จริงแล้วภายในนั้น เธอช่างอ่อนแอเสียเหลือเกิน...


 


ซึ่งแท้จริงแล้ว สิ่งที่หาซื้อไม่ได้และเป็นความจำเป็นที่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งควรจะมี ก็คือความรัก ความอบอุ่น สิ่งเหล่านี้ต่างหากคือสิ่งที่น้องได้ขาดไปอย่างแท้จริง 


 


"ถ้าหากว่าแม่เป็นสิ่งที่สามารถขโมยมาจากคนอื่นได้  น้องน้ำคงขโมยไปแล้ว..." ผมบอกกับตัวเอง


 


หลังจากที่ผมสัมภาษณ์ พูดคุยกับเธอเสร็จ  ขณะที่เธอเดินออกห้องไปอย่างช้าๆ


ทำให้ผมหวนนึกถึงคำพูดของพี่นักจิตวิทยาคนนั้นดังก้องอยู่ในโสตประสาท


 


"ใจจริง พี่ไม่อยากจะมีลูก แต่ในอีกมุมหนึ่ง เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ กลับโหยหาต้องการจะมีแม่..."


คำพูดของพี่นักจิตวิทยาคนนั้น ยังคงแว่วมาอยู่ในความคิดของผม