Skip to main content

รัฐบาลทักษิณ " ในฐานะพาหะและเชื้อโรค " ภูมิคุ้มกันชีวิตและสังคมบกพร่อง "

คอลัมน์/ชุมชน


คงไม่ " มากเกินไป " ที่จะนำ " กรณีตากใบ " และ " ความตาย ๘๕ ศพ " มาพูดถึงอีกครั้ง …


หลังจากที่ " หลายต่อหลายแง่มุม " ถูก " หลายฝ่าย " หยิบยกขึ้นมากล่าวถึง วิเคราะห์และวิพากษ์วิจารณ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่แทบมิอาจหาคำตอบ หรือข้อยุติใด ๆ ได้


ปล่อยให้ " บางอย่าง " ค้างคาความรู้สึกและความคิดของผู้คน ไม่ว่าจะมาจากมโนธรรมสำนึก หรือชมชอบการใช้ความรุนแรงก็ตาม


" บางอย่าง " ที่คล้ายฝ่ายหนึ่งอยากซุกเก็บไว้ในซอกลึกของความล้มเหลว และ " หลายฝ่าย " อยากให้มีการแก้ไขและสรุปบทเรียนอย่างเป็นรูปธรรม


แต่ " ทุกฝ่าย " คงปฏิเสธได้ยากว่านี่มิใช่ " ร่องรอย " สำคัญอีกครั้งหนึ่ง ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ที่มนุษย์กระทำต่อเพื่อนมนุษย์ อย่างที่สิ่งมีชีวิตอื่นไม่อาจหรือไม่สามารถกระทำได้


" ชีวิต " นั้นมี " คุณค่า " เสมอ ไม่ว่าจะถูก " กำหนด " ให้สูงส่งหรือต่ำต้อยสักเพียงใดก็ตาม


ด้วยว่าการ " เทียบเคียง " หรือ " ตัดสิน " ที่มนุษย์กระทำต่อมนุษย์ด้วยกันนั้น มักเกิดขึ้นภายหลัง และกระทำต่อกันในระดับปุถุชน ผู้ยังยึดมั่นใน รัก โลภ โกรธ และหลง โดยมีอวิชชาเป็นเจ้าเรือน


หาใช่วิสัยของอริยบุคคล หรือผู้ที่จะก้าวสู่กระแสแห่งการหลุดพ้นไม่ …


" การตาย " และ " ความตาย " ที่ตากใบ จึงแปรเปลี่ยนจากความสูญเสียของปัจเจกบุคคลและผู้เกี่ยวข้องขึ้นเป็น " โจทย์ใหญ่ " ในความเป็นมนุษย์
" มนุษยชาติ " ซึ่งปราศจากเชื้อสาย - เผ่าพันธุ์ ศาสนา - ความเชื่อ หรือข้อจำกัดแห่งพรมแดน
" มนุษยชาติ " ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ ร่วม เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น …


" มนุษยชาติ " ซึ่งใครหรือคณะใดก็ตาม ไม่มีสิทธิ์กระทำให้บาดเจ็บและสูญเสีย ไม่ว่าจะโดยข้ออ้าง หรือเหตุผลใด ๆ ก็ตาม



ด้วยกลไกของระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน จะมากจะน้อย รัฐและอำนาจรัฐ ย่อมมีบทบาทหน้าที่ " แทน " ปวงชน ในการบำบัดทุกข์บำรุงสุข ในการรักษาชีวิตและทรัพย์สิน ฯลฯ ตลอดจนทำนุบำรุงธรรมชาติแวดล้อมและศรัทธาความเชื่อของผู้คนในชาติ ให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่าง " ปกติสุข "


แต่จะด้วยเหตุผลหรือความตั้งใจอื่นใดก็ตาม ถึงบัดนี้ปฏิบัติการทั้งทางตรงและทางอ้อมของรัฐ และหน่วยงานของรัฐ ตลอดจนส่วนงานหรือองค์กรที่เกี่ยวข้อง กลับตอกลิ่มแห่งความแบ่งแยกแตกต่าง ลงใน " หัวใจ " ของผู้คนร่วมแผ่นดิน


ด้านหนึ่ง คือการปล่อยปละละเลยการรักษาชีวิตและทรัพย์สินของผู้ที่รัฐเรียกว่า " ผู้บริสุทธิ์ " หรือผู้ที่รัฐเชื่อว่า " ไม่เกี่ยวข้อง " กับปฏิบัติการ " ก่อการร้าย "


ขณะที่อีกด้านหนึ่ง กลับใช้ความรุนแรงทั้งทางตรงและทางอ้อม ต่อผู้ที่รัฐเชื่อมั่นว่ามีส่วนร่วมกับ " ความไม่สงบ " ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ อย่างละเลยหรือเจตนาละเว้น ที่จะใช้กลไกของ " กระบวนการยุติธรรม " ซึ่งตราไว้ในข้อตกลง ทั้งของไทย และในระดับนานาชาติ หรือวิธีปฏิบัติที่นานาอารยประเทศให้การยอมรับ ตลอดจนปฏิบัติกับผู้คนในอาณัติ


พร้อม ๆ กันนั้น ก็กลับมีการปลุกระดมมวลชน และโฆษณาชวนเชื่อ หลากหลายระดับและวิธีการ อันมีนัยให้เกิดความระแวงสงสัย รู้สึกแบ่งแยก หรือเน้นความแตกต่าง ระหว่างความเชื่อทางศาสนา เชื้อชาติ และประวัติศาสตร์ .. ความเป็นมา ทั้งที่ผลิตตรงโดยรัฐ และผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่รัฐสามารถบังคับบงการได้ …


ภายใต้ความเชื่อมั่นและข้อสรุปของนายกรัฐมนตรี โฆษกรัฐบาล ตลอดจนการแถลงข่าวของหน่วยงานต่าง ๆ ในระยะหลังว่ากำลังมีความพยายาม " แบ่งแยกดินแดน " และมีการ " ก่อการร้าย " ซึ่งจะนำไปสู่การสูญเสียอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน


ทั้งที่โดยข้อเท็จจริง ยังไม่มีองค์กรก่อการร้ายใด ๆ ออกมาประกาศความรับผิดชอบ หรือยืนยันปฏิบัติการต่าง ๆ อย่างเป็นรูปธรรม และรัฐเองก็ไม่สามารถแม้แต่จะระบุตัวบุคคล หรือองค์กรผู้กระทำผิด ตลอดจนผู้มีส่วนร่วมในการกระทำต่าง ๆ ด้วยการแสดงหลักฐานที่น่าเชื่อถือต่อสาธารณชน


ขณะเดียวกัน ในความสับสนคลุมเครือ ปฏิบัติการของรัฐ และความรุนแรงสืบเนื่อง ในลักษณะตอบโต้ หรือก่อกวน กลับสร้างความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของทุกฝ่าย อย่างแทบไม่สามารถประเมินค่าได้


ดังมีรายงานข่าวเมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ว่า …


"… มีรายงานข่าวจากหน่วยข่าวทหารในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้สรุปเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ๔ จังหวัด ประกอบด้วย ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และสงขลา ตั้งแต่วันที่ ๔ มกราคม ๒๕๔๗ จนถึงวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๔๗ รวม ๑๐ เดือน มีเหตุการณ์ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ๖๓๔ ครั้ง แยกเป็น จ . นราธิวาส ๒๙๒ ครั้ง จ . ปัตตานี ๑๗๒ ครั้ง จ . ยะลา ๑๓๑ ครั้ง และจังหวัดสงขลา ๑๙ ครั้ง


หน่วยข่าวยังระบุอีกว่า สำหรับเดือนตุลาคมมีเหตุร้ายรวมทั้งสิ้น ๙๓ ครั้ง แยกเป็น จ . นราธิวาส ๔๔ ครั้ง ปัตตานี ๒๙ ครั้ง
ยะลา ๑๖ ครั้ง และสงขลา ๔ ครั้ง มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต ๖ นาย ได้รับบาดเจ็บ ๒๑ นาย ทหารเสียชีวิต ๒ นาย บาดเจ็บ ๔ นาย เจ้าหน้าที่รัฐอื่น ๆ เสียชีวิต ๗ คน บาดเจ็บ ๑๓ คน ในขณะที่ประชาชนเสียชีวิต ๒๐ คน ได้รับบาดเจ็บ ๓๓ คน เมื่อเทียบกับเดือนกันยายน ๒๕๔๗ มีเหตุร้ายที่เกิดขึ้นมีจำนวน ๕๔ ครั้งเท่านั้น


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังเกิดเหตุสลายการชุมนุมที่ตากใบเมื่อวันที่ ๒๕ ต . ค . ๒๕๔๗ มีเหตุฆ่ารายวันเกิดขึ้นในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่วันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๔๗ ถึงวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๗ มียอดผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ยิงรายวันจำนวน ๓๕ คน ซึ่งมีทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐ และประชาชนผู้บริสุทธิ์ …"


( ผู้จัดการออนไลน์ http://www.manager.co.th/asp- bin/mgrView.aspx? News ID=9470000082837)


ซึ่งปฏิเสธมิได้ว่า ทั้งหลายทั้งปวงดังกล่าวข้างต้น เป็นสิ่งที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และเป็นผลทั้งโดยตรงและโดยอ้อมของความล้มเหลวในการปฏิบัติงานของฝ่ายรัฐ ที่ปฏิบัติต่อ " โจรกระจอก " และ " ผู้คนในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ " อย่าง " บ้ามาก็บ้าไป " ด้วยท่าทีแข็งกร้าวและตาต่อตาฟันต่อฟัน อย่างปราศจากการแยกแยะ หรือจำแนกแจกแจง


 นับแต่เหตุการณ์ปล้นปืน ๔ มกราคม กระทั่งมาถึงกรณีกรือเซะ ๒๘ เมษายน และ " โศกนาฏกรรม ๒๕ ตุลาคม ๒๕๔๗ "



ดูเหมือนว่า " รัฐบาลนี้ " กำลังนำพารัฐไทยและคนไทยจำนวนหนึ่งให้ติดอยู่ใน " วงจรและกับดักแห่งความรุนแรง " อย่างไม่น่าให้อภัย


จะด้วยความอหังการ หรือโง่เขลาก็ตาม


แต่บัดนี้ …


รัฐบาลไทยได้ทำให้ " การแบ่งแยกดินแดนสามจังหวัดภาคใต้ " หรือ " การก่อตั้งสาธารณรัฐปัตตานี " ซึ่งย้อนหลังไปเพียง ๔ - ๕ ปี มีสภาพหลงเหลือแค่อาการฝันเฟื่องของคนกลุ่มเล็ก ๆ หรือเป็นนิยาย ‘ ขอทุน ' น้ำเน่าหลงยุคขององค์กรที่แทบเอาตัวเองไม่รอด ให้กลับกลายมาเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจของคนหนุ่มสาวเคร่งศาสนา หรือมีการพูดถึงกันอย่างจริงจังในหลากแวดวงและหลายระดับความคิด


รัฐบาลไทยได้ทำให้ " เขตปกครองพิเศษ " หรือกระทั่ง " กระทรวงกิจการอิสลาม " ที่เคยเป็นข้อเสนอในแวดวงวิชาการเล็ก ๆ ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงโดยอดีตนายกรัฐมนตรีประเทศเพื่อนบ้าน และนักวิชาการอิสลามศึกษา กระทั่งมีการวิเคราะห์วิจารณ์กันในวงกว้าง อย่างหนาหูหนาตา


รัฐบาลไทยได้ทำให้ " องค์ความรู้ด้าน มุสลิม และ อิสลามศึกษา " ได้กลายเป็น " วาระแห่งความเร่งด่วน " ที่ทุกฝ่ายจะต้องหันกลับมาศึกษา และค้นคว้าทบทวน อย่างไม่เคยมี หรือไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน


เช่นเดียวกับ การ " ยกระดับ " ปัญหา " โจรกระจอก " ให้กลายเป็น " สงครามก่อการร้าย " ด้วยปฏิบัติการทางทหาร ชนิด " บ้ามาก็บ้าไป " และการประกาศจำกัดเวลาออกนอกเคหสถาน ตลอดจนการประกาศกฎอัยการศึก ซึ่งให้อำนาจแก่หน่วยงานติดอาวุธและฝ่ายความมั่นคงรัฐ กระทั่งสามารถกระทำย่ำยี " สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน " ของผู้คนใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ตามอำเภอใจ


พร้อม ๆ กับที่รัฐบาลไทย ได้จุดประกาย " จิตสำนึกในความเป็นมุสลิม " และความจำเป็นที่จะต้องผนึกกำลังกันเพื่อรักษา " วิถีชีวิต - วิถีวัฒนธรรมอิสลาม " ให้ลุกโชนขึ้น เพื่อแสวงหา " เอกภาพแห่งความเป็นมุสลิม " ที่กำลังถูกรัฐและผู้มีอำนาจในแผ่นดิน กระทำย่ำยี ดูหมิ่นถิ่นแคลน และเหยียบย่ำรังแก อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นในใจบรรดา " มุสลิมไทย " ขนาดนี้มาก่อน


และพร้อม ๆ กันนั้น รัฐและผู้เกี่ยวข้องกับอำนาจรัฐบางกลุ่มก็โหมกระพือความคลั่ง ชาติ ( ที่จำเพาะแต่ความเป็นไทย โดยปฏิเสธเชื้อชาติและเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ซึ่งอยู่ร่วมแผ่นดิน ) ศาสนา ( ที่ลดทอนให้เหลือเพียงศาสนาพุทธ ) พระมหากษัตริย์ ( โดยไม่เคยสำเหนียกถึงพระราชปณิธานและพระราชดำรัสที่เกี่ยวข้อง ) และระดมปลุกเร้าแนวคิด ทำลายจุดร่วม ยกระดับจุดต่าง ให้ขยายตัวขึ้นเป็น " ขบวนการชาตินิยมใหม่ " ที่หลงใหลและเชิดชูบูชา " ท่านผู้นำ " และนโยบาย " ประชานิยม - ธนาธิปไตย " ของบางพรรคการเมือง อย่างไม่ลืมหูลืมตา


นี่คือความชาญฉลาดในการสร้างความแตกแยกภายในชาติ หรือความโง่เขลาเบาปัญญาที่บ่อนเซาะความสมานฉันท์อันเคยเป็นแบบอย่าง และเป็นที่กล่าวถึงของวิญญูชนทั่วโลก ก็มิอาจทราบได้



หากอาณาประชาราษฎร์และขอบเขตแห่งดินแดน ตลอดจนศรัทธาความเชื่อ และอุดมคติร่วม ทั้งในระดับปัจเจกและสังคม เป็นส่วนประกอบที่สำคัญแห่งความเป็นรัฐชาติ " แบบไทย ๆ " โดยมีองค์พระประมุข ทั้งฝ่ายศาสนจักรและอาณาจักร เป็นศูนย์รวมแห่งความเคารพสักการะ อันผู้ใดจะละเมิดมิได้ แล้ว …


ระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน ที่กลายพันธุ์ไปเป็น " ธนาธิปไตย - ทักษิณาธิปไตย " ซึ่งแฝงไว้ด้วย " ที่มา " ของบุคคลและคณะบุคคล ในลักษณะ " หัวมังกุท้ายมังกร " เช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ก็นับวันก็จะยิ่งเสมือนหนึ่ง เปลี่ยนไปเป็น " เชื้อโรค " ที่ร้ายแรงยิ่ง


เพราะนอกเหนือไปจากแนวโน้มแห่งความป่วยไข้ และอาการเสื่อมทรุด ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ฯลฯ แล้ว " รัฐบาล " ก็คล้ายจะทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้น " พยาธิสภาพ " อื่น ๆ ให้เกิดมากขึ้นและทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งทางรูปธรรมและนามธรรม …


ทั้งที่เกิดขึ้นจากอหังการ - มมังการ และอวิชชา - มิจฉาทิฏฐิ และที่เป็น " ลักษณะจำเพาะบางประการ " ของท่านผู้นำและสมุนบริวาร


กระทั่งอดคิดไปไม่ได้ว่า เอาเข้าจริง เราทั้งหลายกำลังปล่อยให้แผ่นดินเกิดกลียุค บ้านเมืองอยู่ในมิคสัญญียิ่งขึ้นทุกขณะ


เพียงเพราะเราปล่อยปละละเลย เพลิดหลง และยินดีไปกับการกระตุ้นเร้า ของ " บางคน - บางพวก " ด้วยความประมาท และขาดการสำรวมระวัง


กระทั่ง " สูญเสียพรหมจรรย์ " และจำต้องติด " โรคร้าย " กันเสียทั่วหน้า


ชนิดไม่รู้ว่าจะเสียใจหรือสมเพชตัวเองดี … 


ว่าก็ว่าเถอะ คณะกรรมการสมานฉันท์แห่งชาติ และนกกระดาษ ๖๒ ล้านตัว จะรักษา " โรคภูมิคุ้มกันทางชีวิตและสังคมบกพร่อง " ได้จริงหรือ ?