Skip to main content

ทฤษฎีฟิสิกส์และสังคมศาสตร์ กับ การยิกทักษิณ

คอลัมน์/ชุมชน


 


                                                 


 


ท่านที่ได้ติดตามข่าวการเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในสื่อสิ่งพิมพ์ หลายฉบับคงจะได้พบคำกับว่า "ยิก" กันบ้างแล้ว โดยเฉพาะในช่วงที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเดินทางลงไปภาคใต้


 


คำว่า "ยิก" เป็นภาษาท้องถิ่นของคนปักษ์ใต้ ความหมายโดยทั่วไปมักแปลว่า "ไล่"   ไม่ได้เป็นคำหยาบแต่อย่างใด แต่มักใช้กับการไล่สัตว์ เช่น "ยิกไก่ที่เขี่ยต้นดีปลี" นอกจากนี้อาจแปลว่า "ต้อน" ก็ได้เช่น "ยิกวัวเข้าคอก" หรืออาจมีความหมายถึง "การวิ่งไล่กัน"  เช่น "มึงยิกกูให้ทัน"  เป็นต้น


 


ปรากฏการณ์ที่ภาษาท้องถิ่นคำหนึ่งได้เป็นที่รู้จักและเข้าใจของคนทั่วประเทศ (รวมทั้งชาวต่างประเทศอย่างคุณแอนดรู บิกก์ นักจัดรายการทางโทรทัศน์)  ในเวลาอันรวดเร็วนับว่าเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจมาก


 


ความจริงคำว่า "ยิก" ได้ถูกกลุ่มคนเล็กๆนำไปเขียนเป็นคำขวัญบนเวทีพันธมิตรฯที่ว่า "ยิกทักษิณ กู้ชาติ กู้ประชาธิปไตย" แต่ได้แพร่กระจายและส่งผลกระเทือนไปสู่คนจำนวนมากได้อย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ถึงขนาดนี้   นักสังคมศาสตร์เรียกปรากฏการณ์เช่นนี้ว่า "กฎของคนหยิบมือเดียว (Law of the Few)"


 


ท่านขยายความว่า "สิ่งเล็กๆสามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้เสมอ" เหตุการณ์สำคัญๆ ของโลกมักเกิดมาจากคนจำนวนหยิบมือเดียว ในสังคมทั่วไปคนที่ตื่นรู้ก่อนคนอื่นมักจะมีประมาณเพียง 2.5% ของคนทั้งหมดเท่านั้น คนกลุ่มนี้จะทำหน้าที่ปลุกให้คนอีก 13.5% ตื่นตาม แล้วก็ปลุกกันต่อๆกันไปอีก 68% แต่ในที่สุดจะมีพวกที่ไม่ยอมตื่นอีกประมาณ 16%   หลงเหลืออยู่ในสังคม ในจำนวนนี้รวมอดีตนักจัดรายการโทรทัศน์ตอนเช้าๆด้วย


 


เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และ "ปรากฏการณ์สนธิ" ก็เข้าข่ายในกฎของคนหยิบมือเดียว ในครั้งหลังนี้เริ่มต้นจากคุณสนธิ ลิ้มทองกุล สู่องค์กรต่างๆ สู่อาจารย์และนักศึกษาในมหาวิทยาลัย ล่าสุดกำลังลามไปสู่นักเรียนมัธยมปลายและมัธยมต้น   ไม่แน่นะครับอาจจะลามไปถึงเด็กอนุบาลในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้  


 


เพื่อนคนหนึ่งเล่าให้ผมฟังว่า ทารกอายุยังไม่ถึง 2 ขวบที่กำลังดูดนมยังพยักหน้าตามเมื่อแม่ของเธอร้องขึ้นมาว่า "ทักษิณ ออกไป"


 


การที่เราเข้าใจการมีอยู่ของ "กฎของคนหยิบมือเดียว (Law of the Few)" ย่อมเป็นกำลังใจให้กับคนทำงานทางสังคมที่อยู่เพียงหยิบมือเดียว แต่ยึดถือธรรมะและผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้งเป็นอย่างยิ่ง   ไม่ว่าท่านทักษิณจะอ้างคะแนนเสียงสักกี่ล้านเสียงก็ตาม


 


น่าดีใจกับปรากฏการณ์นี้เป็นอย่างยิ่ง


ไชโย ๆ ๆ


 


ทีนี้เราลองมาทำความเข้าใจกับทฤษฎีทางฟิสิกส์กันบ้าง  ผมจะกล่าวอย่างง่ายๆ ไม่มีศัพท์แสงที่ยุ่งยากให้ปวดหัวเล่น และทุกท่านสามารถทำการทดลองได้ด้วยตนเอง


 


อุปกรณ์การทดลองมีเพียงอย่างเดียว คือไข่ 2 ฟอง ฟองหนึ่งเป็นไข่ดิบ อีกฟองหนึ่งเป็นไข่ต้มสุกแล้ว นำไข่ทั้งสองฟองมาวางบนโต๊ะที่มีพื้นเรียบและลื่นพอสมควร


 


การทดลองที่หนึ่ง  ใช้นิ้วชี้แหย่ไข่เบาๆ ทีละฟอง แล้วเฝ้าสังเกตการเคลื่อนที่ของไข่  ถ้าเป็นไข่สุก เมื่อเราแหย่เพียงเบาๆ มันก็เคลื่อนที่ได้ แต่ไข่ดิบ ถ้าเราแหย่เบาๆ มันจะมีการขยับเล็กน้อยแล้วกลับมาที่เดิมอีก  เราต้องแหย่แรงกว่าเดิมไข่ดิบจึงจะเคลื่อนที่ไปได้


 


การทดลองครั้งนี้สอนเราว่า "ไข่ดิบหรือไข่ที่มีชีวิตจะเคลื่อนตัวได้ยาก นักฟิสิกส์เขาอธิบายว่าเพราะไข่ที่มีชีวิตจะมีความเฉื่อยหรือความขี้เกียจอยู่ในตัวมากกว่าไข่สุก ไข่ดิบหรือที่มีชีวิตมักจะต่อต้านการเปลี่ยนแปลงในระยะแรกๆ เสมอ"


 


ต่อไปเป็นการทดลองที่สอง นำไข่ทั้งสองฟองเดิมมาหมุนทีละใบบนโต๊ะ ทีละฟอง  อย่าหมุนให้แรงเกินไปเพราะกลัวไข่จะตกจากโต๊ะต้องเดือดร้อนเช็ดถูกันอีก  ในขณะที่ไข่กำลังหมุน ใช้ฝ่ามือแตะไข่เบาๆ เพื่อให้ไข่หยุดหมุน จากนั้นก็รีบยกฝ่ามือออกทันที แล้วสังเกตอาการ จะพบว่า


 


ไข่สุกจะไม่ยอมหมุนต่อเมื่อเอาฝ่ามือออกไปแล้ว  แต่ไข่ดิบจะหมุนต่อไปครับ


 


การทดลองนี้สามารถเปรียบเปรยได้ว่า คนที่ตื่นรู้และสนใจปัญหาของบ้านเมืองแล้ว จะตื่นต่อไป ใครมาห้าม ใครมาหยุดก็จะไม่ยอม


 


จากการทดลองทั้งสองนี้ สามารถนำไปเปรียบเทียบกับการเคลื่อนตัวของรถจักรยานยนต์และรถสิบล้อได้  เราต้องเปรียบเทียบเพราะทำการทดลองยาก


 


รถจักรยานยนต์จะออกเคลื่อนตัวหรือจะหยุดก็สามารถจะทำได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายกว่า  แต่รถสิบล้อจะออกตัวก็ช้า แต่เมื่อออกตัวไปแล้วจะหยุดก็ลำบากอีก เพราะรถสิบล้อมีความเฉื่อยหรือขี้เกียจที่จะหยุด


 


เปรียบได้กับคลื่นมวลมหาชนที่กำลังเกิดขึ้นในการ "ยิกทักษิณ" ในขณะนี้ซึ่งนับวันจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างที่หลายคนคิดไม่ถึง   จะหยุดหรือจะห้ามไม่ให้เคลื่อนก็คงลำบากเสียแล้ว


 


ความจริงแล้ว ความไม่พอใจต่อ "ระบอบทักษิณ" ได้ก่อตัวเพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดได้เปลี่ยนไปสู่คุณภาพใหม่ คือรับไม่ได้และหมดความชอบธรรมอีกต่อไปกับการขายหุ้น 7 หมื่น 3 พันล้านบาทอย่างซ่อนเงื่อน


 


ถ้าเป็นพระภิกษุ  พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ปาราชิกไปแล้ว แม้ท่านจะยุบสภาแล้วกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีใหม่ก็ไม่ได้ เพราะพระสงฆ์ที่ปาราชิกแล้วจะบวชใหม่ไม่ได้


 


บทความนี้นอกจากจะให้กำลังใจกับกระบวนการของพันธมิตรทั้งหลายให้เติบใหญ่ต่อไปแล้ว ยังเป็นการเตือนสติให้กับ พ.ต.ท. ทักษิณไปด้วยในตัว


 


สุดท้ายที่อยากจะเชิญชวนพลังประชาชนให้ช่วยกันระวังอีกอย่างก็คือว่า หลังจากพ้นยุคทักษิณไปแล้ว เราไม่ควรจะหยุดการเคลื่อนไหวกันง่ายๆ  แต่ต้องทำหน้าที่ปฏิรูปการเมืองกันต่อไป อย่าให้ประชาชนต้องกลับมาเฉื่อยชาเหมือนกับหลังจากกระบวนการ "ธงเขียว" ครั้งก่อนเป็นอันขาด


 


คราวนี้เราช่วยกันหามาตรการให้ชัดเจนขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้คนไทยมีที่ยืนอย่างมีศักดิ์ศรีบนพื้นแผ่นดินแม่ของตนเอง ไม่เป็นขี้ข้าต่างชาติที่มีกลุ่มทุนผูกขาดเป็นผู้ชักนำเข้ามาอีกต่อไป