Skip to main content

การจากไปของกนกพงศ์ ข่าวเศร้าที่มาตามคลื่นเสียง

คอลัมน์/ชุมชน


...วางหูโทรศัพท์ลง แล้วปาดน้ำตา


ฉันรู้ข่าวการจากไปของนักเขียนที่ฉันหลงรักเรื่องเล่าเรื่องแล้วเรื่องเล่าของเขา กลางดึกคืนวันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 49 แน่นอน มันล่าช้ากว่าเวลาจริงเกือบหนึ่งวัน แต่ไม่ว่าจะเร็วหรือช้า เขาก็ได้จากไปแล้ว ไปไกลลิบลับ เกินกว่าจะจินตนาการจับต้องได้


ฉันรู้จักตัวหนังสือของเขามากกว่าตัวเขามากนัก เราไม่เคยได้พูดคุยกันแท้จริง เคยเพียงโต้ตอบทางอีเมล์ไม่กี่ฉบับ เพราะฉันในวันที่ดูแลร้านหนังสือ ได้เขียนเมล์ไปหา ชื่นชมเขา และเชิญให้เขา ให้เกียรติแวะมาทักทายนักอ่านเชียงใหม่บ้างหากสะดวกในวันข้างหน้า และเขารับปากด้วยน้ำเสียงรื่นรมย์ว่าคงมีสักวันที่เราจะได้เจอกัน


ฉันหวังเสมอมาว่าเราจะได้เจอกัน


ชั่วชีวิตหนึ่งของฉันคงได้เจอเขาสักครั้งหนึ่ง...ไม่ว่าเมื่อไรก็ตาม


แต่แล้วข่าวเศร้าของเขา ทำให้ทุกสิ่งกลายเป็นภาพฝัน- -ค้างเติ่งอยู่บนท้องฟ้า ใช่! บนท้องฟ้า...เพราะฉันเชื่อว่า เขาคงได้ขึ้นสวรรค์ ไปอยู่กับสิ่งดีงาม ผู้คนดีงามที่เคยสร้างสรรค์โลกให้สวยงามแม้จะบอกเล่าผ่านความเจ็บปวดนานัปการก็ตาม ก็เรื่องสั้น และงานเขียนของเขาไงเล่า ที่คอยฉายภาพของผู้คนในโลกใบหนึ่งที่ห่างไกลตัวเราด้วยฉากและเหตุการณ์ แต่ใกล้ชิดเหลือเกินด้วยอารมณ์ ความรู้สึกร่วมของมนุษย์ ที่ยังคงมีลมหายใจรวยริน หนักอึ้งต่อการงาน และชีวิต และบ่อยครั้งฉันได้ยิ้มไปกับภาพของใครบางคน เหมือนเราได้เฝ้าดูตัวละครโลดแล่นไปในโลกคู่ขนานไปกับชีวิตของเรา หายใจด้วยจังหวะที่ใกล้เคียงกันกับเราผู้หาเช้ากินค่ำในแต่ละวัน แต่ละค่ำคืน


กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ ผู้ยืนยันวิถีนักเขียน ด้วยการทำงานหนัก ต่อเนื่อง จริงจัง และไม่เคยท้อถอย นักเขียนผู้บันทึกเรื่องราวความเป็นไปในฉากมุมที่เขาสัมผัส ตัวหนังสือของเขาโลดเต้นในแต่ละหน้ากระดาษเหมือนมีเลือดเนื้อมาให้เราได้จับต้อง ติดตามอย่างไม่รู้เบื่อหน่าย


เขาจากไปแล้ว ไกลแสนไกล...


ชีวิตคืออะไรกันหรือ ฉันเฝ้าถามตัวเองทุกครั้งที่ได้ยินข่าวการจากไปของคนที่ดีงามหลายต่อหลายคน


แน่นอน! แม้คนชั่วร้ายก็ต้องจากไปไม่ต่างกัน แต่คนชั่วร้ายบางคน ยืนยันจะยิ่งใหญ่ในวิถีคดโกงอย่างไม่รู้สึกรู้สาในความไม่เที่ยงของชีวิต


คนชั่วร้ายคนนั้นคงนึกว่าใต้ท้องฟ้านี้ เขาพร้อมด้วยครอบครัวและบริวารจะครอบครองได้ทุกตารางนิ้วไม่เว้นแม้แต่ด้านในหัวใจคน


ไม่เลย ไม่มีอะไรแน่นอนใช่ไหม...เขาคงยังไม่ตระหนัก


บันทึกหุบเขาฝนโปรยไพร, หรือบันทึกท้ายเล่มในยามเช้าของชีวิต มักทำให้ฉันไขว้เขวว่าฉันรู้จัก คุ้นเคยกับกนกพงศ์ และทึกทักเอาว่า หากได้พูดคุยกันคงสนุกอย่างที่นักเขียนหลายท่านที่สนิทสนมกับเขาบอกเล่าให้ฉันฟังว่าเขาเป็นคนขี้เล่น สนุกสนาน ช่างอำ และใจดี


ชั่วชีวิตหนึ่ง ฉันเคยคิดไว้เช่นนั้นจริงๆ


ชั่วชีวิตหนึ่งฉันคงมีโอกาสได้พูดคุยกับเขา เราคงได้พบเจอกันสักครั้ง


แต่มันผ่านไปแล้วโอกาสสักครั้งหนึ่งในชีวิต และมันจะไม่มีทางมาถึงอีกต่อไป


ฉันยกหูโทรศัพท์อีกครั้ง พูดคุยกับคนที่รัก ซึ่งหลายต่อหลายคนห่างไกลด้วยระยะทาง บอกเขาว่า ฉันรักพวกเขา และไม่นานนักเราคงได้พบเจอกัน....