Skip to main content

ลำน้ำโขง ผู้คน และการเดินทาง…

คอลัมน์/ชุมชน

"ลำน้ำโขง" นั้นยิ่งใหญ่อลังการนัก…
ดูจะไม่เกินเลย ที่ว่า..
เพียงแค่ระลึกถึง ก็แทบมิอาจสรรหาถ้อยคำใด ๆ มาพรรณนา ให้สาแก่ใจ…


ใครไม่เคยย่างเหยียบไปเลียบเลาะ หรือไม่เคย "ขึ้น-ล่อง" ผ่าน
ไม่สามารถจินตนาการได้ฉันใด…
คนเคยแค่ "เยี่ยมยาม" หรือไปเยือน แม้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็สุดจะเค้นคำ มาเรียงร้อยให้ "สมความ"
เฉกเช่นกัน…


………….. ………….. …………..


ในชั่วชีวิตหนึ่ง บางคนอาจฝันใฝ่ที่จะประทับ รอยมือ-รอยเท้า ไว้บน "ที่สูง" ดัง "นักปีนป่าย" เสาะแสวง "ยอดสุด" ด้วยการมุ่งสู่ "สักการมาตา" ณ ดินแดนเหนือหลังคาโลก
ขณะบางคนมุ่ง "ดำดิ่ง" ลงสู่ "หุบเหวใต้ห้วงน้ำ"
หวังจะพบ "บางสิ่ง" ที่ตน "แสวงหา" มาชั่วชีวิต…


บ้างก็ได้ข้องแวะ บ้างก็ไม่เคยเฉียดกราย…
ด้วยว่า "บางอย่าง" นั้นซับซ้อนนัก เพียงกายสัมผัส "ภายนอก" และ/หรือ การชี้วัดเชิงปริมาณ เอาเข้าจริงก็ไม่อาจเติมเต็ม "ด้านใน" ได้เพียงพอ
ต่อให้ทุ่มกายเทใจสักเพียงใดก็ตาม…


จึงไม่น่าแปลกใจ ที่ "บางคน" สามารถจำเริญใน "ธนสาร" เป็น "เศรษฐีมหาเศรษฐี" แต่ "หัวใจ" กลับ "กลวงเปล่า" เอาแต่ตีโพยตีพาย โวยวายดิ้นรนกับตนเองและคนรอบข้าง ตะโกนโหวกเหวกอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวเด็กร้องหา "ของเล่น" ก็มิปาน


ได้ "กินบ้านกินเมือง" แล้วก็เถอะ
พอเสียที่ไหน…


………….. ………….. …………..


จึงน่าประหลาด ที่ "บางคน" ขอเพียงได้ "รัก" และ "รักษ์"
ก็ดูจะมี "ความสุข"


………….. ………….. …………..


ไม่กี่วันที่ผ่านมา "กลุ่มรักษ์เชียงของ" ซึ่งนำโดย "ครูตี๋"- - นิวัติ ร้อยแก้ว และเพื่อนพ้องน้องพี่ ร่วมแรงร่วมใจ ชักชวนใครต่อใครให้ "รำลึก" ถึงคุณูปการแห่ง "น้ำของ" หรือ "ลำน้ำโขง" ขึ้นมาอีกครั้ง หลังจาก "จัดงาน" เกี่ยวกับสายน้ำแห่งนี้มาแล้วหลายคราว


เหลียวหลังก็แล้ว เหลียวหน้าก็แล้ว หันซ้ายหันขวา แลหน้าแลข้าง "รัฐ" หรือ "รัฐบาล" ไอ้ชนิด "ตัวเป็น ๆ " ก็ไม่เคยดูดำดูดี ให้สมกับความตั้งอกตั้งใจของครูเลยสักที


จัดงานกี่ครั้งกี่หน พ้นไปจากเพื่อนมิตรในแวดวงนักข่าว-สื่อมวลชน นักวิชาการ (ตีนติดดิน) ตลอดจนสมาชิกวุฒิสภาคนกันเอง และเอ็นจีโอหน้าเดิม ๆ ไม่กี่คน..แล้ว "ฯพณฯ" ผู้ท้วยส์ผู้แทนและรัฐมนตรีทั้งหลาย หน้าไหนบ้างที่เงี่ยหูฟัง "ครูตี๋กับเพื่อน" อย่างมีมนสิการ


จะมีใครในทำเนียบ ในรัฐสภา สักกี่คน ที่พอจะซึมซับรับทราบบ้างว่า ในบรรดา "ลูกน้ำของ" ทั้งหลาย รุ่นต่ำกว่า ๕๐ ปีลงมา จะหาใครรู้จริงรู้ลึก และอุทิศตัวอุทิศใจ ให้ "น้ำของ" เท่ากับชายร่างผอมผมยาว ที่ชื่อ "นิวัติ ร้อยแก้ว" คนนี้บ้าง


การแหกปากหาเสียง หรือไหว้กราดทั้งวัวควายหมูหมากาไก่เพื่อ "ขอคะแนน" นั้นไม่ใช่เรื่องยาก ไม่เชื่อรอดูต้นปีหน้า ๒๕๔๘ ก็จะได้เห็น ได้ฟัง และได้ชม


แต่การที่จะเสียสละแรงกายแรงใจปกปักรักษา "ทรัพยากร" ของ "ส่วนรวม" เอาไว้ โดยไม่ได้เลียริมฝีปากพลางแบมือขอเงินใครก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนักเช่นเดียวกัน


คนที่ "ทำได้" และ "ได้ทำ" จึงควรที่จะได้รับ "อะไรต่อมิอะไร" ที่มากไปกว่า "มุทิตาจิต" บ้างมิใช่หรือ…


การที่รัฐและใครต่อใคร นอกจากจะไม่ดูดำดูดีกับสิ่งที่ "ครูตี๋" กระทำ มิหนำซ้ำยังทะลึ่งไปทำสัญญาทาส ทั้งการระเบิดเกาะแก่งในลำโขง ทั้งการกำหนดเขตเศรษฐกิจพิเศษ ทั้งการก่อตั้งนิคมอุตสาหกรรม ทั้งการสร้างท่าเรือน้ำลึก หรืออะไรต่อมิอะไรอีกจิปาถะ นอกจากจะมือไม่พายแล้ว จึงเป็นการเอาส้นเท้าราน้ำโดยแท้…


หรือว่าคนเหล่านั้นเก็บ "สมอง" ไว้ในส่วนที่กำลังใช้ "ราน้ำ"…??
น่าจะจับไปให้ "ช่างทาสี-เจ้าของบัตรเอทีเอ็ม" สำเร็จโทษเสียนี่กระไร…


………….. ………….. …………..


คราวหนึ่ง ในการเดินทางหลายวันหลายคืนผ่าน "ลำน้ำของ" กลางแดดสายอันอบอุ่น "ครูตี๋" เคยให้สัมภาษณ์คนทำวารสาร "เสขิยธรรม" บางคนไว้ว่า "…การแสวงหาความร่ำรวยนั้นไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรหรอกครับ เพียงแค่เราลดคุณธรรมลงไปสักข้อสองข้อ ไม่นานก็รวย…" น้ำเสียงและรอยยิ้มจริงใจที่ติดตามมา จาก "หนุ่มใหญ่แห่งลำน้ำของ" คนนี้ฟังดูเรียบง่ายและ "งดงาม"


เช่นเดียวกับวลี "งดงาม" ที่เขาชอบพูดจนติดปาก


แต่เชื่อว่า "คำพูด" เช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ "พูดง่าย" "ทำง่าย" "ฟังง่าย" หรือ "ได้ยินได้โดยง่าย" แต่อย่างใด ยิ่งจะหาคน "มือไม่ถือสาก ปากและใจถือศีล" มาพูดให้ฟังด้วยแล้ว กลับคล้ายจะยิ่งยากเข้าไปใหญ่


แต่นั่นดูจะเป็นฉากเล็ก ๆ เมื่อเทียบกับหลายสิ่งหลายอย่างที่ "กลุ่มรักษ์เชียงของ" และ "กลุ่มเสขิยธรรม" ตลอดจนองค์กรพันธมิตรอื่นๆ เคยกระทำเกี่ยวกับ "ลำน้ำโขง" ร่วมกันมา ไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง "ธรรมยาตรา" ล่องและทวนสายน้ำ การจัดเวทีเสวนาอภิปราย หรือการจัดพิมพ์เอกสารและหนังสือเล่ม ฯลฯ


ด้วยความเชื่อมั่นร่วมกันว่า การแก้ปัญหาทั้งหลายทั้งปวง สามารถแก้ไขได้ด้วยพลังของคนเล็กคนน้อย ด้วยหลักศาสนธรรม สันติวิธี และการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงของผู้คนในชุมชน-ในท้องถิ่น ผสานเข้ากับพันธมิตร ตลอดจนภาคส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง


………….. ………….. …………..


"ลำน้ำโขง" อันยาวไกลและใหญ่ยิ่ง ยังคงทอดสายคดเคี้ยว รอคอยการแสวงหาและการค้นพบ หรือการเกี่ยวข้องสัมผัส ด้วยวิธีการและมุมมอง ตลอดจนศรัทธาและความเชื่อนานัปการ


เกาะแก่งสูงตระหง่าน และหินผาชะเงื้อมภู ตลอดจน หุบเหว-ซอกหลืบ ใต้ลำน้ำเชี่ยวกราก ยังคงสงบนิ่งท่ามกลางสายลม สายฝน แสงแดด และกาลเวลา…


ฝูงปลาน้อยใหญ่ ฝูงนกประจำถิ่น หรือฝูงนกอพยพในครู่ยามของฤดูกาล ตลอดจนสัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยง หรือกระทั่งผู้คนในชุมชน ทั้งระดับบ้าน เมือง หรือมหานคร ยังคงเกี่ยวข้องและผูกพันกับสายน้ำใหญ่แห่งนี้


หลายคนและหลายสายตา ยังคงจดจ้องจะ "กลืนกิน" อย่างตะกรุมตะกราม และมูมมามเกินกว่าจะเรียกว่า "เสพ-บริโภค" ตามปกติธรรมดา


ขณะที่อีกหลายหัวใจ ก็ได้แต่เฝ้ามองอย่างหวงแหน โดยไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่าการ "ทะนุถนอม-รักษา-ดูแล" ด้วยสองมือที่นับวันจะอ่อนล้า…


………….. ………….. …………..


บอกเล่ามาตั้งแต่ต้นเพื่อจะบอกในที่สุดว่า ระหว่างวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๔๗ ถึง ๒ มกราคม ๒๕๔๘ (สองปีเชียวนะ) "กลุ่มเสขิยธรรม" จะจัดเดินทาง "ทวนกระแส-ย้อนสายน้ำโขง" ขึ้นอีกครั้ง


ช่วยรักษาอะไรไม่ได้มาก ได้ชวนกันไปดู ไปชม ไปสัมผัส แล้วกลับมาเล่าสู่กันฟังก็ยังดี…


เริ่มจากท่องเที่ยวมหานครเวียงจันทน์ เช้าและบ่าย ๒๕ ธันวาคม


เช้า ๒๖ ธันวาคม ร่วมฉลอง "หอสมุด ๑๐๐ ปี มหาสิลา วีรวงศ์" ณ เรือนไผ่พันกอ (ริมฝั่งน้ำงึม) นครเวียงจันทน์ ฟังการเสวนาระหว่าง ส. ศิวรักษ์ ปัญญาชนสยาม กับคุณดวงเดือน - คุณดารา บุตรีท่านมหาสิลา วีรวงศ์ ในมุมคิด-มุมมอง ทางประวัติศาสตร์ สังคม และวัฒนธรรม


(พิพิธภัณฑ์ผ้าพื้นบ้าน ล้านนา-ล้านช้าง ณ เรือนไผ่พันกอ นั้น ใครที่เป็น 'แฟนพันธุ์แท้' ผ้าทอมือ ควรหาโอกาสไปชื่นชมเสียสักครั้ง..)


แล้วเดินทางทวนสายน้ำ พักริมฝั่งโขง ๒ วัน ๓ คืน ก่อนเข้าสู่บรรยากาศ "เมืองมรดกโลกที่ยังมีชีวิต- -หลวงพระบาง" อีก ๒ วัน ๒ คืน


จากนั้นออกเดินทาง สู่บ้านหาดเต๊อะ แขวงอุดมไชย เพื่อร่วมบายศรีสู่ขวัญ "ฉลองศักราชใหม่ ๒๕๔๘" พร้อม ๆ ไปกับการ "ฉลองหอกลองธรรมยาตรารักษาลำน้ำโขง" ณ วัดหาดเต๊อะไทยธรรม ซึ่งคณะธรรมยาตรารักษาลำน้ำโขงครั้งที่ ๑-๒ ร่วมกันบูรณะไว้


ก่อนจะค้างคืนริมฝั่งโขงอีก ๑ คืน แล้วจบการเดินทางที่ "บ้านครูตี๋-นิวัติ ร้อยแก้ว" ณ อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ในบ่ายวันที่ ๒ มกราคม ๒๕๔๘ ซึ่งหากใครจะค้างคืนต่อ เพื่อเรียนรู้ "ความงดงามแห่งสายน้ำของ" จากปากครูตี๋เอง ก็สุดแท้แต่อัธยาศัย


รายได้จากการเดินทางในครั้งนี้ ส่วนหนึ่งจะใช้ในการบูรณะ เปลี่ยนหลังคาสังกะสี "หอฉัน" วัดหาดเต๊อะไทยธรรม เป็นกระเบื้องลอนคู่ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่พระภิกษุสามเณรและคณะพุทธบริษัท ในการประกอบศาสนกิจ ต่อไป


การ "ทวนกระแส-ย้อนสายน้ำ" ครั้งนี้ เดินทางด้วยเรือท่องเที่ยวขนาด ๔๐ ที่นั่ง แต่รับผู้ร่วมเดินทางจำกัดเพียง ๒๕ ท่านเท่านั้น


ผู้อ่านท่านใดสนใจก็ลองติดต่อสอบถามได้จาก "ฝ่ายประสานงานกลุ่มเสขิยธรรม" ๐๖ - ๗๕๗ - ๕๑๕๖ หรือ ๐๒ - ๘๖๓ - ๑๑๑๘ (คุณอาภาวดี)


………….. ………….. …………..


ผู้เขียนเองเพิ่งฟื้นจากโรคอีสุกอีใส ที่มาเป็นเอาเมื่อล่วงเข้าวัยกลางคนเสียแล้ว


จึงขออนุญาตผู้อ่าน (และท่านบรรณาธิการ) เขียนถึงเรื่องดี ๆ และกิจกรรมดี ๆ พอให้เป็นบุญเป็นกุศล และความเจริญกายเจริญใจ


ขออนุญาตไม่กล่าวถึงนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีของบางประเทศเสียคราวหนึ่ง
กายเพิ่งฟื้นไข้ ใจเลยไม่อยากข้องแวะเรื่องอัปมงคล