เยาวมิตร
คอลัมน์/ชุมชน
1
ช่วงที่ฉันขลุกอยู่แต่ในห้อง เพราะตั้งใจจะเขียนนวนิยายสักเล่มนั้น มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่ฉันได้พบหน้าบ่อย ๆ คือแม่บ้านจอมเกเรที่มักจะเก็บเอารองเท้าของฉันที่วางไว้หน้าห้องไปทิ้งเสียเสมอในเวลาเช้าที่เธอมาทำความสะอาดบริเวณทางเดิน ซึ่งบันดาลความหงุดหงิดให้ฉันจนแทบทนไม่ได้
นอกจากนี้ยังมีเพื่อนบ้านห้องติดกันที่อารีอารอบ ที่มักจะมีสิ่งของมาแบ่งปันให้ฉันเสมอ บางครั้งก็ชวนให้ฉันทานอาหารเย็นด้วยกัน ซึ่งฉันก็ตอบแทนเขาด้วยการสอนการบ้านให้ลูกชายแสนดื้อของเขาที่เรียนชั้นประถม 5
เพื่อนบ้านที่ว่านี้ทำงานเป็นอาจารย์สอนการนวดตัวและนวดเท้าอยู่วัดโพธิ์ มีรายได้ดีกว่าคนที่เรียนจบปริญญาโทเสียอีก เป็นเพราะห้องฉันเปิดประตูอ้าไว้เสมอในยามที่ฉันอยู่ เพื่อนบ้านจึงมักเดินเข้ามาและแวะมาสนทนาเรื่องสัพเพเหระกับฉัน
เพื่อนบ้านเป็นคนต่างจังหวัด ที่แม้จะมาอยู่กรุงเทพมหานครหลายปีก็ยังคงไว้ซึ่งวัฒนธรรมของคนชนบทเต็มตัวซึ่งเห็นได้ชัดเจนที่สุดผ่านอาหารการกิน สำเนียงการพูดและบุคลิกอื่น ๆ ฉันสามารถเห็นบุคลิกแบบนี้ได้จากบุคคลซึ่งเติบโตขึ้นในชนบทเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม คงจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กลายมาเป็นเพื่อนอย่างแท้จริงของฉันในยามที่ฉันหงอยเหงาและอ้างว้างอย่างที่สุด, เด็กน้อยอายุขวบกว่า ๆ ซึ่งพ่อแม่ต้องออกไปทำงานตั้งแต่เช้าและจะกลับมาในตอนค่ำ โดยทิ้งไว้ให้อยู่กับยายซึ่งพักอยู่ถัดจากห้องของฉันไปสองห้อง, ได้กลายมาเป็นเพื่อนที่ช่วยบรรเทาความโดดเดี่ยวอันร้ายกาจลงไปได้บ้าง
2
หนูน้อยตื่นก่อนฉันเสมอ โลกของหนูน้อยเริ่มต้นในเวลาเช้าตรู่ ขณะที่ฉันนอนตื่นสายเป็นกิจวัตร พอตื่นแล้วหนูน้อยก็มักจะเดินมาเคาะห้องฉันและร้องเรียกชื่อฉันด้วยเสียงอันดังเพื่อให้ฉันเปิดประตูออก ทีแรกยายของหนูน้อยจะดุเมื่อเห็นเช่นนั้น เพราะกลัวว่าจะเป็นการรบกวนฉัน แต่เมื่อฉันรับรองว่าฉันรู้สึกดีมากที่มีเด็กมาปลุก ยายจึงปล่อยให้เจ้าหนูมาเคาะห้องเรียกฉันเกือบทุกเช้า
เมื่อฉันเดินงัวเงียมาเปิดประตูออก ฉันจะได้พบใบหน้ากลมแป้นราวดวงจันทร์ของหนูน้อยยืนยิ้มอยู่อย่างสดใส, สดใสเหมือนรุ่งอรุณของทุก ๆ วัน
หนูน้อยทำท่ากระโดดโลดเต้นอย่างร่าเริงเมื่อเห็นฉัน เรียกชื่อฉันซ้ำอีกครั้งคล้ายดั่งเป็นคำทักทายของเช้าวันใหม่ และจะเดินเข้ามาในห้องของฉันโดยไม่ต้องรอให้เชื้อเชิญ
เจ้าหนูเล่นทุกอย่างที่เล่นได้ภายในห้องพัก ไม่ว่าจะเป็นปากกา หม้อหุงข้าว ไฟแช็ค หนังสือ พวงกุญแจหรือกีตาร์ โดยเฉพาะกีตาร์ซึ่งเป็นสิ่งโปรดปรานอันดับต้น ๆ ของหนูน้อยเลยก็ว่าได้ กระทั่งสิ่งที่ซุกอยู่ในซอกหนูน้อยก็จะไปคุ้ยออกมาเล่นได้ทั้งนั้น
คงเป็นพรสวรรค์พิเศษของวัยเด็กที่สามารถเนรมิตทุกสิ่งอย่างให้กลายเป็นของเล่นได้ และฉันก็ได้แต่มองด้วยความอัศจรรย์ใจ
แต่สิ่งที่หนูน้อยชอบมากที่สุดเห็นจะเป็นคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีชิ้นนี้สามารถดึงดูดความสนใจของหนูน้อยเอาไว้ได้อยู่หมัด มีอะไรต่อมิอะไรมากมายในคอมพิวเตอร์ที่มัดใจเด็ก ๆ ได้ เมื่อได้นั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ เจ้าหนูจะเลิกสนใจทุกสิ่งอย่างและเฝ้าแต่จ้องมองภาพในจอคอมพิวเตอร์เพียงอย่างเดียว
ความสดใส และร่าเริงราวผีเสื้อของหนูน้อยสามารถเอาชนะใจฉันและเราก็กลายมาเป็นเพื่อนกันในเวลาต่อมา
3
ฉันไม่เคยห้ามปราม หรือออกปากว่ากล่าวเลยไม่ว่าหนูน้อยจะหยิบจับอะไรออกมาเล่น ฉันจะปล่อยให้เจ้าหนูเล่นจนเบื่อและเลิกเล่นของชิ้นนั้น ๆ ไปเอง นอกเสียจากว่าสิ่งที่เจ้าหนูเล่นจะยังความเจ็บแสบแก่หนูน้อย เป็นต้นว่า น้ำร้อนที่ฉันต้มไว้ เตารีดร้อน ๆ หรือมีดที่อาจบาดเนื้อได้
สิ่งของในห้องเช่นแก้วน้ำ หรือแผ่นดิสก์ จึงเสียหายไปหลายชิ้นเพราะฝีมือของเจ้าหนู ซ้ำบางครั้งหนูน้อยคลานขึ้นไปบนเตียง กระโดดโลดเต้นอยู่บนนั้น ทำท่าร้องเพลงแบบที่เคยเห็นในโทรทัศน์ แล้วสุดท้ายก็ฉี่ทิ้งไว้หน้าตาเฉยโดยที่ฉันไม่ทันสังเกต
บางครั้งเจ้าหนูก็อ้อนฉันโดยการบอกให้ฉันอาบน้ำให้ เจ้าหนูจะเดินไปในห้องน้ำและบอกว่า "น้ำ" และทำท่าถอดเสื้อออก ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าการอาบน้ำให้เด็กนั้นเป็นความสุขอย่างหนึ่ง เจ้าหนูนั่งแช่อยู่ในกะละมังจนเบื่อ แล้วฉันก็พาไปให้ยายแต่งตัวให้
เมื่อถึงเวลากินข้าว ยายก็จะส่งเสียงร้องเรียกหนูน้อย เจ้าหนูจะพาฉันไปกินด้วย อาหารของหนูน้อยคือข้าวต้มเละ ๆ ส่วนยายนั้นกินข้าวเหนียวเยี่ยงคนอีสานทั่วไป เมื่อเห็นฉันนั่งเฉย เจ้าหนูจะคอยบอกให้ฉันกิน บอกให้ฉันตักข้าว
ความน่ารักของหนูน้อย ทำให้ฉันเผลอคิดไปว่าฉันควรจะมีลูกของฉันเองบ้าง...
4
หนูน้อยพูดได้เพียงไม่กี่คำหากแต่มีพัฒนาการที่รวดเร็วมากในการจดจำคำใหม่ ๆ และฉันจะสอนคำใหม่ ๆ ให้หนูน้อยหัดพูดอยู่เสมอ เป็นต้นว่า ดวงจันทร์ ดวงดาว นกพิราบ เครื่องบิน ฟุตบอล และคอยกระตุ้นให้เปล่งคำเหล่านี้ออกมาด้วยสำเนียงที่ไม่ชัด
เมื่อฉันพิจารณาไตร่ตรองถึงถ้อยคำที่ฉันได้สอนให้หนูน้อยพูดตาม ฉันจึงสำนึกขึ้นมาได้ว่าโลกทัศน์อันแห้งแล้งของผู้ใหญ่ได้แฝงมากับถ้อยคำเหล่านี้ด้วย และเมื่อเด็กโตขึ้นก็จะดำเนินรอยตามสิ่งที่ผู้ใหญ่เคยดำเนินมาผ่านโลกทัศน์ที่แฝงมากับภาษาซึ่งโดยมากแล้วน่ารังเกียจ แต่จะทำอย่างไรได้ เด็กจะเป็นอะไรได้เมื่อโตขึ้นนอกจากเป็นผู้ใหญ่! แต่เด็กควรจะเป็นผู้ใหญ่แบบไหน? ฉันคิดว่าตรงนี้เป็นคำถามที่สำคัญมาก
ฉันรู้สึกดีไม่น้อยที่มีเพื่อนเป็นเด็กและมีเด็กเป็นเพื่อน แต่เจ้าหนูเรียกฉันว่า "ครู" เพื่อนบ้านก็เรียกฉันว่า "ครู" หลายคนก็เรียกฉันว่า "ครู" อันเนื่องมาจากการที่ฉันช่วยสอนเด็กข้างห้องแสนดื้อให้ทำการบ้านนั่นเอง จนใครต่อใครในซอยนั้นพากันเรียกฉันว่า "ครู" และพากันเข้าใจว่าฉันเป็น "ครู" จริง ๆ และฉันก็ออกจะเขิน ๆ กับคำ ๆ นี้
5
อย่างไรก็ตาม ไม่ช้าไม่นานมานี้ หนูน้อยได้ย้ายออกจากอพาร์ตเม้นท์ไปอยู่บ้านใหม่เสียแล้ว พ่อของเจ้าหนูได้ซื้อบ้านจัดสรรไว้แถว ๆ ชานเมือง ในวันที่ครอบครัวของเจ้าหนูย้ายออกไปนั้น ในฐานะเพื่อนบ้าน ฉันช่วยขนของและพูดคุยกับพ่อแม่ของหนูน้อยอยู่นาน
ฉันรู้สึกโศกสลดเมื่อประจักษ์ว่าฉันอาจจะไม่ได้พบหน้าเพื่อนรุ่นเยาว์นี้อีก แต่ฉันก็รำลึกถึงเพื่อนผู้นี้อยู่เสมอ และความจริงก็คือ ฉันเชื่อว่าจะได้พบหน้าเพื่อนผู้นี้อีก หากว่าเราปรารถนาที่จะพบกัน.