Skip to main content

บ้านนี้..เมืองนี้

คอลัมน์/ชุมชน


ยิ่งใกล้สิ้นปี..ใกล้เลือกตั้ง บ้านนี้เมืองนี้ดูจะออกอาการพิลึกพิลั่นยิ่งขึ้นทุกที


ด้านหนึ่ง คือการโหมกระหน่ำ "ลด แลก แจก แถม" ทั้งทางตรงและทางอ้อมของรัฐบาล ไม่ว่าจะผ่านหน่วยงานด้านสาธารณูปโภค หรือหน่วยงานอื่น ๆ ที่ร้อยวันพันปีแทบจะไม่มี "แคมเปญ" อะไรสู่สาธารณะ วันดีคืนดี (หรือวันร้ายคืนร้าย ? ?) ก็ออกมาร่วมวง "พี่มีแต่ให้" กันยกใหญ่


ดูอย่างทางยกระดับนั่นปะไร จู่ ๆ บางคนก็เกิด "ไบรท์ ไอเดีย" ขึ้นมา ว่า..ราคาควรจะต่ำลง อย่างน้อยก็จนกว่าจะผ่านช่วงเลือกตั้งไปแล้ว


หรือการประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในหลายจังหวัด ทั้งที่ก่อนหน้านี้การเรียกร้องของผู้ใช้แรงงานแทบมิเคยได้รับการตอบสนองจากผู้รับผิดชอบใด ๆ เลย


ดังรายละเอียดที่ น.ส.พ.ผู้จัดการออนไลน์ รายงานเมื่อเวลา ๑๕.๒๐ น. วันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๔๗ ว่า..


"ครม." ไฟเขียว "ลดค่าทางด่วน" ดอนเมืองโทลล์เวย์ จาก 53 บาทเหลือเพียง "20 บาทตลอดสาย" ชี้ไม่ใช่การแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาสัมปทาน แต่เพื่อแก้ปัญหาการจราจรหนาแน่น ย้ำเส้นทาง "ดอนเมือง-หลักสี่" ให้คงอัตราเดิมที่ 13 บาท ยืนยันเริ่มต้นทดลองตั้งแต่ "พรุ่งนี้" จนถึง 22 มีนาคมนี้"
(ข้อมูลจาก http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx ?NewsID=9470000099815)


และ… รายงานเมื่อ ๑๙.๔๓ น. วันเดียวกันว่า..
"ครม.ไฟเขียวแจกของขวัญปีใหม่ "ผู้ใช้แรงงาน"เพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศ-กทม. ปริมณฑล ยืนพื้น 175 บาทต่อวัน มีผล 1 ม.ค.48"
(ข้อมูลจาก http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx ?NewsID=9470000100055)


…อะไรจะประจวบเหมาะถึงเพียงนั้น ! !


ขณะอีกด้านหนึ่งก็คือ..วาทะดุเดือดเลือดพล่านของ "เถ้าแก่ใหญ่" ที่กระหน่ำซัดทั้งกับคู่ต่อสู้ทางการเมืองในสนามเลือกตั้ง และที่เลเพลาดพาด ข้ามชาติไปยึดโยง "เพื่อนบ้าน" มาร่วมวงไพบูลย์ในเหตุการณ์ต่าง ๆ เข้ามาอีก ทั้งเรื่อง "ไฟใต้" ที่เร่งสาดน้ำมัน จนลุกฮือกระพือโหมยิ่งขึ้น ทั้งนอกทั้งใน ทั้งไฟคารมและไฟสงคราม หรือก่อนนี้ที่ท่านเจ้าประคุณ เสนอหน้าออกไปกล่าวหา ว่า..หากปล่อยผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพบางคนออกมาจากที่กุมขัง เธอคนนั้นจะเป็นเหตุก่อความวุ่นวาย (ในบ้านเมืองขอเธอเอง ! !)


นี่ถ้าเป็นคนอื่นกระทำ พระเดชพระคุณคงเพิ่มข้อหา "ไม่รักชาติ" หรือไม่ก็ตั้งคำถาม ว่า "เป็นคนไทยรึเปล่า ?" เข้าให้เป็นแน่ ค่าที่บังอาจ "ชักน้ำเข้าลึกชักศึกเข้าบ้าน" โดยไม่จำเป็น



ที่ว่ามาข้างต้น ในส่วนที่เกี่ยวกับ "บางคน" และการกระทำ "ของเขา" หากไม่นับว่าเป็น "นิสัยเดิมเสริมใยเหล็ก" หรือเป็น "ธาตุแท้แก้ไม่ได้" แล้ว ก็นับได้ว่า ทั้งที่พูดเอง-สั่งการโดยตรง หรือเกี่ยวข้องโดยอ้อม ล้วนแต่เกิดขึ้นจากอาการ "ขาดวุฒิภาวะ" หรือ "ขาดสติสัมปชัญญะ" ของคนไม่รู้จักกาละเทศะโดยแท้


หากเป็น "ตาสี-ตาสา ยายมี-ยายมา" หรือเป็น "แม่ค้าปากตลาด" ก็คงไม่กระไรนัก แต่พอใส่หัวโขน สวมมงกุฎผุดชฎา- -อยู่ในตำแหน่งหน้าที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การงานซึ่งควรถือเป็นหน้าเป็นตา หรือเป็นตัวแทน กระทำการในนามประชาชนในชาติ ไอ้ที่จะมาพูดเอามัน เอาสะใจ อย่างเหลิงอำนาจ-เห่อวาสนา ก็ย่อมจะมิใช่วิสัย หรือมิอาจใช้เป็นบรรทัดฐานแห่ง "ความเป็นผู้นำ" ได้เลย


จริงอยู่ ที่บ้านเมืองกึ่งดิบกึ่งดีบางประเทศ หากผู้นำมีวาสนาบารมี "เป็นพิเศษ-พิสดาร"ฯพณฯ อาจมีรายการวิทยุส่วนตัวออกอากาศในวันและเวลาดีทุกสัปดาห์ (เอาไว้ระบายความในใจ หรือปลุกระดมมวลชนได้ตามอัธยาศัย) อาจจะจัดงานมหกรรมหาเสียงให้พรรคและสมุนบริวารของตนด้วยงบประมาณรัฐ หรือจัดกิจกรรมโปรโมตบริษัทลูกชาย-ลูกสาว ด้วยการนำทัพผู้บริหารแผ่นดินไปร่วมงาน ตลอดจนสามารถเดินทางไปร่วมกิจกรรมสร้างภาพให้ผู้นำเผด็จการ (ระดับรสนิยมใกล้เคียงกัน ?) บางประเทศ ซึ่งประชาคมโลกรังเกียจเดียดฉันท์ฯลฯ ได้ตามอำเภอใจ


แต่ในเวทีโลก ธรรมเนียม-ประเพณี, มารยาท-ข้อควรปฏิบัติ ตลอดจนวิธีการและพิธีการทาง การเมือง-การทูต ยังมีความจำเป็นอยู่มิใช่หรือ ?


และที่สำคัญ เวที "ของชาติ" หรือเวทีระดับ "นานาชาติ" นั้นมิใช่เวที "เซ็นสัญญาค้าขาย" หรือ "เซ็นสัญญาผูกขาดสัมปทานรัฐ" ที่มีเพียงเงินถุงเงินถัง หรือการวิ่งเต้นล๊อบบี้และจ่ายใต้โต๊ะเสร็จ แล้วจะทำอย่างใดก็ได้


"กึ๋น" ของ "ผู้นำอินเตอร์" จึงต้องมี "อย่างอื่น" ที่มากไปกว่าปริญญาเอกและกองเงินกองทอง ! ! และที่ขาดเสียมิได้อย่างเด็ดขาด ก็คือ "คุณธรรม-จริยธรรม" ตลอดจน "มนุษยธรรม" ที่เป็นดั่งเนื้อแท้หรือแก่นแกน อันจะ เชื่อมร้อย-หนุนเสริม คุณลักษณะอื่น ๆ ทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมฯลฯ ที่ผู้นำพึงมีขึ้นมา


ไอ้ที่ "งก" ขนาดหนัก "ปากจัด" เป็นไฟ คงเป็นได้เพียง "เถ้าแก่ปากร้าย" เท่านั้น จะให้เป็นผู้ใหญ่บ้านในระบอบประชาธิปไตยก็ดูจะยังไม่คู่ควร


ทู่ซี้เป็นน่ะคงเป็นได้ แต่น่าจะเป็นภัยกับบ้านเมืองในระยะยาว…


ทำนองว่า "สี่ปีทรุด อีกสี่ปีเสื่อม อีกสี่ปีเหลือแต่ซาก อีกสี่ปีสูบจนหมดสิ้น..แล้วหนีไปเสวยสุข" ประมาณนั้น…



ที่ว่ามาข้างต้นเป็นเรื่อง "พระศุกร์เข้า" แต่เรื่อง "พระเสาร์แทรก" ก็ยังมี…


คือวันดีคืนดีก็มีบริษัทโทรศัพท์มือถือ ซึ่งในเทศกาล หรือวันสำคัญทางพุทธศาสนา แทบไม่เคยออกแคมเปญอะไรให้ชื่นใจชาวพุทธ แต่พอถึงวันสำคัญของชาวคริสต์ ยิ่งหนักไปกว่านั้นเสียอีก เพราะกลับไปเอาสัญลักษณ์บางอย่างของเขามาดัดแปลงรับใช้ธุรกิจเสียดื้อ ๆ ชนิด "หัวมังกุท้ายมังกร" ดี ๆ นี่เอง


ไม่เชื่อลองอ่านข่าวสั้น ๆ จาก X-cite หนังสือพิมพ์ขนาดแทบลอยด์ ที่แถมมากับ "ไทยโพสต์" ฉบับออนไลน์ วันที่ ๒๑ ธ.ค. ๒๕๔๗ ดังต่อไปนี้ดู
ซานต้าสร้างสีสัน แจกสุขถนนทั่วกรุง
๒๑ ธันวาคม ๒๕๔๗ กองบรรณาธิการ
ซานต้ายึดถนนสายหลักทั่วกรุงกว่า ๒๐ เส้นทาง ขี่เวสป้าขับจากัวร์ยาวกว่า ๑ ก.ม. ตระเวนมอบความสุขในวันปีใหม่


เมื่อเช้าวานนี้ (๒๐ ธ.ค. ๔๗) บริเวณด้านข้างอาคารชินวัตร ๓ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ได้จัดงานโมบายไลฟ์แผลงฤทธิ์ต้อนรับปีใหม่ เปิดตัวด้วยซานตาคลอสแม็กซ์ปีนกล่องของขวัญสีแดงสดบิ๊กสูงกว่าตึก ๓ ชั้น เพื่อลั่นระฆังส่งสัญญาณเริ่มต้นความสุขในวันปีใหม่
นายสมชัย เลิศสุทธิ์วงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ส่วนงานธุรกิจ บริการสื่อสารไร้สาร กล่าวว่า กิจกรรมพิเศษในครั้งนี้เป็นการสร้างความสนุกสุด ๆ ให้กับประชาชนทั่วไปได้เตรียมตั้งตัวเพื่อฉลองวันปีใหม่ กลุ่มเป้าหมายหลักของสินค้าเราคือวัยรุ่นที่มีความสดใส และมีไลฟ์สไตล์ที่ตรงกับโมบายไลฟ์ของเราเพื่อสรรค์สร้างสิ่งที่ดีที่สุดให้กับพวกเขา "นอกจากการจัดกิจกรรมในวันนี้ โดยใช้ทุนกว่า ๑ ล้านบาทนั้น พวกแก๊งโมบายไลฟ์ของเราก็จะทำการบุกผับและร้านอาหารดัง ๆ ทั่วกรุงกว่า ๑๐๐ ร้าน เพื่อสอนวิธีส่งความรักถ่ายทอดจากปลายนิ้วลูกค้าทั้งหลาย ส่งความสุขด้วยการส่งข้อความดี ๆ ให้ประชาชนได้ตระหนักถึงความรักแบบไฮเทคจากปลายนิ้วส่งถึงหัวใจ" นายสมชัยกล่าว
กิจกรรมที่ถือว่าเป็นไฮไลต์ในการจัดงานครั้งนี้ เป็นการนำขบวนคาราวานซานตาคลอสแฟนตาซีขี่รถเวสป้าและรถจากัวร์เปิดประทุนกว่า ๑๐ คัน พร้อมกับรถบรรทุกของขวัญขนาดใหญ่แห่ไปตามถนนเส้นหลักในกรุงเทพฯ กว่า ๒๐ กิโลเมตร ตลอดระยะทางถนนกว่า ๒๐ สาย อาทิ พหลโยธิน อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สยามเซ็นเตอร์ มาบุญครอง สามย่าน พระราม ๔ สวนลุมฯ เซ็นทรัลเวิลด์ พลาซ่า ประตูน้ำ ดินแดง วิภาวดีรังสิต รัชโยธิน ไทยพาณิชย์ปาร์ค พลาซ่า เป็นต้น โดยมีตำรวจกว่า ๒๐ สถานีอำนวยความสะดวกเพื่อให้การจราจรเรียบร้อยตลอดการเดินทาง.
(ข้อมูลจาก http://www.thaipost.net/index.asp ?bk=xcite&post_date=21/Dec/2547&news_id=99772&cat_id=200100)


ในฐานะศาสนิกชน ใครสักคนลองตั้งคำถามกลับไปบ้างดีไหม ว่านี่มันอะไรกัน ? ?



เมื่ออ่านบทความมาถึงบรรทัดนี้ คงมี "บางคน-บางกลุ่ม" ที่หัวปักหัวปำอยู่กับผู้นำบางคน หรือพรรคการเมืองบางพรรค ตั้งข้อสังเกต ว่าเขียนมีอคติ และแสดงออกอย่างไม่เหมาะสมกับ "สมณเพศ" อีกเช่นเคย…


พราะแสดงทัศนะที่ระคายเคือง "รูปเคารพ" ของพวกเขา (และเธอ)


ก็อยากจะถามกลับไปเช่นกัน ว่า.. "บ้านนี้-เมืองนี้" กำลังเป็นอย่างไร และจะก้าวเดินไปทางไหนกันแน่ ?


ทั้งอยากถามด้วย ว่า..อนาคตข้างหน้าลูกหลานของเราจะอยู่กันอย่างไร จะ ดำเนินชีวิต-ประคองจิตและกาย กันอย่างไร ? หากผู้ใหญ่- - บรรดาบรรพบุรุษของพวกเขา (และเธอ) ในระดับผู้นำ-ผู้บริหารบ้านเมือง พากันบ่อนเซาะโครงสร้างทางสังคม-เศรษฐกิจ-การเมือง และแก่นแกนศีลธรรม-จริยธรรม อย่างเช่นที่กระทำอยู่


ไม่ต้องถามผู้เขียนดอก ว่า "พระ" ควรเตือนสติ "บางคน-บางสังคม" บ้างไหม ?
ถามใจตัวเองเถิด ว่าเมื่อใดจะ "ออกมา" และ "ร่วมแสดงความรับผิดชอบ" กับ "บ้านนี้-เมืองนี้" เสียที ?


หมดโปรโมชั่นแล้วคงไม่ใช่ระดับ "๔ปี" อย่างที่เห็นป้ายริมถนน แต่คงถึงขั้น ไม่รู้ว่า ๔๐ ปี จะซ่อมกันไหวหรือเปล่า ?


พอ "เถ้าแก่" สิ้นตัณหาในอำนาจ และสลัดเก้าอี้จากไป นอกเหนือจากฝ่ายเก็บกวาดสิ่งปฏิกูลแล้ว คงไม่พ้นภาระพระสงฆ์องค์เจ้าอีกนั่นแหละ ที่จะต้องมานั่งปลอบโยนเยียวยาจิตใจให้ผู้คนและสังคม


ดูแต่หลังยุคฟองสบู่แตกนั่นปะไร นอกจากพวก "ล้มบนฟูก" แล้ว
ทั้งคนชั้นกลางคอขาว ทั้งไฮซ้อไฮโซ เห็นวิ่ง เข้าวัด-ออกวัด กันจ้าละหวั่นมิใช่หรือ ?