Skip to main content

"ห้วงคำนึง" จากลานกว้าง

คอลัมน์/ชุมชน


ภาพจาก นสพ.ผู้จัดการ


 


1 มีนาคม 2549…


 


หลังผ่านเดือนอันร้อนรุ่มด้วยอุณหภูมิการเมืองมากที่สุดในรอบหลายสิบปีไปได้หนึ่งวัน ผมก็นับครั้งที่ตนเองสัมผัสกับการชุมนุมขับไล่นายกรัฐมนตรีได้ถึง 3 ครั้ง 3 ครา นับตั้งแต่สถานที่ชุมนุมยังอยู่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า จนในที่สุดก็ย้ายไปยังท้องสนามหลวง


 


ผู้ชุมนุมประท้วงมีตั้งแต่หนูน้อยอายุ 3 ขวบจนถึงผู้เฒ่าผู้แก่อายุ 80  ขวบ ส่วนมากมีการศึกษาในระดับปริญญาตรีทั้งสิ้น และส่วนมากมีงานทำมั่นคง บางคนเป็นนักธุรกิจ บางคนเป็นเถ้าแก่ บางคนเป็นเจ้าของกิจการใหญ่โต


 


นอกจากนี้หลายคนเป็นผู้ใช้แรงงานหาเช้ากินค่ำ คนชั้นกลางหลายคนอาจคาดไม่ถึงว่าพวกเขาสามารถอ่านมายาภาพและกลลวงที่รัฐบาลชุดทักษิณ ชินวัตรสร้างไว้ได้อย่างทะลุปรุโปร่งจนเดินทางมาร่วมการชุมนุมในครั้งนี้ แต่ก็น่าเสียดายยิ่ง ที่คนกลุ่มนี้เป็นส่วนน้อยเมื่อเทียบกับส่วนใหญ่ของพวกเขาที่ยังคงเชียร์นายกรัฐมนตรี เพราะชื่นชอบนโยบาย "ประชานิยม" ที่สื่อโดยเฉพาะฟรีทีวีไม่เคยเปิดเผยความล้มเหลวและความบกพร่องของนโยบายเหล่านั้น


 


สิ่งที่ผมประจักษ์จากการเข้าร่วมชุมนุมทั้ง 3 ครั้งคือ ขบวนการขับไล่นายกรัฐมนตรีครั้งนี้เป็นการรวมตัวของคนหลายกลุ่มซึ่งมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ ต้องการให้นายกรัฐมนตรีลาออก ด้วยพวกเขาได้รับผลกระทบจากการกระทำของรัฐบาลชุดนี้ทั้งทางตรงและทางอ้อม


 


หากไม่นับการเสียผลประโยชน์ทางธุรกิจของใครบางคน ก็จะพบว่ามีคนเล็กๆ มากมายที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายและคับข้องใจจากพฤติกรรมของทักษิณ


 


คุณลุงท่านหนึ่งซึ่งยกทั้งครอบครัวมาร่วมชุมนุมบอกว่าเสียภาษีอย่างถูกต้องทุกปี แต่นายกรัฐมนตรีกลับไม่ต้องเสียสักบาทจากการขายหุ้น นี่เป็นตรรกะที่คนแก่อย่างลุงไม่เข้าใจและรับไม่ได้กับการกระทำของทักษิณ


 


"รู้สึกมานานแล้วตั้งแต่มีข่าวว่านายกรัฐมนตรีคนนี้รวยขึ้นๆ  แต่มารู้สึกมากที่สุดก็อีตอนขายหุ้นโดยได้รับการยกเว้นภาษีนี่แหละ"


 


กระทั่งฝรั่งหลายชาติก็มาร่วมขบวนการไล่นายกรัฐมนตรีชื่อ "ทักษิณ" ที่ถูกเปลี่ยนนามสกุลจาก "ชินวัตร" เป็น "ออกไป"


 


พวกเขามีเหตุผลเพียงข้อเดียวว่า "รักเมืองไทย" และ "รักคนไทย" และบังเอิญรู้เท่าทันทักษิณ


"เป็นบ้านผม ผู้นำลาออกไปแล้ว แต่ที่นี่หน้าด้านเหลือเกิน"


 


ครอบครัวหนึ่งรู้สึกว่าการชุมนุมครั้งนี้นี่เป็นเหมือนการออกมาปิกนิคนอกบ้านพร้อมหน้าพร้อมตาเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี


 


ภาพและเรื่องราวเหล่านี้ ทำให้ผมสะอึกและสะท้อนใจทุกครั้งที่ยินคนรอบข้างบางคนกล่าวว่า "พวกนี้รับเงินออกมาชุมนุมประท้วงหัวละ 300"--"พวกนี้โง่ หลงคารมสนธิ ฯลฯ" หรือแม้แต่บทความบางชิ้นที่กล่าวว่า "พวกนี้เป็นม็อบไร้เดียงสา" มาชุมนุมประท้วงโดยที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวและเป็นการตามกระแส น่าจะเอาเวลาไปทำอย่างอื่นมากกว่า


 


หรือคนที่ชอบถามว่า "นายกทักษิณออกไปแล้วเราจะเอาใครมาแทน"--"ทุกวันนี้ก็ดีอยู่แล้ว ไม่มีนายกรัฐมนตรีคนไหนเอาเงินลงไปหมู่บ้านมากมายเท่านี้"--"ไม่มีนายกคนไหนขึ้นเงินเดือนให้ครูมากขนาดนี้"


 


ยากยิ่งนัก !


ยากยิ่งนัก !--ที่จะบอกเล่าเรื่องเบื้องลึกเบื้องหลังให้ผู้คนส่วนหนึ่งที่ถูกสื่อสารมวลชนและกลลวงของทักษิณสร้างมายาภาพบดบังดวงตามานานถึง 5  ปี เข้าใจถึงภัยร้ายแรงของทักษิณ


 


ยากนัก--ที่ทำความเข้าใจให้กับผู้ที่มีทัศนะว่า "ไม่จำเป็นต้องไล่ทักษิณเพราะเขามีความสามารถ" (โดยไม่สนใจว่าจะโกงบ้านโกงเมืองไปเท่าไร) --"การประท้วงเป็นการก่อความวุ่นวาย" (โดยไม่เคยรับรู้ว่าระบอบประชาธิปไตยมีการรับรองสิทธินี้เอาไว้ในรัฐธรรมนูญ)--"เอาเวลาไปทำการกุศลอย่างอื่นดีกว่าออกมาไล่รัฐบาล" (โดยปล่อยให้รัฐบาลปกครองและโกงชาติต่อไปตามสบาย เราทำความดีของเราไป?)


 


ในฐานะปุถุชน ผมยอมรับว่า ยากนักที่จะอธิบายสิ่งเหล่านี้ให้พวกเขาฟังโดยไม่ใช้อารมณ์


 


ตอนนี้คงทำได้เพียงแค่ชวนให้ไปดูและหาซื้อวีซีดี "งิ้วธรรมศาสตร์" ที่แสดงท่ามกลางม็อบเมื่อเวลา 5 ทุ่มของวันที่ 26 ..49  คงเป็นทางออกที่ดีที่สุดด้วยเนื้อเรื่องนั้นสรุปรวบยอดทุกอย่างเอาไว้หมดแล้ว


 


บางครั้งผมนั่งแท็กซี่แล้วต้องสงบปากสงบคำอย่างอึดอัดหัวใจ เพราะสิ่งที่คนขับรับรู้มาจากสื่อทั้งหลายนั้นบิดเบือนและผิดปรกติทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นข่าวลือประเภทม็อบได้หัวละ 300 หรือการออกมาบอกว่าพวกนี้ป่วนบ้านป่วนเมือง


 


ผมกล้าบอกว่า…ไม่ใช่ครับ ผมก็คนหนึ่งที่ไปร่วมชุมนุมอย่างเต็มใจ และอีกหลายคนที่ไปนั้นผมก็พบว่าเขามากันด้วย "ใจ" ทั้งนั้น


 


แม้ด้านหนึ่งผมอาจจะไม่ค่อยนิยมทัศนะและความประพฤติทางวาจาบางประการของคุณสนธิ ซึ่งเป็นหนึ่งในแกนนำการชุมนุมอยู่ด้วยก็ตาม


 


แต่ประโยคของวอลแตร์ที่ว่า "ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าจะไม่เห็นพ้องกับท่านสักนิดเดียว แต่กระนั้นข้าพเจ้าก็ยินดีเอาชีวิตเข้าแลก เพื่อเสรีภาพในการพูดของท่าน"


 


ทำให้ผมมองไปยังรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ที่ถูกปิด มองไปยังผู้สื่อข่าวซึ่งโดนปลดเพราะไม่รายงานข่าวเข้าข้างรัฐบาล และมองไปยังนักวิชาการบางท่านที่ถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการปฏิบัติหน้าที่โดยยึดหลักวิชาชีพอย่างเคร่งครัดเป็นเงินหลายร้อยล้าน


 


มองไปยังวาจาของนายกรัฐมนตรีที่พูดถึงการชุมนุม 3 ครั้งที่ผ่านมาซึ่งล้วนเป็นไปในทาง "เฉาฉุ่ย" ทั้งสิ้น


 


ผมพบว่า นายกรัฐมนตรีคนนี้ นอกจากหลีกเลี่ยงภาษีแล้ว ยังอาจมีปัญหาเรื่องวุฒิภาวะอีกด้วย


 


เช่นประโยคที่ว่า "ใครที่อยู่ที่ลานพระบรมรูปทรงม้าคือคนที่ไม่เคารพกติกา ถ้าสังคมไหนมีกุ๊ยเป็นผู้นำ มันคงอยู่ไม่ได้" (4 ..2549)


 


หรือตอนประกาศยุบสภาที่ว่า "มีความพยายามจะล้มล้างรัฐบาลในรูปแบบต่างๆ อย่างต่อเนื่องจากกลุ่มบุคคลซึ่งเสียผลประโยชน์จากการทำงานของรัฐบาล…ผมรับไม่ได้ที่จะให้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย"


 


ไม่นับอีกเป็นกระบุงโกย ถ้าหากขุดขึ้นมากกล่าวคงต้องใช้พื้นที่หลายๆ หน้ากระดาษ


 


เดือนก่อนผมสัญจรไปที่นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ด้วยความที่โทรทัศน์ลาวรับสัญญาณจากเมืองไทยได้ชัดแจ๋ว วาจา "เฉาฉุ่ย" ที่ชอบย้ำว่าไม่ยุบสภาของนายกรัฐมนตรีท่านนี้ก็ได้ออกอากาศและแพร่ภาพในประเทศลาวด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในค่ำคืนที่ผมเข้าที่พัก


 


วันรุ่งขึ้น ขณะที่ออกจากห้องพักเพื่อจะไปถ่ายภาพที่อนุสาวรีย์เจ้าศรีสว่างวงศ์ (เจ้ามหาชีวิตองค์สุดท้ายของลาว) ผมก็เจอคำถามจังๆ จากสามล้อเครื่องที่ไปส่งว่า


"นายกฯ ซาวไทนี่โกงหลายรึ…"


 


วันนี้ ถ้าผมกลับไปเจอเขาอีก คงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน เพราะนอกจากโกงแล้ว นายกรัฐมนตรีไทยยังพลิกลิ้นรายวันอีกด้วย


 


* * * *


 


หากใครยังคิดว่าคนชื่อทักษิณ ทำให้เศรษฐกิจไทยดี ภาคธุรกิจไปได้สวย ถ้าไม่มีเขา ประเทศชาติก็คงต้องลำบาก…


 


ผมเชื่อว่าไม่เป็นเช่นนั้นแน่ครับ…เมืองไทยยังไม่สิ้นคนดีมีความสามารถ แต่ความสามานย์ของนักการเมือง และระบบนักการเมืองไทยในอดีตที่ผ่านมา ทำให้เขาเหล่านั้นปลีกตัวอยู่วงนอกทั้งสิ้น


 


เราต้องปฏิรูปการเมือง แล้วดึงพวกเขาเข้ามาให้ได้


 


ผมเชื่อว่านอกจากทักษิณ เรายังมีคนอื่นๆ  อีกมากให้เลือก


 


ผมขอยืนยันว่า ส่วนหนึ่งของม็อบกู้ชาติครั้งนี้คือพลังบริสุทธิ์  มีเจตนาดี ส่วนหนึ่งที่ผมพบคือ "นักศึกษา" ที่หลายคนมองว่าพวกเขาตามกระแส  แต่ถ้าพิจารณาแล้ว การที่พวกเขาตามกระแสเรื่องนี้ถือเป็นเรื่อง "ดี" มิใช่หรือ


 


ดีกว่าการที่จะตามกระแสประเภท "เซ็กส์คืนเดียว"  "สายเดี่ยว" หรือ "สนับสนุนระบบว้าก" เป็นไหนๆ มิใช่หรือ


 


คุณลุงนั่งรถวีลแชร์ คุณป้าอายุ 70 ที่ผมเจอในม็อบ ท่านเหล่านี้อยู่ในวัยที่สมควรได้พักผ่อนอยู่บ้านกับลูกหลาน


จะกล่าวว่าท่าน "ง่าว" โดนหลอกให้ออกมาลำบากหรือ


 


คนเหล่านี้มีวุฒิภาวะมากเพียงพอ และตัดสินใจบนฐานข้อมูลที่ดี ก่อนเดินออกจากบ้านมาไล่ทักษิณ นี่ยังไม่นับคณาจารย์ทางด้านรัฐศาสตร์อีกหลายท่าน ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองอีกหลายคน


 


ผมไม่เชื่อ…ว่าการเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษา จะฟอกทักษิณให้ขาวสะอาดได้


ต่อให้ 19 ล้านเสียงเลือกเข้ามาอีก มันก็เป็นคนละเรื่องกับการพิสูจน์ "จริยธรรม" อย่างสิ้นเชิง


 


การเลือกตั้งฟอกคนให้บริสุทธิ์ไม่ได้ !


 


หากคนไทยยอมรับหลักการนี้ก็เท่ากับว่า นักการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งนั้นล้วนเป็นเทวดา จะโกงกินอย่างไรก็ได้เพราะมีเสียงหนุนหลัง (และเสียงที่หนุนหลังนั้นก็มักจะไม่ทราบพฤติกรรมแย่ๆ ดังกล่าวเสียด้วย)


 


ผมเชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ไม่ชอบใจที่จะมีนายกฯ เลี่ยงภาษีขึ้นมาปกครองประเทศ


แต่ถ้าชอบใจ…ก็น่าเป็นห่วง อีกหน่อย ใครโกงชาติแล้วอยากพ้นผิด ก็อ้าง "เสียงข้างมาก" โดยลงรับสมัครเลือกตั้งพิสูจน์ตนเองไปเสียก็สิ้นเรื่อง พอได้รับเลือก ก็ถือว่าพ้นผิดแล้ว


 


วันนี้…การดื้อแพ่งของภาคประชาชนฝ่ายต่างๆ เพื่อต่อต้านทักษิณเป็นเรื่องจำเป็น


 


ห้วงคำนึงของผมที่ท้องสนามหลวงมันบอกอย่างนั้นครับ