Skip to main content

ขอบคุณ "ทักษิณ" ที่ทำให้เราเข็มแข็ง

คอลัมน์/ชุมชน

 


 


ปกติแล้วผมจะต้องส่งต้นฉบับ "หนุ่มสาวสมัยนี้" ให้กับประชาไทเพื่อลงเว็บไซต์ทุกวันอาทิตย์ เป็นปกติวิสัยแต่ละสัปดาห์ นับตั้งแต่ที่ผมเริ่มจะเอาจริงเอาจังกับการเขียน เพราะจะได้ช่วยฝึกทักษะตัวเอง และผมก็กำหนดวันส่งขึ้นเพื่อให้เกิดวินัยกับตัวเองเช่นกัน


 


แต่สำหรับสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ สิ่งที่เกิดขึ้นสำหรับตัวเอง คือไม่มีเวลาเขียนต้นฉบับ และไม่สามารถส่งต้นฉบับให้กับประชาไทได้ตรงตามวันที่ได้กำหนดไว้ ไม่ใช่เพราะขี้เกียจหรือไม่มีเวลาเขียนแต่อย่างใดครับ แต่ว่ามัวแต่สนใจที่จะช่วยพี่น้องทางภาคเหนือเพื่อจัดกิจกรรมที่เกี่ยวกับการไม่เอา…ทักษิณ


 


กิจกรรมของพี่น้องประชาชนทางภาคเหนือโดยเฉพาะที่เชียงใหม่ ที่ได้จัดไปแล้ว เช่น การชุมนุมตั้งจิตอธิษฐานต่อครูบาเจ้าศรีวิชัย และพระธาตุเจ้าดอยสุเทพ ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองเชียงใหม่ ให้บ้านเมืองพ้นวิกฤตด้วยดีและการชุมนุมรวมพลคนก้ายทักษิณ ที่สนามวอลเลย์บอล ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยกิจกรรมแต่ละอย่างเป็นสิ่งที่ประชาชนทุกกลุ่ม ทุกเครือข่าย องค์กรร่วมแรงกันคิดและร่วมแรงกันจัด  (แต่ไม่เหมือนกับที่สนามกีฬา 700 ปี ที่ทางพรรคการเมืองหนึ่ง ที่มีคนหน้าเหลี่ยมๆ เป็นหัวหน้า จัดเกณฑ์คนทั่วเมืองเชียงใหม่ เพื่อมาฟังตัวเองเปิดใจและปราศรัยใหญ่ ณ ถิ่นเชียงใหม่ ซึ่งเป็นเหมือนกล่องดวงใจของนายกฯ คนเมือง)


 


แม้ว่าคนเมืองเชียงใหม่ส่วนหนึ่งจะเชื่อมั่นและรักในตัวของนายกทักษิณ ชินวัตร  แต่การมีพื้นที่ให้กับคนอีกส่วนหนึ่งที่อยากพบปะ แลกเปลี่ยนพูดคุยเรื่องบ้าน เรื่องเมือง ความเป็นไปของสังคมก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน  คนบางส่วนคิดว่าคนเห็นแตกต่างเป็นการทำให้บ้านเมืองเดือดร้อน ไม่สงบสุข  ผมว่าไม่  เพราะการที่คนเห็นต่างย่อมเป็นความคิดของแต่ละคน หลายคนก็หลายความคิด หากคนคิดเหมือนกันได้ก็เป็นสิ่งที่ดี  แต่หากคิดต่างก็เป็นสิ่งที่น่าจะได้มีวงคุยเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดของกันและกัน


 


คนที่เห็นว่านายกทักษิณ ยังมีความชอบธรรมในการเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่….ก็คิดได้


คนที่เห็นว่านายกทักษิณ หมดความชอบธรรมในการเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว….ก็คิดได้


คนที่ไม่มีความคิดเห็นว่านายกทักษิณ ยังมีหรือได้หมดความชอบธรรมในการเป็นนายกรัฐมนตรี….ก็คิดได้


ความคิดเห็นของคน หากอยู่ในสังคมเดียวกันก็ต้องยอมรับการอยู่ร่วมกันไม่ใช่หรือ?


 


เมื่อตอนที่จัดงานชุมนุมคนก้ายทักษิณ ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่   ตอนแรกก่อนที่เวทีจะเริ่มขึ้น  มีคนที่เข้าร่วมเพียงไม่กี่คน ผมสังเกตว่าบางคนถึงกับโทรศัพท์เรียกเพื่อนๆ ให้มาร่วมงานหรือบางคนก็ส่ง  SMS  ชวนกันมาในงานนี้ด้วยเช่นกัน  เวลาผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงจากคนที่มาเพียงแค่ไม่กี่สิบคน เริ่มขยายจำนวนเป็นหลักร้อย ผมลองกะจำนวนคนดูกับเพื่อนๆ ก็สรุปร่วมกันว่าคนน่าจะอยู่ประมาณ 600 คน


 


ผู้คนที่เข้ามาร่วมกิจกรรม มีทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ มีนักศึกษา มีพนักงานบริการ มีครู อาจารย์  ศิลปิน บ้างมาคนเดียว บ้างมาเป็นกลุ่ม มีคนเอาหนังสือ เอาโปสการ์ด เอาเสื้อมาขาย  มีกิจกรรมสลับกันไประหว่างบนเวที และการถ่ายทอดสดกิจกรรมที่การชุมนุมที่สนามหลวงผ่านดาวเทียม (ตอนแรกทีมงานตั้งเครื่องรับดาวเทียมขนาดเล็กประมาณ 5 โมงเย็น กว่าที่ภาพและเสียงจะปรากฏ ก็ประมาณ 1 ทุ่ม  พวกเราแซวกันเล่นๆ ว่า คงไม่ใช่ดาวเทียมที่คุณทักษิณขายให้สิงคโปร์นะ (ฮา))


 


สำหรับผมแล้ว การที่คนมาชุมนุมรวมตัวกันมากมายขนาดนี้เป็นสิ่งจำเป็นมากทีเดียวที่ต้องมีพื้นที่ให้กับคนที่เห็นต่าง และกับคนอีกส่วนหนึ่งที่ยังชื่นชม ชื่นชอบนายกทักษิณ  และการรับรู้ข้อมูลที่รอบด้านของคนก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน ผมสังเกตว่ามีบางคนที่ชื่นชอบนายกทักษิณ แต่พอมีโอกาสได้ติดตามข้อมูลว่าทักษิณมีนโยบายอะไร และทำอะไรกับสังคมไทย ก็จะพบว่า คนเริ่มตั้งคำถามกับนายกทักษิณ  ตั้งคำถามกับระบบทักษิณ ไปจนถึงรัฐบาล


 


คนที่รู้เรื่องราวความไม่ชอบมาพากลต่างๆ ถึงกับต้องออกมาทำกิจกรรม ขยายข้อมูล ขยายความรู้ว่าทักษิณจะทำอะไรบ้างกับสังคมไทยโดยเฉพาะเมืองเชียงใหม่


 


"คนเชียงใหม่รู้หรือไม่ว่า เขาจะทุบลานครูบาเจ้าศรีวิชัย เพื่อสร้างกระเช้าลอยฟ้า" ข้อมูลหนึ่งที่ภาคีคนฮักเชียงใหม่ได้กล่าวไว้ "เขาจะสร้างคอมเพล็กซ์ครบวงจร  สร้างสวนช้าง  และทำกระเช้ารอบบริเวณป่าดอยสุเทพ ซึ่งทำให้ต้องตัดไม้ ทำลายป่า และทำลายระบบของธรรมชาติ"


 


สำหรับการชุมนุมลักษณะนี้ มีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นกับผมตัวเอง  ซึ่งรู้ได้เลยว่าตื่นเต้นและเป็นบรรยากาศที่ผู้คนมีความศรัทธาต่อพลังประชาชน ผมถึงกับขนลุก (ภาษาเหนือเรียกว่าขนคิงลุก)  ก็ขนาดวงคาราวานที่มีงานต้องขึ้นเล่นคอนเสิร์ตที่งานแห่งหนึ่งในตัวเมืองเชียงใหม่ ยังปลีกเวลามาเข้าร่วมพูดคุยและร้องเพลงกับพี่น้องที่ชุมนุม ซึ่งมีทั้งน้าหมู พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ  พี่ปู พงษ์สิทธิ์ คัมภีร์  และศิลปินเพื่อชีวิตอีกหลายคนที่มาร่วมงานด้วยความรักและศรัทธาต่อประชาชน


 


สำหรับเวที, พลันที่จบการบรรเลงดนตรีของเหล่าพี่ๆ  ศิลปินเพื่อชีวิต ก็เป็นการอ่านบทกวีของศิลปินคนเมือง จากนั้นก็เป็นการกล่าวปราศรัยของกลุ่มต่างๆ  มีการอ่านแถลงการณ์ของเครือข่ายพนักงานบริการและเครือข่ายศิลปินภาคเหนือ โดยกิจกรรมบนเวทีจะจัดขึ้นสลับกับการถ่ายทอดสดการชุมนุมที่สนามหลวงอย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น


 


ผู้ใหญ่หลายท่านบอกว่า  บรรยากาศแบบนี้หวนให้นึกถึงการต่อสู้ของประชาชนในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งผมฟังแล้วรู้สึกเลยว่า การที่ประชาชนหลายกลุ่ม หลายสาขาอาชีพมาร่วมกันชุมนุมเพื่อบอกว่า ไม่เอาทักษิณนั้น บรรยากาศคล้ายสมัย 14 ตุลา 6 ตุลา และพฤษภาคม 35 แม้ว่าการชุมนุมที่ผ่านมาจะเป็นการขับไล่นายกฯ เผด็จการ ที่มาโดยการรวบอำนาจและสถาปนาตัวเอง แต่การชุมนุมยามนี้กลับเป็นการไล่นายกฯ เผด็จการที่มาตามระบบประชาธิปไตย  อย่างไรก็ตาม ผมก็ต้องขอขอบคุณนายกทักษิณที่ทำให้ชาวบ้าน ประชาชนลุกขึ้นมาชุมนุมไล่ท่าน ซึ่งทำให้ผมได้รับรู้ถึงความคิด ความรู้สึกของผู้คนคล้ายการต่อสู้สมัยอดีตที่ผ่านมา


 


การที่นายกทักษิณ บอกว่า เขามาจากการเลือกตั้ง มาจากเสียงของประชาชน และหากกลุ่มชุมนุมมาไล่เขาออก อีกหน่อยหากไม่พอใจนายกรัฐมนตรีคนไหนก็คงต้องทำแบบนี้เรื่อยๆ  ซึ่งเป็นการไม่เคารพประชาธิปไตยนั้น  ผมฟังแล้วรู้สึกสงสารนายกทักษิณอย่างยิ่ง ที่ต้องคิดมากและคงจะเครียดอย่างยิ่ง พูดจาแต่ละทีก็ทำหน้าไม่งาม แต่ภายใต้ความสงสารก็คิดตลกกับตัวเองว่าเมื่อไหร่นายกทักษิณจะตอบคำถามในสิ่งที่ประชาชนส่วนใหญ่เขาอยากรู้ ท่านพยายามเปลี่ยนเรื่องไปมา บ้างก็ตอบไม่ตรงประเด็น และไม่คิดถึงความเป็นจริงของระบอบประชาธิปไตยเลย ท่านไม่รู้หรือแกล้งไม่รู้ ว่าสิ่งที่ประชาชนรวมตัวกันเพื่อส่งเสียงให้ท่านออกไปเฉกเช่นปัจจุบันนี้แหละที่เรียกว่า "ประชาธิปไตยทางตรง"


 


นายกทักษิณน่าจะมีเวลาอยู่กับตัวเอง ทบทวนชีวิตเสียบ้าง และคิดเสียว่าประชาธิปไตยไม่ใช่มีเพียงแต่ระบบตัวแทนเท่านั้น แต่สิ่งที่ประชาชนรวมตัวแบบนี้ก็คืออีกวิถีทางหนึ่งของประชาธิปไตยที่จะตรวจสอบท่าน   ท่านจำได้ไหมที่บอกว่าท่านพร้อมให้ตรวจสอบ แต่ตอนนี้ท่านครอบงำสื่อ ครอบงำองค์กรอิสระที่จะตรวจสอบท่านไปเสียหมด ซ้ำไม่พอท่านยังมีเสียง ส.ส.ในมือมากกว่ารัฐบาลใดที่ผ่านมา  นอกจากท่านจะทำให้ระบบตรวจสอบพิกลพิการแล้ว องค์กรต่างๆ ที่มีก็ไม่ขยับอะไร ….


 


ด้วยเหตุนี้แหละที่ประชาชนต้องลุกฮือขึ้นมาเพื่อให้สังคมได้ร่วมกันตรวจสอบท่าน


 


กลับมาเรื่องที่ผมบอกว่านายกทักษิณน่าสงสาร แต่ภายในความสงสารนั้น ผมเพียงแต่ไม่อยากจะให้นายกคนเมืองอย่างท่านต้องเสียใจและคิดมาก มิหนำซ้ำ ผมเป็นห่วงความรู้สึกของลูกๆ และคนในครอบครัวท่านที่ผู้นำครอบครัวต้องกลับกลายมาเป็นอย่างนี้ –ใครจะไปคิดว่ามันจะเป็นเช่นนี้ ผมรู้สึกได้ถึงความเครียดของท่านเพราะแม้แต่คำว่า "จริยธรรม" ท่านยังไม่ตอบแต่กลับถามประชาชนว่า "จริยธรรมคืออะไร" 


 


ผมขอให้ท่านลองไปถามเด็กอนุบาลดูก็จะดีมาก  หรือหากท่านยังไม่ลืมความเป็นคนเมือง  อธิบายง่ายๆ แค่การที่พ่อค้าแม่ค้าจะขายของในตลาดไม่ว่าที่ใด พวกเขาจะร่วมกันจ่ายค่าที่ หรือ "ค่าถา" ให้กับเจ้าของพื้นที่ นี้คือจริยธรรมของพ่อค้าแม่ค้าคนเมืองที่เขาทำและปฏิบัติสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน  ไม่ว่าเขาจะขายได้เท่าไหร่ก็ต้องร่วมกันจ่าย  และไม่ว่าผมจะสงสารท่านมากน้อยเพียงใด แต่ผมก็ไม่เคยได้ยินว่ามีนายกรัฐมนตรีคนใดของประเทศไทยที่ถูกกล่าวหาว่า เป็นโจรขายชาติ  – มาได้ยินก็ท่านทักษิณนี้แหละครับ


 


ก่อนจบผมไม่รู้ว่าท่านนายกทักษิณจะสะเทือนทางความรู้สึกหรือไม่ ท่านฟังประชาชนที่เขาถามท่านได้ยินไหม ท่านมีบรรดาสาวกมากมาย  ลองฟังในสิ่งที่ผู้คนคาใจใคร่ถามและตอบมาตรงๆ อย่าได้เบี่ยงประเด็นอีกเลย  ผมชื่นชมท่านมาโดยตลอด แม้ว่าผมไม่เคยได้เลือกท่านและพรรคก็ตาม แต่เสี้ยวหนึ่งก็ขอบคุณท่านที่ทำให้ผมได้เห็นและรู้สึกถึงพลังประชาชนที่ลุกฮือชุมนุมไล่เผด็จการ 2006 อย่างท่าน และขอบคุณที่ทำให้เห็นความตื่นตัวของพี่น้องนักเรียน นักศึกษาที่ออกมาแสดงพลังทางการเมืองอีกครั้ง


 


แม้จะเคารพนับถือท่านเพียงใดก็อยากขอบคุณเป็นอย่างยิ่งหากท่านนายกทักษิณ ประกาศลาออกจากตำแหน่งหรือเว้นวรรคทางการเมืองหรือเดินทางไปพักร้อน ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวอย่างอบอุ่นที่ไหนก็ได้ในโลก …..ท่านจะอยู่ในใจผมและคนไทยเสมอ แต่ปีศาจซาตานในตัวท่าน ณ ตอนนี้ ผม-สมเพชมันเสียกระไร