Skip to main content

"วีนแตก" กับแบบไท้-ไทย

คอลัมน์/ชุมชน



เพิ่งบินกลับมาจากเมืองไทยได้ไม่ถึง ๒๔ ชั่วโมง วันนี้ (๑๒ มีนาคม ๒๕๔๙) ผู้เขียนนอนไม่หลับหลังจากที่เผลองีบไปเมื่อตอนหัวค่ำบ่ายแก่ๆ ของสหรัฐฯ หรือประมาณหกโมงเช้าไทยในวันถัดไป ตื่นขึ้นมาก็เลยยังติดกับเวลาของไทยอยู่เป็นเวลาประมาณเกือบเที่ยงคืน แต่เป็นกลางวันของไทย เปิดดูโทรทัศน์ฝรั่งเพราะอยู่คนเดียว ยังไม่มีอารมณ์ทำงานอื่นเพราะชินกับการอยู่ในเมืองไทยที่มีผู้จัดการส่วนตัวดูแลทุกอย่างให้ มาตรงนี้เป็น "แจ๋ว" เอง ตารางการทำความสะอาดบ้านขอพักไว้ก่อน ไม่แน่วันจันทร์นี้คุณแม่บ้านที่จ้างแบบรายสะดวกอาจเข้ามาทำให้ ถ้าไม่ ก็ค่อยขอทำในสัปดาห์ต่อไป  ได้แต่ปลอบใจตนเองว่าบ้านคงไม่เน่าหรอก


 


รายการโทรทัศน์ฝรั่งที่นี่มีให้เลือกมากมายเพราะเสียเงินเดือนละพันกว่าบาทไทย มีหนังฝรั่งไม่เก่านักมาให้ดู บางทีดึกๆ มีหนังแบบอาร์แก่ๆ หรือไม่ติดเรทมาให้ดูให้ตื่นเต้นนิดๆ อย่างไรก็ตาม หนังทุกประเภทก็ซ้ำไปๆ มาๆ แต่ดีกว่าไม่มีอะไรดู เพราะไม่ดูหนังตามโรงอยู่แล้ว บอกตรงๆ ว่าเคยขายฟิล์มหนัง รู้จักคนทำหนัง (ไทย) และได้รู้จักคนทำหนังฝรั่งผ่านคนอื่นๆ พาลให้หมดศรัทธาในเรื่องนี้ ใครมาฉุดไปดูหนังโรงบอกปฏิเสธเกือบทุกรายเพราะไม่ใช่ทาง  กลับสนุกที่จะดูที่บ้านแล้วทำโน่นนี่ไปด้วย หรือดูไปหลับไปกรนไป


 


ขอไปฉากที่บนเครื่องบิน พบสามีภรรยาชาวอเมริกันคู่หนึ่ง มาบ่นเรื่องการตัดเสื้อผ้าแบบเร่งด่วนในเมืองไทย บอกว่าได้เสื้อผ้าที่ตัดแล้วผิดพลาดแต่ไม่มีการแก้ไข แต่ผลักไสให้ต้องรับและเพียงแต่บอกขอโทษ เกิดความไม่พอใจเป็นอย่างมากเพราะร้านตัดไม่รับผิดชอบ ถามผู้เขียนว่าจะทำอย่างไรดี ผู้เขียนบอกว่าควรจดชื่อร้านแล้วแจ้งทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ตรงนี้ถ้า ททท.มาอ่านเจอติดต่อมาก็ได้ ผู้เขียนจะได้ให้เค้าติดต่อไปตรงๆ เพราะมีคนอื่นๆ ในกลุ่มนี้ที่ขัดอกขัดใจเรื่องนี้มาก จะได้เกิดความกระจ่างระหว่างกัน อันนี้หน้าที่ ททท.โดยตรงด้วยมิใช่หรือ) แล้วเจ้าตัวเองก็บอกว่าจะแจ้งทางบริษัทบัตรเครดิตให้ระงับการชำระเงินแล้วจะส่งของไปคืนแม้ว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายเองก็ตาม ท่าทางคงไม่พอใจอย่างมาก


 


ผู้เขียนเห็นใจฝรั่งแต่ก็เข้าใจการทำงานของคนไทยที่ไม่รับผิดชอบ เรื่องนี้แก้ไขง่ายๆ คือให้ส่วนลดและหรือจัดการแก้ไขเท่าที่จะเป็นไปได้ในนาทีนั้น ไม่ใช่แค่ขอโทษแล้วจบ ฝรั่งไม่ชอบใจแน่ การทำธุรกิจของฝรั่งมืออาชีพต้องมีความรับผิดชอบมากกว่านี้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยินเรื่องความผิดพลาดที่แก้ไขได้ไม่ถูกต้อง น่าเสียดายที่ร้านค้าเหล่านี้มีความเข้าใจว่าต้องแก้ไขอย่างไร แต่แกล้งทำเป็นเพิกเฉย ฉวยโอกาสว่านักท่องเที่ยวมีเวลาน้อยจึงไม่ได้สนใจแก้ไข ของแบบนี้ปากต่อปาก คนทำงานก็ทำกันไป คนทำลายก็ทำลายกันไป อย่างนี้การท่องเที่ยวไทยก็ย่ำอยู่แบบนี้  


 


ผู้เขียนไม่ได้ "โปร"ฝรั่ง เพราะว่าฝรั่งเฮงซวยก็แยะ แต่ของแบบนี้เราเป็นเจ้าของบ้าน ต้องทำให้ดี นอกจากนี้เรายังหิวเงินง่ายๆ ของฝรั่ง อย่าทำแบบนี้เลยมันไม่ดี ฝรั่งนี่ในใจลึกๆ เค้าก็ดูถูกเราอยู่แล้ว เราต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเรามี "จริยธรรมการทำงาน" เราก็จะต่อกรกับเค้าได้ ถ้ายังทำงานห่วยแตกแบบ "ไท้ไทย" แบบนี้ คงต้องเช็ดน้ำตาเวลาพม่าหรือญวนเค้าพร้อมเปิดประเทศมาแข่งขันกับเรา สถานที่ท่องเที่ยวของเค้าสดๆ สวยๆ กว่าเรามาก ถ้าเราไม่มืออาชีพพอ เงินง่ายๆ จากการท่องเที่ยวก็จะหลุดหายไปอย่างแน่นอน


 


ในขณะเดียวกัน สังคมไทยก็ไม่ต้องถึงกับ "กราบกราน" ฝรั่ง เพราะเรามีจิตสำนึกบริการมากกว่าชาติอื่นๆ ก็จริง แต่เราไม่ได้ขายตัว ขายศักดิ์ศรี ผู้เขียนขำเป็นประจำ เวลาไปไหนในไทยแกล้งลองดัดจริตพูดอังกฤษแบบกะเหรี่ยงๆ ปรากฏว่าได้รับบริการดีกว่าแบบพูดไทยๆ อาจเป็นเพราะรูปพรรณสัณฐานของผู้เขียนที่เหมือน "ซูโม่" จึงพรางตัวได้ ไม่ชอบเลยว่าทำไมอะไรแบบ "ไท้ไทย" ต้องมีหลายมาตรฐานแบบนี้ แค่พูดภาษาต่างด้าวได้บ้างก็เป็นเทวดาไปหมด เลิกเสียทีเถิด ควรหันมามองว่าพูดได้น่ะดี แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณค่าความเป็นคนมันจะหายไปซะหมดถ้าพูดภาษาปะกิดไม่ได้


 


ไอ้ที่พูดปะกิดได้แบบผู้ใหญ่บางคนผิดๆ ถูกๆ นี่ก็น่าคิด เข้าใจว่าอยากสร้างภาพ แต่แหมมันขายขี้หน้าเหลือเกิน ยิ่งเป็นบิ๊กๆ ด้วยแล้ว ขำซะไม่มี พูดออกมาเหมือนสำรอกมากกว่าเจรจา กุ๊ยฝรั่งมันพูดแบบนี้แหละถ้าอยากรู้ว่าระดับไหนล่ะก้อ  ที่น่าแปลกก็เพราะเรียนเมืองนอกกันมา แถมปริญญาก็สูงๆ กันทั้งนั้น อย่างนี้น่าจะจัดเข้าประเภท "ไท้ไทย" ได้อีกแบบ


 


ฝรั่งคู่สามีภรรยานั้นพอใจที่ได้คุยกับผู้เขียนบอกว่าแหมถ้าคนไทยพูดอังกฤษได้บ้างคงจะดี ผู้เขียนบอกว่าคงลำบากเพราะว่าคนไทยไม่ได้จำเป็นต้องพูด การท่องเที่ยวเป็นแค่เงื่อนไขตัวหนึ่งที่ทำให้พวกเค้าต้องพูด ซึ่งฝรั่งคู่นี้ก็เข้าใจ  ผู้เขียนบอกว่าเอางี้แล้วกันผู้เขียนจะช่วยในการท่องเที่ยวคราวต่อไปโดยเฉพาะเวลาช้อปปิ้ง แล้วจะช่วยจัดทัวร์ให้ราคาไม่แพง (อันนี้ ททท.ต้องให้เครดิตผู้เขียน เพราะทำมาให้แล้วหลายราย กรี๊ดกร๊าดพอใจกันมาก)  การตกปากช่วยนี่ก็เพราะว่าอยากให้มีความประทับใจดีๆ คนจะได้มาเที่ยว คนไทยจะได้มีเงินมีงาน แต่ผู้เขียนเสียเวลาส่วนตัวแน่นอน


 


อย่างไรก็ตาม ถ้ามองมุมกลับ จะเห็นได้ว่า ไอ้การท่องเที่ยวนี่แหละส่งเสริม "ทุนนิยมหลังสมัยใหม่" และ "ลัทธิการล่าอาณานิคมหลังสมัยใหม่" ดีนัก เพราะเน้นว่าทุกอย่างขายได้ ความเป็นคนก็ขายได้ คนท้องถิ่นต้องพูดภาษานักท่องเที่ยวซึ่งก็คือคนที่มีเงินมากกว่า ซึ่งความจริงผู้เขียนอยากบอกว่าอยากเที่ยวก็ต้องหัดพูดภาษาท้องถิ่น (ทำไมนักท่องเที่ยวไทยต้องพูดอังกฤษเวลามามะริกา เอาเงินมาให้แต่พูดไทยไม่ได้ ต้องปะกิดกับเค้า ไม่แฟร์นะ ฝรั่งจะเอาเงินแต่ทำไมไม่พูดไทยล่ะ?) ไม่งั้นก็ต้องทำใจว่าต้องมีปัญหา ไม่ใช่มาคาดหวังให้เราพูดได้แบบนี้ ไม่ชอบใจเลย นอกจากนี้ก็บอกให้เห็นว่าประเทศเรานี่แหละเป็นทาสทางเศรษฐกิจเพราะพึ่งพากับงานท่องเที่ยวมากไป อะไรๆ ก็ท่องเที่ยวไปซะหมด ยิ่งตอนฝรั่งโชคร้ายเป็นเหยื่อระเบิดหน้าบ้านผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ใครๆ ก็เอาใจ ถ้าเป็นกะเหรี่ยงไทยเจอแบบนี้หน้าบ้านผู้ใหญ่ฝรั่งนี่จะเป็นไงบ้าง ขำไม่หายว่าแหมมันช่างน่าชังกันจริงแบบ "ไท้ไทย" นี่


 


ก่อนจบ มีเรื่อง "ไท้ไทย" แบบเศรษฐกิจหลังสมัยใหม่ เพราะมีเจ้าหน้าที่ทางกฎหมายของธนาคารไทยสัญลักษณ์สีเขียวโทรไปที่คลินิกหมอฟันที่พี่สะใภ้ผู้เขียนซึ่งเป็นหมอธรรมดาให้เช่า ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่คลินิกนั่นก็ "ไท้ไทย" ฟังไม่ได้เรื่อง เพราะวันหนึ่งๆ ชอบดูแต่ละครไทย บอกว่ามีคนโทรมาตามผู้เขียน เพราะชื่อเหมือนมี "จ.จาน" อะไรแบบนี้ พี่ชายเลยเอาเบอร์มาให้ ผู้เขียนก็งงเพราะไม่รู้จักใครที่แผนกนี้ของธนาคารนี้ มีแต่แผนกอื่น ก็เลยโทรกลับไปหลายหนแต่ไม่ได้เรื่อง


 


จนกระทั่งพฤหัสฯที่ผ่านมา (๙ มีนาคม) จึงได้รับการติดต่อกลับ ตอนแรกนึกว่าเพื่อน แต่ไม่ใช่กลายเป็นการทวงถามหนี้เพราะมีคนนามสกุลพ้องกัน ชื่อมี "จ.จาน" เหมือนกัน พอผู้เขียนบอกว่าตนเองชื่อนี้นามสกุลนี้ ไม่มีในรายชื่อผู้ต้องถูกทวงหนี้ เธอเลยบอกว่าขอค้นนิดนึงว่าตกลงเป็นใครที่เธอกำลังตามหาแล้วบอกว่าจะโทรกลับ ผู้เขียนบอกว่าไม่เอา จะถือสายรอ ตกลงเอาไงกันแน่เพราะการสุ่มเดาแบบนี้ไม่สมควร พอเธอบอกว่าคนที่กำลังติดตามชื่อนี้ๆ ผู้เขียนบอกว่าคนละคน คุณเธอย้อนถามทันทีว่าจะหาเบาะแสที่ไหน เป็นญาติพี่น้องหรือไม่ ผู้เขียนฉุนกึ้กเพราะว่าไม่ใช่ธุระ แถมนามสกุลก็ไม่ได้ตรงกัน จึงบอกว่า "ให้ดูนามสกุลดีๆ ว่าต่างกัน" ผู้เขียนขออนุมานว่าที่เจ้าหน้าที่ผู้นี้โทรตามที่เบอร์ของพี่สะใภ้ก็เพราะเธอคงใช้ฐานข้อมูลของสมุดโทรศัพท์บนอินเตอร์เน็ต 


 


ผู้เขียนบอกว่าถ้ามาสืบหาแบบนี้ล่ะก้อ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดและเสื่อมเสียต่อผู้เขียนได้ และอาจรวมถึงผู้ที่ใช้นามสกุลของผู้เขียนที่ไม่ได้มีหนี้ ขอให้ระวังกว่านี้ แต่ผู้เขียนก็ "วีนแตก" ไปพอสมควร ยอมรับว่าแบบนี้ฝรั่งถือมาก ไทยเองก็น่าจะถือเพราะเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ยิ่งเรื่องแบบนี้น่าอับอาย ซ้ำยิ่งไม่ขอโทษด้วยว่าเกิดความเข้าใจผิด ท้ายสุดผู้เขียนถามว่า "จะขอโทษสักคำนี่จะหนักหนามั้ย" เธอจึงขอโทษ


 


นี่ก็คือการทำอะไรแบบ "ไท้ไทย" ที่เกิดขึ้น ถือว่ากูจะทวงหนี้ กูเอาทุกท่า ไอ้ฝ่ายที่มีหนี้ก็ไม่ไหว ทำไมนะจึงไม่ระวังตนเองเสียเลย คนรอบข้างหรือคนที่ไม่เกี่ยวข้องเดือดร้อนไปหมด การสืบหาแบบนี้บ่งเห็นถึงความไม่ได้เป็นมืออาชีพเลย น่าแปลกใจที่รู้มาจากคนอื่นว่าในเมืองไทยบรรดาฝ่ายทวงหนี้นิยมมากในการตามล่าคนด้วยวิธีแบบนี้ น่าจะมีการฟ้องร้องได้ว่าเกิดความเสียหายในด้านอารมณ์ ความเป็นส่วนตัว และความน่าเชื่อถือและชื่อเสียง ที่สหรัฐฯ นั้นเคยรู้มาว่าแค่โทรมาตามเบอร์ที่เคยให้ไว้กับธนาคารเท่านั้น ไม่ได้เสาะหาเบอร์อะไรขนาดนี้ (อันนี้เกิดบ่อยเพราะนักเรียนไทยบางคนชอบโกงบัตรเครดิต รูดแล้วไม่จ่ายตังค์ บินกลับบ้าน คนมาอยู่ต่อหรือรูมเมทเจอตามหาแบบนี้ประจำ พวกโกงๆ นี่เป็นอาจารย์ดังๆ เมืองไทยหลายคน—จะเผากันเองดีมั้ยนี่?)


 


บทความนี้เหมือนบทความ "วีนแตก" เอาเป็นว่าให้อ่านมันส์ๆ สนุกๆแล้วกัน ก็แบบ "ไท้ไทย" นี่นะ