พลังแห่งการแข็งขืนอย่างอารยะ
คอลัมน์/ชุมชน
"อำนาจรัฐมาจากปากกระบอกปืน" เป็นบทสรุปอันลือชื่อของเหมาเจ๋อตุง ความสำเร็จของเขาในการยึดอำนาจรัฐด้วยการทำสงครามกองโจรดูเหมือนจะยืนยันความข้อนี้ แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมดของความจริง หากรัฐดำรงอำนาจได้ด้วยอาวุธปืน เหตุใดรัฐบาลเผด็จการจำนวนมากที่มีกองกำลังอันยิ่งใหญ่จึงพ่ายแพ้ต่อประชาชนที่ต่อต้านโดยปราศจากอาวุธ การที่รัฐบาลเหล่านั้นโค่นล้มเพราะการลุกฮือของประชาชนที่มีเพียงมือเปล่า แสดงว่าอำนาจรัฐไม่ได้อยู่ที่กระบอกปืนอย่างเดียว หากยังขึ้นอยู่กับการยอมรับของประชาชนด้วย
อำนาจอยู่ที่การยอมรับ ครูหรือผู้จัดการจะมีอำนาจเหนือนักเรียนหรือลูกน้องได้ก็ต่อเมื่อนักเรียนหรือลูกน้องยอมทำตามคำสั่ง แต่ถ้านักเรียนหรือลูกน้องไม่ยอมทำตาม ครูหรือผู้จัดการก็ไม่มีอำนาจต่อคนเหล่านั้น ไม้เรียวหรือการลงโทษอาจช่วยบีบคั้นให้นักเรียนหรือลูกน้องทำตามคำสั่งของครูและผู้จัดการ แต่ถ้านักเรียนหรือลูกน้องไม่ยี่หระต่อไม้เรียวหรือการลงโทษ ครูและผู้จัดการก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ยิ่งหากการปฏิเสธนั้นเกิดขึ้นโดยนักเรียนทั้งชั้นหรือลูกน้องทั้งบริษัท อำนาจของครูและผู้จัดการก็ปลาสนาการไปทันที
รัฐบาลก็เช่นกันดำรงอยู่ได้ก็เพราะการยอมรับของประชาชนเป็นสำคัญ อาวุธ รวมทั้งคุกและการลงโทษเป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยกดดันประชาชนให้ยอมทำตามคำสั่งของรัฐบาล แต่ถ้าประชาชนไม่กลัวหรือสยบยอมต่อเครื่องมือเหล่านั้น อำนาจของรัฐบาลก็สั่นคลอน ยิ่งการปฏิเสธที่จะเชื่อฟังรัฐบาลนั้นขยายวงจากประชาชนไปยังตำรวจทหารระดับล่างและระดับกลางด้วยแล้ว แม้ผู้บัญชาการทหารทุกเหล่าทัพรวมทั้งตำรวจจะยังเคียงข้างรัฐบาล รัฐบาลนั้นก็แทบไม่มีอำนาจเหลืออีกต่อไป
ประวัติศาสตร์ศตวรรษที่ ๒๐ เต็มไปด้วยเรื่องราวของรัฐบาลเผด็จการ (ไม่ว่าจะผ่านการเลือกตั้งหรือไม่) ที่ถูกโค่นล้มโดยประชาชนที่ปราศจากอาวุธ อาทิ รัฐบาลของนายพลมาติเนซแห่งเอลซัลวาดอร์ ในปี ๑๙๔๕ (พ.ศ.๒๔๘๘) นักเรียนและนักศึกษาในเมืองหลวงออกจดหมายลูกโซ่เรียกร้องให้มีการนัดหยุดงานทั่วประเทศ ไม่นานคนขับรถเมล์ แท็กซี่ พนักงานเทศบาล พนักงานธนาคาร ก็ร่วมประท้วงกับนักศึกษา ต่อมาแพทย์ก็ประกาศปิดคลีนิก ยกเว้นกรณีฉุกเฉิน ตามมาด้วยโรงงาน ร้านค้า และศาล ในที่สุดทหารก็ร่วมประท้วงด้วย ไม่ถึง ๒ อาทิตย์ นายพลมาติเนซก็สละอำนาจและลี้ภัยไปกัวเตมาลา
ความสำเร็จที่เอลซัลวาดอร์ ทำให้ประชาชนกัวเตมาลาพร้อมใจกันใช้วิธีดื้อแพ่งหรือแข็งขืนอย่างอารยะ (civil disobedience) เช่นเดียวกัน เนื่องจากทนไม่ได้กับระบอบเผด็จการของนายพลอูบิโก เริ่มต้นด้วยการนัดหยุดงานของครูเพื่อประท้วงการจับกุมผู้นำครูเพียงเพราะเรียกร้องขอเงินเดือนเพิ่ม ต่อมานักศึกษาก็เดินขบวนเข้าเมืองหลวง ปราศรัยประท้วงรัฐบาล ทหารเข้าควบคุมการชุมนุม ทำให้เกิดการปะทะกัน ผลตามมาก็คือประชาชนในเมืองหลวงร่วมประท้วงด้วย ร้านค้า โรงภาพยนตร์ ธนาคาร โรงเรียน คลีนิค และสถานที่ต่าง ๆ ปิดหมด อูบิโกพยายามใช้กฎอัยการศึกบังคับให้พนักงานการขนส่งทำงาน และยังส่งตำรวจไปขู่เข็ญร้านรวงให้เปิด แต่ไร้ผล ประชาชนไม่สยบยอมต่ออำนาจของอูบิโกอีกต่อไป ในที่สุดนายพลอูบิโกก็บินออกนอกประเทศไป
ไม่เพียงนายพลในประเทศเล็ก ๆ อย่างเอลซัลวาดอร์และกัวเตมาลาเท่านั้น แม้กระทั่งพระเจ้าซาร์ในรัสเซียก็เคยสยบยอมต่อประชาชนที่ไร้อาวุธเช่นกัน ในปี ๑๙๐๕ (พ.ศ.๒๔๘๘) ทหารพระเจ้าซาร์ได้กราดยิงปืนเข้าไปในฝูงชนที่เดินขบวนอย่างสงบจนมีคนตายกว่าร้อยคน ผลตามมาก็คือการประท้วงของประชาชนทั่วกรุงเซนต์ปีเตอสเบิร์ก มีการนัดหยุดงานขนานใหญ่จนเซนต์ปีเตอสเบิร์กและมอสโกเป็นอัมพาต แม้แต่ทหารบกและทหารเรือจำนวนมากก็ปฏิเสธคำสั่งของรัฐบาล หลายเมืองประกาศแยกตนออกจากการควบคุมของระบอบซาร์ ในที่สุด พระเจ้าซาร์ก็ยอมให้มีรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
รัฐบาลในทุกระบอบอยู่ได้ด้วยการยอมรับจากประชาชน ไม่เว้นแม้แต่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือระบอบทรราชย์ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีคู่พระทัยของพระปิยมหาราชเคยกล่าวไว้ว่า "อำนาจอยู่ที่ราษฎรเชื่อถือ ไม่ใช่อยู่ที่พระราชแสงศาสตรา" ส่วนทรราชอย่างฮิตเลอร์ก็ยอมรับเช่นกันว่า
"ในระยะยาว ระบอบปกครองไม่ได้สมานรวมอยู่ได้ด้วยแรงกดดันทางพละกำลัง แต่คงอยู่ได้ด้วยความเชื่อ (ของประชาชน) ในคุณภาพและสัจจะที่ระบอบปกครองนั้นเป็นตัวแทน และเป็นปัจจัยหนุนเสริมหรือเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน"
ในเมื่ออำนาจรัฐอยู่ที่การยอมรับของประชาชน นั่นก็หมายความว่าการให้ความยอมรับแก่รัฐบาลเป็นอำนาจอย่างหนึ่งของประชาชน ตรงนี้แหละคือเหตุผลว่าทำไมการต่อสู้โดยสันติวิธีของประชาชนจึงมีพลัง การต่อสู้ดังกล่าวมีพลังโดยไม่ต้องอิงอาวุธ เพราะพลังนั้นเกิดขึ้นจากการปฏิเสธที่จะให้ความยอมรับแก่รัฐบาล ทันทีที่ประชาชนไม่ให้ความยอมรับแก่รัฐบาล โดยการแข็งขืนอย่างอารยะ รัฐบาลนั้นก็ดำรงอยู่ไม่ได้ หรือถึงจะอยู่ได้ก็ทำงานลำบากอย่างยิ่ง
เมื่อรัฐบาลโปแลนด์ปราบปรามขบวนการโซลิดาริตี้ ประชาชนก็พร้อมใจกันแข็งขืนต่อรัฐบาลอย่างเงียบๆ วิคเตอร์ คูเลอสกี้ ผู้นำโซลิดาริตี้ พูดถึงสถานการณ์ในตอนนั้นว่า "ทางการควบคุมได้แต่ร้านเปล่า แต่ไม่อาจควบคุมตลาด ทางการควบคุมการว่าจ้างคนงานได้ แต่ไม่อาจควบคุมการดำเนินชีวิตของเรา ทางการควบคุมสื่อมวลชนของรัฐได้ แต่ไม่อาจควบคุมการกระจายเผยแพร่ข้อมูล ทางการควบคุมโรงพิมพ์ได้ แต่ไม่อาจควบคุมการตีพิมพ์เอกสาร ทางการควบคุมไปรษณีย์และโทรศัพท์ได้ แต่ไม่อาจควบคุมการสื่อสาร" ในที่สุดรัฐบาลคอมมิวนิสต์ก็ยอมเจรจากับขบวนการโซลิดาริตี้ นำไปสู่การเลือกตั้งเสรีและจุดจบของระบบคอมมิวนิสต์
เหตุการณ์ในยูโกสลาเวียเมื่อปี ๖ ปีที่แล้วเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ชี้ให้เห็นถึงพลังอำนาจของการแข็งขืนโดยประชาชน มิโลเซวิคเป็นประธานาธิบดีที่มีอำนาจขึ้นมาได้ด้วยการชูธงเชื้อชาตินิยมอย่างเข้มข้น จนก่อให้เกิดการทำลายล้างเผ่าพันธุ์ในบอสเนียและโคโซโว่ แม้สหรัฐและนาโต้จะต่อต้านเขา แต่ก็ทำอะไรเขาไม่ได้ กำลังทหารและตำรวจคือฐานอำนาจที่มั่นคงของเขา แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อนักศึกษาประชาชนเริ่มต่อต้านเขา การประท้วงได้ลุกลามอย่างต่อเนื่องจนทั่วประเทศ มิโลเซวิคจึงประกาศเลือกตั้งก่อนกำหนดถึง ๑๐ เดือน เพื่อยืนยันว่าประชาชนยังนิยมในตัวเขาอยู่ วันเลือกตั้งถูกกำหนดอย่างกระชั้นเพราะไม่ต้องการให้ฝ่ายค้านมีเวลาตั้งตัว อย่างไรก็ตามการร่วมมือของนักศึกษาประชาชนและฝ่ายค้านทำให้มิโลเซวิคพ่ายการเลือกตั้ง
แต่มิโลเซวิคปฏิเสธผลการเลือกตั้ง และประกาศให้มีการเลือกตั้งใหม่ นักศึกษาประชาชนและฝ่ายค้านจึงลุกฮือทั้งประเทศ จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อคนงานเหมืองถ่านหินนัดหยุดงานประท้วง มิโลเซวิคส่งทหารไปปราบ แต่ประชาชนถึง ๒.๕ แสนคนพากันชุมนุมขัดขวาง วันรุ่งขึ้นประชาชนกว่า ๒ แสนคนจากทั่วประเทศเดินทางไปยังเมืองหลวง รถยนต์ทุกชนิดหลั่งไหลไปยังกรุงเบลเกรด ทั้งเมืองเป็นอัมพาต มีการปิดล้อมรัฐสภาและสถานีโทรทัศน์ของรัฐ มิโลเซวิคสั่งให้ตำรวจปราบปราม แต่คราวนี้ตำรวจส่วนใหญ่ปฏิเสธ มิโลเซวิคไม่มีทางเลือกเหลืออยู่ วันถัดมาเขาก็สละอำนาจ ไม่นานเขาก็ถูกจับและถูกนำตัวขึ้นศาลอาชญากรสงคราม
รัฐบาลไม่อาจอยู่ได้ด้วยอำนาจดิบ ๆ หรืออาวุธล้วน ๆ แต่ต้องอาศัยการยอมรับของประชาชน และการยอมรับของประชาชนจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อรัฐบาลหรือผู้ปกครองมีความชอบธรรม การเลือกตั้งทำให้ผู้ปกครองมีความชอบธรรมในการเป็นรัฐบาลก็จริง แต่การเลือกตั้งไม่ใช่ทั้งหมดของความชอบธรรม ความซื่อสัตย์สุจริตและการเสียสละเพื่อส่วนรวมเป็นส่วนหนึ่งของคุณธรรมที่ผู้ปกครองต้องมี หากไร้ซึ่งสิ่งนี้แล้ว แม้จะมีคะแนนเสียงอย่างท่วมท้นก็ไม่สามารถอ้างความชอบธรรมที่จะปกครองประเทศได้ เมื่อถึงตอนนั้นแม้แต่อำนาจดิบ ๆ ก็ต้องพ่ายแพ้ต่อการแข็งขืนอย่างอารยะของประชาชน
นี้คือบทเรียนสำคัญที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ควรตระหนักอย่างยิ่ง
บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์