ความรักไม่อาจเยียวยาได้ทุกอย่าง?
คอลัมน์/ชุมชน
1
บ้านเกิดของสุเมธอยู่จังหวัดบุรีรัมย์ แต่พ่อของเขามักจะบอกใคร ๆ ว่าพวกเขาเป็นคนโคราช เพราะพวกเขาพูดภาษาโคราช มีวัฒนธรรมความเป็นอยู่แบบคนโคราชมากกว่าจะมีวัฒนธรรมอย่างคนอีสานทั่วไปในจังหวัดอื่น ๆ
ตอนที่สุเมธเรียนอยู่ชั้นประถม 4 และรวมทั้งชีวิตวัยเยาว์ก่อนหน้านั้น เขาเป็นที่รักของพ่อแม่ เป็นที่รักของทุกคน ใคร ๆ ต่างชอบเขา เขามีดวงตาสุกใส ซุกซน เสียงหัวเราะกังวาน ขี้อ้อน และมีความเป็นมิตร แต่พอเขาโตขึ้นมาจนถึงชั้นประถม 6 นั้น เขาก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน
พอเข้าชั้นประถม 6 เขาก็เริ่มสูบบุหรี่ ริมฝีปากที่เคยมีสีแดงเหมือนลูกไม้บางชนิดของเขากลายเป็นดำคล้ำน่าเกลียด ส่วนฟันที่เคยขาวสะอาดก็เริ่มผุและสกปรก
อันที่จริงเขาเคยมีชื่อว่า "อิทธิพล" แต่แม่ของเขาเห็นว่าอักษรบางตัวในชื่อนี้ไม่เป็นมงคลเมื่อดูจากวันเดือนปีเกิด ดังนั้นจึงให้พระท่านตั้งให้ใหม่ว่า "สุเมธ"
แม่และพ่อคิดว่าการเปลี่ยนชื่อใหม่อาจช่วยให้ลูกกลับมาเป็นเด็กที่น่ารักน่าชังเหมือนเก่า แต่ความจริงก็คือเด็กน้อยอันเป็นที่รักของพวกเขานั้นได้จากไปแล้ว ความเป็นเด็กน้อยที่ว่านอนสอนง่ายนั้นได้เดินทางจากไปแล้วและจะไม่มีวันหวนคืนมาอีก
พวกเขาจะได้เจอกับสุเมธที่กำลังจะโตเป็นหนุ่ม สุเมธที่พูดจาก้าวร้าวเหลือทน สุเมธที่เอาแต่ใจตนเองและไม่สนใจความรู้สึกของใครเลย
2
เมื่อย่างเข้ามัธยมศึกษาปีที่ 1 นิสัยที่ไม่น่ารักของสุเมธก็ปรากฏชัดขึ้น เขาริอาจดื่มเหล้า พอพ่อเขาถาม เขาก็ตอบโดยไม่ยี่หระอะไรเลยว่า "ก็ทีพ่อยังดื่มได้"
ทางโรงเรียนเรียกผู้ปกครองของสุเมธไปพบหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโดดเรียน สูบบุหรี่ในโรงเรียน หาเรื่องชกต่อยกับคนอื่น และการเรียนที่ได้เกรดศูนย์เกือบทุกวิชา อันสร้างความไม่สบายใจให้กับผู้เป็นพ่อแม่อย่างมาก
ที่สุด พ่อของเขาก็หมดความอดทน เมื่อสุเมธไปสักเป็นรูปอะไรต่าง ๆ มาเต็มหลังตามแบบอย่างรุ่นพี่บางคนที่เขาคบค้าสมาคม พ่อของเขาฉวยไม้กวาดข้าง ๆ ตัวและหวดสุเมธอย่างไม่ยั้ง สุเมธร้องด้วยความเจ็บปวดระคนโกรธแค้น พ่อของเขาบอกให้ลบรอยสักออกและสั่งให้เลิกคบหากับเด็กโตในละแวกบ้านอย่างเด็ดขาด
ผู้เป็นพ่อเสียใจมากที่ทำร้ายลูกตัวเองด้วยวิธีการที่รุนแรงอย่างนั้น และสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ตีสุเมธอีกไม่ว่าจะในกรณีใด ๆ ก็ตาม
แต่มันอาจสายไปแล้วก็ได้หรือบางทีไม่ว่าพ่อของเขาก็ลงโทษเขาด้วยวิธีใด ๆ ก็ไม่มีความหมายต่อเขาอีก สุเมธบอกใครต่อใครว่าเขาไม่กลัวพ่อของเขาอีกต่อไปแล้ว เพราะว่าเขาได้เห็นความอ่อนแอของพ่อ ได้เห็นความรักที่ไร้ประโยชน์ของพ่อ ได้เห็นความเศร้าเสียใจของพ่อที่ปรากฏออกมาเป็นหยาดน้ำตาหลังจากเฆี่ยนตีเขาจนหายโมโหแล้ว ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม พ่อก็ไม่อาจเอาชนะเขาได้
เมื่อเพื่อนถามว่า "เวลาโดดเรียนนายไม่กลัวพ่อจะตีเหรอ"
สุเมธก็ตอบว่า "ฉันไม่กลัวพ่อหรอก พ่อต่างหากที่กลัวฉัน"
นี่เป็นคำตอบที่มีส่วนจริงไม่น้อย พ่อของเขากลัวว่าลูกชายจะเตลิดไปไกลเกินกู่ กลัวว่าลูกชายจะต้องลำบากเหมือนที่ตนเองเคยลำบากตอนสมัยหนุ่ม ๆ หากไม่ตั้งใจเรียน พ่อจำได้ดีว่าตนเองลำบากมากตอนที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพมหานคร ต้องอดมื้ออิ่มมื้อ ต้องโดนนายจ้างดูถูกเหยียดหยาม และไม่อยากให้ลูกต้องเผชิญกับสิ่งเหล่านี้
พ่อและแม่ของสุเมธจบเพียงชั้นประถม 4 ดั้นด้นเข้ามาแสวงโชคในกรุงเทพมหานคร ผ่านความลำบากมามากมายหลายประการ แต่สุดท้ายด้วยความเพียรและความอดทน ทั้งคู่ก็สามารถก่อร่างสร้างตัวได้ สามารถซื้อบ้านจัดสรรแถวชานเมือง ซื้อรถ และดำเนินชีวิตคล้าย ๆ คนชั้นกลาง
เด็กน้อยสุเมธได้รับอิทธิพลทั้ง 2 แบบคือวัฒนธรรมชนบทของโคราชที่เขาเติบโตขึ้นมาในวัยเด็กกับวัฒนธรรมเมืองในปัจจุบัน ดูๆ ไปสุเมธก็วางตนเองไว้คล้ายกับนักเลงบ้านนอกที่เพียบพร้อมสมบูรณ์ด้วยสิ่งเลวร้ายทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นการทะเลาะเบาะแว้ง สุรายาเมา และผู้หญิง
แต่ในอีกทางหนึ่ง เขาได้รับอิทธิพลของชีวิตแบบเด็กเมืองซึ่งมีแต่การขันแข่งแย่งกันเด่นในทุก ๆ เรื่องซึ่งก็รวมทั้งเรื่องการเล่าเรียน เด็กเมืองที่หมกมุ่นกับเกมคอมพิวเตอร์ มีความสุขกับเทคโนโลยีและโทรศัพท์มือถือ ตลอดจนการเดินห้าง
3
บางครั้งคิด ๆ ไปพ่อก็ก่นโทษตัวเองที่เลี้ยงลูกไม่เป็น ทุกอย่างที่ลูกชายได้กระทำนั้นจะว่าไปก็เป็นสิ่งที่พ่อล้วนเคยกระทำมาแล้วทั้งสิ้น ได้เคยสร้างปัญหาหนักใจร้อยแปดประการให้กับพ่อแม่ของตัวเองดังที่ลูกชายกำลังกระทำอยู่ในตอนนี้ คิดได้ดังนี้แล้วผู้เป็นพ่อก็ทำใจได้มาก
พ่อและแม่ของสุเมธวิเคราะห์ว่า ที่ลูกชายเป็นอย่างนี้ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าลูกชายไปคบกับคนไม่ดี เพื่อนหลายคนของสุเมธไม่ได้เรียนหนังสือ บางคนขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง บางคนเป็นเด็กจรจัด ดังนั้นหลังจากหาทางออกต่างๆ มามากมายหลายทางแล้วและไม่มีอะไรดีขึ้น ในที่สุด พ่อแม่ของสุเมธก็ตัดสินใจขายบ้านเพื่อต้องการให้ลูกพ้นจากสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี
สุเมธโกรธอย่างมากที่พ่อแม่จะพรากเขาไปจากสิ่งต่าง ๆ รายรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน ผู้หญิงที่เขาติดพันอยู่ แต่ที่จริงเขาติดเพื่อนมากกว่า เขามีความเป็นตัวของตัวเองเมื่อได้อยู่กับเพื่อน เขาคิดอย่างนั้น เขาคิดว่าเขามีอิสระเมื่ออยู่กับเพื่อนรุ่นพี่หรือรุ่นราวคราวเดียวกัน
เขาคัดค้านต่อต้านการขายบ้านแล้วย้ายไปอยู่ที่อื่น เขายื่นไม้ตายว่าหากพ่อแม่ขายบ้านเขาก็จะหนีไปจากพ่อแม่
"ถ้าลูกคิดว่านั่นเป็นหนทางที่ดีก็แล้วแต่ลูก" พ่อของเขาบอก น้ำตาคลอเบ้า "พ่อรักลูกมาก แต่ลูกไม่รักพ่อแม่บ้างเลย พ่อทำงานหนักทุกวันนี้ก็เพื่อลูก แต่ถ้าลูกคิดว่าพ่อยังไม่ดีพอก็แล้วแต่ลูกจะเลือกก็แล้วกัน"
ผู้เป็นภรรยาสะเทือนใจกับคำพูดของสามีตนเอง หล่อนไม่เคยได้ยินสามีพูดอะไรแบบนี้มาก่อน นี่เป็นคำพูดที่ออกจากใจและดูเหมือนว่าปลง
สุเมธพูดจริงทีเดียวว่าจะหนีออกจากบ้าน พอพ่อแม่ย้ายไปได้เพียง 3 วัน เขาก็ทิ้งพ่อแม่ไว้และไปตามทางของเขา ตอนนั้นเขาเรียนอยู่ชั้นมัธยม 2
4
พ่อของสุเมธไม่ไปทำงานหลายวันเพื่อออกตามหาลูก เศร้าโศกใจเมื่อหวนนึกถึงคืนวันที่สุเมธยังเป็นเด็กตัวน้อยน่ารักน่าชังที่เคยติดพ่อติดแม่ ลูกชายเฝ้าคลอเคลียไม่ยอมห่างและคอยแต่จะให้อุ้ม หรือถ้าจะเดินไปไหนพ่อก็ต้องคอยจับจูงมือไว้ แต่ตอนนี้ลูกชายได้หนีจากพ่อแม่ไปเสียแล้ว
ลำพังเพียงความรักคงอาจไม่เพียงพอที่จะผูกยึดลูกไว้ได้ ความรักไม่อาจจะเยียวยาได้ทุกอย่างจริง ๆ ?