Skip to main content

อดีตและอนาคตของบทกวี

คอลัมน์/ชุมชน







1. เชิญเถิด


 


มาสิ คนดี มาพลีความรัก เพื่อทอเพื่อถัก เป็นผ้าเป็นผืน


ไว้ห่มป้องร้าว ลมหนาวบางคืน ยามขาดเชื้อฟืน อ่อนแสงแห่งไฟ


 


มาสิหนุ่มสาว เก็บดาวบนฟ้า โค้งรุ้งศรัทธา ของความฝันใฝ่


หว่านโปรยข้าวตอก อีกทั้งดอกไม้  ทดแทนหัวใจ เข้าใจ เชื่อใจ


 


เชิญเถิดเชิญมา จุดใจสว่างจ้า สร้างตะเกียงดวงใหม่


ส่องหนทางก้าว วันร้าวคนไร้ มอบรักฝากใจ อุทิศให้ผองชน


                                                                                             


เชิญเถิดเชิญมา ก้าวไปข้างหน้า เดินขนานถนน


มาร่วมชีวิต เป็นมิตรคนจน มาร่วมทุกข์ทน รับรู้เรื่องราว


 


มีอีกมากล้น ผู้คนปวดร้าว                                                   


และปรารถนาดาว ขณะเท้าย่ำดิน.                                    


 (วัยหวาน 2532)      


                                                      


 








2. เชิญตำนาน


 


อย่าเลยคนดี อย่าพลีความรัก เพื่อหวังทอถัก เป็นผ้าเป็นผืน


จะห่มป้องร้าว ลมหนาวของคืน หวังแทนเชื้อฟืน เพื่อเติมเพิ่มไฟ


 


อย่าเลยหนุ่มสาว อย่าสอยดาวบนฟ้า โค้งรุ้งศรัทธา อีกความฝันใฝ่


ข้าวตอกแห้งแล้ง สีแดงดอกไม้ ยินเสียงหัวเราะไหม เสียงหัวเราะของใคร ?


 


อย่าเลยอย่ามา เอาใจเจิดจ้า เป็นฝุ่นเถ้ามอดไหม้


โลกร่ำรวยแล้ว แก้วแหวนเงินทอง อำนาจของผู้ใด


ฝันว่ารักยิ่งใหญ่ ก็พ่ายแพ้ทุกครา


 


อย่าเลยคนดี อย่าพลีความฝัน อย่าทำอย่างนั้น อย่าก้าวไปข้างหน้า


ถนนถูกปิดล้อม ยอมแค่เสียน้ำตา อาจยังดีเสียกว่า อุทิศเลือดเปื้อนถนน


 


กี่ศพ กี่หัวใจ เรียงรายทุกข์ทน เชิญตำนานผ่านพ้น


เชิญทุกคนสู่เดือนมิถุนา.


(ถนนหมื่นสาย  2535)


 


 








3. เชิญคนดี


 


โลกรู้…คนดี เธอเคยพลีความรัก เพื่อหวังทอถัก เป็นผ้าเป็นผืน


มุ่งห่มลมหนาว กันร้าวค่ำคืน ทดแทนกองฟืน เติมแสงแห่งไฟ


 


โลกรู้…คนดี เธอเคยมีความฝัน นานนับกัปกัลป์ มุ่งมั่นเหมือนใหม่


และด้วยเหตุนี้ โลกจึงมีดอกไม้  มีอากาศหายใจ มีดินไฟลมน้ำ            


โลกรู้เสมอ ทุกดินเธอย่างย่ำ


จึงปริ่มร้อยถ้อยคำ พรฝากจากฟ้า


 


...เชิญเถิดคนดี มาสู่ที่แสนอุ่น ที่สายลมละมุน กระซิบหยอกภูผา


ฟังสิน้ำใส เลาะแก่งใกล้เข้ามา ตะวัน เมฆ ยอดหญ้า จะเล่าความลับให้ฟัง


 


โลกรู้…โลกรู้ ใครคือผู้ยิ่งใหญ่ ตราบอาทิตย์อุทัย แลสายชลหลากหลั่ง


แม้ดวงตาล้าไป หรือเรือนกายผุพัง ใจกระจ่างจะยัง สุกสกาวเป็นดาวใส


 


เชิญเถิดคนดี มาสู่ที่ของเรา ละลายเถิดความเศร้า ทุกเช้าคือวันใหม่


ตราบชีวิตหมุนเคลื่อน วันเดือนย่อมล่วงไป หลังฝาซาฟ้าจะใส นี่คือความลับของจักรวาล


 


เชื่อมั่นเถิดคนดี ทุกวันที่ดอกไม้บาน อีกตะวันฉายฉาน แด่เธอ แด่เธอ


เชื่อมั่นเถิดคนดี ทุกเพลงพรบนโลกนี้ ล้วนแด่เธอ แด่เธอ.


(ถนนหมื่นสาย 2543)


 


 


หมายเหตุ


 


ฉันกลับไปค้นอ่านงานเขียนเก่าๆ พบบทกวีที่เรียงต่อกัน 3 ชิ้น ทั้งที่เขียนในระยะเวลาต่างกัน


 


ปี 2532 (อายุ 19 ปี) ฉันเขียนงานอย่างเด็กไร้เดียงสา หลงใหลในความงาม ความดี ศรัทธากับสิ่งที่เรียกว่า "อุดมการณ์ / อุดมคติ" อ่านสารโกมล อ่านกฤษณะมูรติ อ่านซัมเมอร์ฮิลล์ อ่านฟูกูโอกะ อ่านจิตร ภูมิศักดิ์ เสกสรร ประเสริฐกุล ฯลฯ ปลิวไปกับคำว่า "พลัง /ความหวัง / ประชาชน" เขียนจบก็ส่งไปลง "วัยหวาน" (สมชื่อ!)


 


ถัดมา เวลาเลยผ่านถึงปี 2535 (อายุ 22 ปีแล้วสิ) ฉันทำงานแถวถนนอรุณอมรินทร์ กรุงเทพฯ ชวนกันกับเพื่อนว่า อืม เราน่าจะไปกินก๋วยเตี๋ยวแถวท่าพระจันทร์นะ จะได้ไปสนามหลวง ไปราชดำเนิน ไปเจอเพื่อนๆ ที่ชุมนุมอยู่แถวนั้น เราทำงานเช้าจรดเย็น โอกาสที่จะไปร่วมชุมนุมข้ามวันข้ามคืนดูเป็นไปไม่ได้


 


แล้วเราก็คิดกันว่า แหม ดีนะ เราเคยได้แต่อ่านหนังสือ 6 ตุลา 14 ตุลา ไม่เคยเจอสถานการณ์ทางการเมืองจริงๆ อย่างนี้ เวลาที่ประชาชนออกมาแสดงพลังอย่างสงบและสันติและจะไม่มีการนองเลือดอีกต่อไป!


 


ฉันโตแล้วด้วยนะ ฉันน่าจะมีบทกวีที่มาจากความจริงมากกว่าการเขียนในวัย 19 ปี


...แล้วฉันก็ได้เขียนบทที่ชื่อ "เชิญตำนาน" ในเดือนมิถุนายน ด้วยความโกรธ สับสน เกลียดชัง ขมขื่น รู้สึกอย่างมากต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น !


 


เพื่อนบางคนของเราเล่าให้ฟังในภายหลังถึงการหลบหนีด้วยความตื่นตระหนก ใครต่อใครพาไปกันไปดูรอยกระสุนที่เจาะทะลุต้นไม้ อ่านบทความมากมายต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น


 


เราคิดแล้วคิดอีกว่า เลือดกับน้ำตาเหล่านั้น มีค่าหรือไม่มี ?


                                           


ผ่านมาอีก 8 ปีเต็ม ในปี 2543 ฉันอายุ 30 ปีแล้ว จู่ๆ ก็นึกรู้ขึ้นมาว่า โลกใบนี้ไม่มีอะไรใหม่สักนิด ทุกอย่างไม่มีความจีรังยั่งยืน แม้แต่การถือครองอำนาจวาสนา มาแล้วไป ไปแล้วมา อีกความดีความเลวเกลี่ยเคล้าหากันยากจะแยกแยะ


 


ฉันเคยงดเว้นการเข้าร้าน 24 ชั่วโมง ไม่ซื้อของหลายยี่ห้อ เพื่อจะพบว่าเรากลายเป็นคนประหลาดในสายตาเพื่อนๆ


 


มีใครคนหนึ่งบอกฉันว่า โลกนี้ซับซ้อนเกินไป เราไม่สามารถจำแนกสิ่งต่างๆ ออกจากกันโดยเด็ดขาดแล้ว เราไม่อาจย้อนไปใช้ชีวิตเหมือนอดีต ควบคุมอนาคต หรือตัดสินสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยมุมมองด้านเดียว


 


ฉันมึนงงสับสนหนักขึ้นไปอีก ในระหว่างนั้น ยิ่งแปลกแยกแม้แต่กับตัวเอง เราจะยึดถืออะไรได้บ้าง ในโลกที่เงินเป็นใหญ่? ทุกคนมุ่งหน้าไปสู่ทางเดียวกัน มีบ้าน มีรถ มีเงิน มีความมั่นคง มีเสถียรภาพ  และมีพวกพ้องเอื้ออำนวยประโยชน์แก่และกัน


 


ฉันมีเรื่องสะเทือนใจจนไม่อยากจดจำ แต่ก็ยังจำ เมื่อเพื่อนบางคนที่นับถือกันมาก สอนว่า


 "อย่าไปสนใจอย่างอื่น ดูแลแต่ในรั้วบ้านเราก็พอ ปลูกผักทำสวนในที่ของเรา ถึงสภาพภายนอกจะเป็นอย่างไร รุงรังมีแต่ขยะ เราก็จะมีความสุขเสมอ"


 


ฉันเขียนบทที่ชื่อ "เชิญคนดี" ในค่ำคืนหนึ่ง ไม่แน่ใจแล้วว่านี่เป็นความคิดจริงๆ หรือคือการประชดประชันกันแน่


สวนในบ้านของเรา เอาเข้าจริงๆ แผ่นดินนั้นก็ต่อเนื่องไปไม่อาจวัดพรมแดน สวนในหัวใจเล่า จะดูแลมันอย่างไร และถ้าโลกภายนอกถูกไฟโหมไหม้กระหน่ำ เราจะยังปลูกดอกไม้อยู่ได้อย่างไร?


 


ฉันเก็บบทกวีชิ้นนี้ไว้นานแสนนาน ระหว่างการเดินทางผ่านวันแต่ละวัน เลขบอกปีเดือนเคลื่อนไปเรื่อยๆ ลุถึงปัจจุบัน ฉันพบตัวเองไล่ตาอ่านข่าวสารในไซเบอร์สเปซ ว่าด้วยการ "ออกไป!" อีกครั้ง


 


ปีนี้ 2549 แล้ว ฉันอายุเกือบสี่สิบปีแล้ว (!) ย้ายจากกรุงเทพฯ กลับสู่เชียงใหม่


เพื่อนหลายคนส่งข่าวว่าได้ไปร่วมแสดงพลังอย่างเดิม ขณะที่เพื่อนอีกหลายคนยังยืนยันว่าไม่อยากยุ่งเกี่ยวใดๆ ในเว็บไซต์ของกลุ่มสะพานก็มีการถกเถียงกันอย่างดุเดือด (ครื้นเครงดี) ออกไปซื้อของหน้าปากซอย แม่ค้าก็พูดคุยกันถึง "ม็อบ"


 


ฉันถามตัวเองว่า ตอนนี้อยู่ฝ่ายไหน คำตอบในหัวใจเหี่ยวเฉาว่า "น่าจะฝ่ายจริยธรรม" เอาเข้าจริงๆ ฉันก็เป็นคนบ้านนอก ล้าหลัง ไม่ทันสมัย กลับไปบอยคอตสินค้าหลายๆ ประเภท คิดเอาเองว่าไม่มีบ้านใหญ่ ไม่มีรถแพง ไม่มีเงินมากๆ ก็ได้ แต่ขอให้มีเพื่อนบ้านที่ไม่ได้ห่วงแต่สวนในรั้วตัวเอง อย่างน้อยที่สุด อยู่มาสามสิบกว่าปี สิ่งที่ทำให้ฉันอยู่รอดมาได้ ไม่ใช่ "เงิน" ตัวเดียว


 


ฉันไม่รู้หรอกว่า ผู้คนมากมายที่ออกมายืนคนละฝั่งกันนั้น แต่ละฝั่ง ยังมีสีทับซ้อนอย่างไร มีเบื้องลึกเบื้องหลังแค่ไหน แต่อย่างน้อยที่สุด หลายคนที่ฉันรู้จัก พวกเขาออกไปด้วยใจ ด้วยจิตสำนึก และให้ค่ากับ "ความชอบธรรม" อย่างจริงใจ


 


ฉันกลับมาอ่านบทกวีเก่าๆ อีกครั้ง แล้วจึงอยากทวนกระแส ขอกลับไปไร้เดียงสา ขอมอบบทกวีในปีอายุ 19 กับปีที่อายุ 30 แด่เพื่อนๆ มากมายอีกครั้ง


 


แน่นอน โลกนี้ไม่มีอะไรใหม่ ทุกสิ่งมาแล้วไป ไปแล้วมา อำนาจวาสนาไม่ใช่ของจีรัง แต่เมื่อไหร่ที่มันจีรัง และผู้นำทางการเมืองปราศจากความชอบธรรม ไร้จริยธรรม ต่อให้เราล้อมรั้วตัวเองแข็งแรงแค่ไหน


 


ไฟก็ลามมาถึง.                                  


                                            



0 0 0