Skip to main content

สังขารที่ร่วงโรยกับการแพ้เพื่อชนะ

คอลัมน์/ชุมชน


 


หลังจากพิมพ์บทความส่งให้ "ประชาไท" เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (๑๒ มีนาคม ๒๕๔๙) ผู้เขียนก็ล้มป่วยด้วยอาการไข้หวัดใหญ่ แต่ไม่ได้มีโอกาสได้นอนพักจนกระทั่งศุกร์ที่ผ่านมา เลยนอนๆตื่นๆมันซะสามวันรวด ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ไม่ทำงานอะไร แถมมีอาการนอนไม่หลับแทรกมาบ้าง แต่ก็นอนได้มากกว่าปกติ ช่วยให้ฟื้นไข้ได้เร็ว ถามหมอรุ่นน้องประจำตัวจึงได้รับคำตอบว่า กว่าจะหายสนิทจริงอาจกินเวลาสองสัปดาห์หรือมากกว่า ตอนนี้กินยาปฏิชีวนะเพราะคอเจ็บซึ่งดีขึ้นมากแล้วแต่ต้องทานให้ครบๆ ไม่งั้นต่อไปจะดื้อยา ทรมานเหลือเกินกับการเจ็บป่วยครั้งนี้


 


ผู้เขียนเป็นพวกที่มีบุคลิกที่เรียกว่า "ไทป์เอ" ซึ่งหมายถึงว่าเป็นพวกที่มีแรงการทำงานสูง และอยากให้อะไรมันเสร็จๆ ไปซะ ไม่ปล่อยวาง หลายหนเกิดอาการวิตกจริต แก้เท่าไรไม่ค่อยหาย เป็นมาแต่ไหนแต่ไร นี่แก่แล้วดีกว่าตอนเด็กๆแยะ ไม่ใช่เพราะอะไรนอกจากสังขารที่ร่วงโรย ยิ่งกังวลยิ่งทำให้นอนไม่หลับ ยิ่งห่วงงานยิ่งทรมานตนเอง สมัยก่อนกินเข้าไปไม่ยั้ง นอนไม่หลับนั้นของตาย พอแก่ตัวนี่กลายเป็นกินไม่ได้นอนไม่ได้ ร่างกายยิ่งโทรม ตกใจเหมือนกันว่าอืมคนเราเป็นกันได้ขนาดนี้ สังเวชตนเองแบบบอกไม่ถูก


 


นอกจากนี้เรื่องการเดินทางไกลๆ คงไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในใจของผู้เขียนอีกด้วย การเดินทางกลับมาอเมริกาทุกครั้ง ผู้เขียนจะต้องป่วยทุกครั้งในระยะ 4-5 ปีมานี้ มากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่สถานการณ์ คราวนี้กลับมาตอนอุณหภูมิทุเรศที่สุด เพราะว่าที่เมืองไทยอยู่ที่ราว 30 กว่าเซลเซียส  มาถึงนี่ตกลงมาเป็นลบ 10 ลบ 15 เซลเซียส แถมมีใจเป็นกังวลเรื่องการเก็บงานต่างๆ ที่จะกลับไทยถาวร เหลือเวลาไม่กี่อาทิตย์  แล้วก็เริ่มสอนทันที ร่างกายไม่ได้พักผ่อน และสังขารที่ร่วงโรยบอบช้ำจากวัยยี่สิบ สามสิบที่มาเรียนต่างประเทศ และทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำ มันจึงล้มอย่างไม่เป็นท่า ทั้งนี้ไม่รวมกับอาการเจ็บป่วยอื่นๆ เช่น ความดันโลหิตที่ค่อนข้างสูง และอาการปลายประสาทอักเสบอันมาจากการนั่งทำงานนานและยกของหนักผิดสุขลักษณะ ทำให้เกิดการกดทับที่กระดูกสันหลังส่วนล่าง นอกจากนี้ก็มีอาการ "ไอบีเอส" ที่เข้ามาเป็นระยะๆ จนเป็นเพื่อนสนิทที่ไม่น่าปรารถนาอีกด้วย


 


บทความนี้คงไม่ใช่การบ่น แต่เป็นการเล่าเรื่องว่า แม้อายุเพิ่งขึ้นเลข 4 ร่างกายเริ่มถดถอย อยากบอกกับคนทั่วไปให้ระวังรักษา และถนอมตนเองบ้าง นี่ขนาดผู้เขียนไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นยาเสพติด อะไรทั้งสิ้น ยังมีอาการขนาดนี้ คนที่เอาทุกอย่างอาจจะไม่เหลืออะไรเลย อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเรื่องการทำงานหนักและปัญหาสุขภาพจิตที่เป็นพวกขยันเกินเหตุ ก็ไม่ได้น้อยหน้ากว่ากัน ต่างกันที่ว่าตึงเกินไปกับหย่อนเกินไปเท่านั้น ตรงกลางหามีไม่  ดังนั้นคนทีมีพฤติกรรมคล้ายๆ ผู้เขียนก็อาจมองตนเองเสียใหม่และปรับตัว อาจไม่ต้องประสบกับปัญหาแบบผู้เขียน


 


แต่ที่ต้องการขยายความต่อก็คือ ความเป็นปัจเจกบุคคลของผู้เขียนที่มีลักษณะดังกล่าว มีผลกระทบต่อคนรอบข้าง และคนรอบข้างเองก็มีผลกระทบต่อผู้เขียน ซึ่งเราๆท่านๆก็น่าที่จะมองในจุดนี้ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญในการมองปัญหา


 


เริ่มมองจากตนเองก่อน การที่ผู้เขียนเป็นคนที่ต้องการให้การงานประสบความสำเร็จถือเป็นสิ่งดี แต่หลายครั้งงานนั้นต้องมีผู้อื่นเข้ามาเป็นส่วนประกอบ เช่น การทำงานร่วมกันเป็นทีม หรืองานของเราต้องให้คนอื่นเป็นผู้ตัดสิน หรือบางทีงานนั้นคือปัญหาที่ผู้อื่นเอามาให้เรา เช่น เป็นครูที่ต้องแก้ปัญหาให้ศิษย์ซึ่งมาไม่ได้หยุด การแก้ปัญหาหรือการที่ทำงานให้ลุล่วงไปได้ด้วยดีจึงมีตัวแปรที่ควบคุมไม่ได้มากมาย ทำให้เกิดความคับข้องใจ ความอึดอัด ความไม่แน่ใจ และความกังวล เหล่านี้เป็นเครื่องบั่นทอนตนเอง แต่คนที่สร้างปัญหาให้เรานั้นเขาไม่รู้ ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเราจะเป็นเช่นไร แต่ตัวเราเสียอีกที่ทนไม่ได้ที่จะเห็นปัญหาบานปลาย  หรือแก้ไม่ได้


 


หลายคนก็เป็นพวกที่ต้องการคุมทุกอย่างแล้วก็มาแผลงฤทธิ์ ซึ่งก็ไม่ได้ก่อให้เกิดผลดีในระยะยาวกับทุกฝ่าย ดังนั้นการทำงานกับคนจึงเป็นปัญหาที่สำคัญเพราะเราควบคุมมนุษย์ไม่ได้ ไม่ว่าคนนั้นจะอยู่ใต้เราหรือเหนือเรา เราต้องพึ่งเค้า หลายคนคิดว่าไม่ต้องพึ่งใครเลย ซึ่งคิดผิด ท้ายสุดไปไม่ได้ไกล หลายคนก็ชอบพึ่งคนอื่นเสียจนทำอะไรไม่ได้ ก็สุดโต่งทั้งสองฝ่าย


 


ทั้งสองประเภทมีผลต่อการทำงานของเรา ดังนั้น จุดต่อไปคือการมองคนอื่นด้วย การทำใจที่ต้องเจอคนประเภทต่างๆ และการรู้จักทำงานร่วมกับคนอื่น


 


เรื่องคนประเภทต่างๆ เป็นเรื่องที่ทำใจได้ยาก หลายคนไม่รู้ว่าตนเองเป็นปัญหาต่อคนอื่น ยังไงๆ ก็ไม่เคยรู้เพราะไม่คิดจะรู้ อันนี้เรียกว่าเป็นพวกที่เอาตนเองเป็นที่ตั้ง เอาผลประโยชน์ตนเองเป็นเรื่องใหญ่ ใครจะชิบหายช่างมัน ส่วนมากพวกนี้มักเป็นพวกสำคัญตนผิด แต่ในใจลึกๆก็ตั้งคำถามว่าถ้าตนเองหมดอำนาจวาสนาแล้วจะทำอย่างไร จะมีแผ่นดินอยู่หรือไม่ ดังนั้นเพราะความกลัวจึงต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะกำจัดใครต่อใครที่คิดว่าจะเป็นเสี้ยนหนามต่อตนเอง และชอบใจที่จะมีคนมาสอพลอ ป้อยอ เป็นการเสริมอีโก้ต่อตนเอง


 


บุคคลเหล่านี้มีให้พบเห็นทั่วไปไม่ว่าที่ไหนในโลก แตกต่างกันไปบ้างตามแต่สังคมและวัฒนธรรม แต่พื้นฐานคือความไม่มั่นคงทางจิตใจ ผู้เขียนพบว่าผู้ใหญ่หลายคนในประเทศไทยที่เป็นแบบนี้มักไปฝักใฝ่กับพวกหมอดู หมอผี เข้าเจ้าเข้าทรง ไม่เช่นนั้นก็เป็นพวกซื้อบุญเพราะกลัวว่าจะลำบากในชีวิตที่เหลือและเป็นการลงทุนเพื่อชาติหน้า เรียกเอาว่า "ทุนนิยม" เป็นสรณะบวกกับไสยศาสตร์ หลายคนจึงตกเป็นเครื่องมือขององค์กรขายบุญสร้างบุญ หรือบ้าพ่อมดหมอผี ตามแต่หนทางที่เลือกกัน


 


เมื่อเราเจอคนที่เอาผลประโยชน์ของตนเองเป็นใหญ่ การเลี่ยงการปะทะหรือเผชิญหน้าเป็นเรื่องที่เราพยายามทำกันเป็นประจำ แต่บางครั้งก็เลี่ยงไม่ได้ การปะทะกันจึงต้องเกิดและเราต้องยอมรับผลที่ตามมา แต่ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าการปะทะกันย่อมมีเรื่องสูญเสียและได้มา ถ้าเรายอมรับได้กับเงื่อนไขข้อนี้ ก็ไม่น่ามีปัญหาอย่างไร


 


ส่วนเรื่องต่อมาคือการที่ต้องทำงานด้วยกันโดยเลี่ยงการปะทะก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เครียดไม่แพ้กัน ตามหลักของไทยๆหรือแม้กับฝรั่งในหลายเหตุการณ์ก็ตามที การที่ปฏิบัติแบบ "น้ำขุ่นไว้ข้างใน น้ำใสไว้ข้างนอก" หรือ "น้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตาย" ก็มีผลในทางบวกเช่นกัน หลายๆ หนผู้เขียนยอมรับว่าวิธีนี้ค่อนข้างจะได้ผล แต่ต้องอดทนอย่างที่สุด หลายครั้งปัญหาได้แก้ไขด้วยตัวมันเอง แต่ใช้เวลานานและบางครั้งก็นานเกินไป จนทำให้เสียโอกาสบางอย่างไป


 


ไม่ว่าจะเลือกเอาวิธีอย่างไรมาแก้ไข สุดท้ายก็มาจบที่ประเด็นว่า "อดทน" และ "อดกลั้น" ใครทนได้มากกว่า คนนั้นมักเป็นผู้ชนะ แต่กว่าจะชนะนั้นอาจแพ้แล้วแพ้อีกก็ได้ ถ้าคนคิดได้ว่าการแพ้ไม่ใช่การสิ้นสุดของเกมชีวิต เพราะตราบใดที่ชีวิตยังไม่จบสิ้น โอกาสในอนาคตน่าจะมีถ้าเราวางแผนได้รัดกุมพอ นอกจากนี้การที่เรายอม "แพ้" เพื่อคนส่วนรวม เพื่อโชว์ว่าเรามีสปิริต ไม่ใช่เรื่องน่าอับอาย เป็นเรื่องที่ทำได้ถ้าหากว่าเป็นคนที่ทันต่อชีวิต ทันต่อเกม ไม่จำกัดว่าคนนั้นต้องเป็นยาจกหรือผู้บริหารประเทศ


 


วันนี้ผู้เขียนยอม "แพ้" เพื่อชนะในชีวิตแบบผู้เขียน ผู้เขียนยอมถอยที่จะวาง "หัวโขน" การเป็นครูในสหรัฐฯ ที่ผู้เขียนเคยใฝ่ฝันมาในชีวิต กว่าจะมาวันนี้ได้ ผู้เขียนก็ได้ฟันฝ่ามาหลายเรื่อง มีหยดเลือดและหยาดน้ำตาในโลกใบเล็กๆ ของผู้เขียน แต่ผู้เขียนก็จะทำเพื่ออิสรภาพบางอย่างของตนเองและเพื่อคนอื่นอีกครั้ง


 


สังขารถึงแม้จะร่วงโรยก็ปล่อยมันไปตามครรลองที่ควรจะเป็น ฝืนไม่ได้ แต่ขอให้มี wisdom ที่เพิ่มพูนขึ้นมา ปัญญาที่เรียกว่า wisdom นี้จะเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตเดินก้าวไปอย่างไม่หยุดยั้ง อำนาจหรือเกียรติยศหน้าตาทางสังคมไม่ใช่สิ่งที่อยู่ยืนยง แต่การที่เรารู้แจ้งเห็นจริงถึงคำว่า "ชีวิต" หรือ Internalization น่าจะเป็นสิ่งที่เราควรแสวงหาและเข้าถึงมากกว่า เรื่องนี้การได้ปริญญาสูงๆ ก็อาจช่วยไม่ได้ในบางครั้ง


 


กว่าจะถึงสัปดาห์หน้า ชีวิตคงเปลี่ยนไปอีก แล้วเราคงมีเรื่องมาคุยกันอีก สวัสดี