Skip to main content

เสียงร้องที่ไม่มีใครได้ยิน


วันที่ 4 ของการเดินทางอพยพ ขบวนแถวของพวกเขาเดินผ่านข้ามสันเขาอย่างทรหดอดทนลูกแล้วลูกเล่า โดยไม่มีเสียงร้องบ่นของใครหลุดลอดออกจากปากเลย ความเหนื่อยหนักจากการเดินทางนั้นไม่อาจเทียบได้กับความทุกข์ระทมที่พวกเขาได้ประสบ และกำลังบ่ายหน้าหนีจากมันมา


 


ดินแดนที่เหล่าผู้อพยพจากมานั้นร้อนระอุไปด้วยไฟสงคราม ที่ซึ่งมีการรบราเข่นฆ่าราวกับว่าโกรธแค้นกันมาแต่ชาติปางก่อน สงครามระหว่างกลุ่มกองและฝักฝ่ายต่าง ๆ ได้เปลี่ยนผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ที่พวกเขาเคยอาศัยอยู่อย่างมีอิสระให้เป็นสมรภูมิรบอันบ้าคลั่ง ภูเขาคละคลุ้งอบอวลด้วยควันปืนและเสียงก้องสะท้อนของอาวุธที่ใช้ในการทำลายล้าง


 


เป็นความจริงที่ว่าสงครามมืดบอดต่อความปราณี และมีความอยุติธรรมอย่างเท่าเทียม ไม่ว่าจะกับเด็ก คนแก่ ผู้หญิง ผู้ชาย ทุกคนได้รับความเดือดร้อนกันถ้วนหนาจากการทำลายล้างกันที่ไม่รู้วันจบ


 


แม้ว่าพวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้องใด ๆ ด้วยเลย แต่พวกเขาก็ตกอยู่ในฉากของสงครามซึ่งไม่อาจหลีกเลี่ยงจากผลพวงอันโหดร้ายของมันได้ หนทางที่ดีที่สุดไม่ใช่การเลือกเข้าข้างใดข้างหนึ่งของกองกำลังฝักฝ่ายต่าง ๆ ที่สู้รบกันอยู่ แต่คือการหลีกลี้หนีให้ไกลจากมัน


 


ไม่ว่าผืนแผ่นดินข้างหน้าจะเป็นอย่างไร อย่างน้อยที่สุดมันก็คงจะดีกว่าสภาพที่เป็นอยู่ในบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง พวกเขาใช้เวลาอยู่นานครันกว่าจะยอมรับความจริงได้ว่าไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปในมาตุภูมิของตนเอง


 


อันที่จริงถ้าเลือกอพยพเสียตั้งแต่แรก ความทรงจำของพวกเขาก็คงจะไม่บรรจุเรื่องราวแห่งความขมขื่นและทิ้งริ้วรอยแผลไว้มากขนาดนี้


 


แต่ในตอนแรก พวกเขาเลือกที่จะอดทนเพื่อต้องการอยู่ในแผ่นดินบ้านเกิดของตนเองด้วยคิดเอาง่าย ๆ ว่าการสู้รบอาจยุติลงในเร็ววัน และถึงสู้รบกัน พวกเขาก็ไม่น่าจะเกี่ยวอะไรด้วย การมองโลกในแง่ดี และการตัดสินใจปักหลักอดทนอยู่ต่อไปทำให้พวกเขาผ่านวันเวลาแห่งความทุกข์อันสาหัสเกินคาดคิด


 


เมื่อความอดทนกลายเป็นความทนทุกข์ที่ไม่สิ้นสุด และเมื่อไม่ต้องการเลือกข้าง ทางเดียวที่มีอยู่คือการอพยพ  ดินแดนของประเทศที่อยู่ติดกันคือเป้าหมายที่เหล่าคนพลัดถิ่นมุ่งไปสู่…


 


เมื่อมองจากสันเขาลูกถัดไป จะเห็นเหล่าผู้อพยพตัวเล็กเท่ามดตะนอยเดินเรียงกันไปเป็นแถวอย่างมีระเบียบตามทางอันขรุขระคดเคี้ยวบนไหล่เขา ซึ่งปกคลุมด้วยม่านสีเขียวเข้มของใบไม้  


 


แม้ว่าผู้อพยพตัวเล็ก ๆ จะเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า ทว่าการเคลื่อนไหวของพวกเขาก็เป็นที่สังเกตได้โดยง่ายเพราะท่ามกลางขุนเขาอันเคร่งขรึมสงบ การเคลื่อนขยับตัวของขบวนแถวผู้อพยพย่อมสามารถดึงสายตาให้หันเหไปหาได้


 


หากมองในระยะใกล้ ๆ จะเห็นว่าเหล่าผู้อพยพซึ่งกะคำนวณด้วยสายตาประมาณ 40 คนประกอบไปด้วยคนทุกเพศทุกวัย แต่ละคนต่างหอบหิ้วสัมภาระหนักอึ้งเท่าที่กำลังกายและกำลังใจจะแบกรับได้ บางคนทูนของที่ห่อหุ้มอย่างดีไว้บนหัว ในขณะที่บางคนมัดสัมภาระไว้ติดกับแผ่นหลังซึ่งน้ำหนักของมันทำให้ต้องค้อมตัวลง และต้องค้อมลงเรื่อย ๆ เมื่อต้องแบกไว้นาน  เด็กบางคนมีสีหน้าบิดเบี้ยวเพราะต้องทนทานกับน้ำหนักของสัมภาระที่ติดตัวมามากเกินไป


 


พวกเขาและเธอต่างมอมแมม และแต่งกายด้วยเสื้อผ้าแปลกตา  เครื่องเงินที่ประดับไว้ตามส่วนต่าง  ๆ ของเสื้อผ้าของพวกผู้หญิงสะท้อนกับแสงอาทิตย์ยามเที่ยงจนเกิดแสงวูบวาบบาดตาไม่ชวนมองเลยแม้แต่น้อย  


 


ดวงแดดเริงแรงในยามเที่ยงส่องต้องผิวหนังจนรู้สึกแสบ เม็ดเหงื่อผุดขึ้นตามที่ต่าง ๆ บนร่างกายก่อนจะไหลนองลงมาเป็นทาง  เด็กน้อยคนหนึ่งพยายามยกแขนขึ้นเช็ดเหงื่อ แต่ไม่อาจทำได้เพราะมือหิ้วของไว้หนักเกินไป ดังนั้นจึงปล่อยให้สายเหงื่อไหลผ่านคิ้วลงมาอาบหน้า ค้างอยู่ตรงริมฝีปาก แล้วหยดลงพื้นดิน


 


"แม่  ฉันไม่ไหวแล้ว!" อาคำอยากจะพูดเช่นนี้ แต่แล้วก็เก็บกลืนคำพูดนั้นไว้


น้องชายของอาคำซึ่งเพิ่งคลอดได้ไม่นานนัก ร้องโยเยไม่ยอมหยุด ความร้อนและหิวทำให้ทารกส่งเสียงร้องกวน ผู้เป็นแม่พยายามทำให้ลูกหยุดร้อง หล่อนเอาปากแนบกับปากของลูก ได้ผล เด็กทารกหยุดร้องในทันที


 


กลุ่มผู้อพยพยังคงเดินต่อไปด้วยแข้งขาที่ล้าแรง จนกระทั่งใครคนหนึ่งซึ่งท่าทางเป็นผู้นำบอกว่าให้พักกันก่อน ด้วยเห็นว่ามันจะเป็นการเหนื่อยเพลีย และเปลืองแรงมากเกินไปสำหรับเด็กและคนแก่หากฝืนเดินต่อท่ามกลางเปลวแดดอันร้อนทุรน


 


ผู้อพยพหลบเข้าร่มไม้ใหญ่ บางคนทิ้งตัวลงนอนแผ่หราอย่างหมดแรง คนเป็นแม่ได้โอกาสเอานมให้ลูกกิน อาคำเอาแตะตัวน้อง และพบว่าน้องน้อย ๆ ตัวร้อนราวสุมไฟ


 


พวกเขาพักกินอาหารที่เตรียมมา ข้าวที่หุงเมื่อเช้ายังเหลืออยู่ กับข้าวก็ปรุงขึ้นอย่างง่าย ๆ มีผักจิ้มกับพริกกับเกลือ  ชายหนุ่มบางคนไปเก็บกล้วยป่ามากินเพราะข้าวที่มีอยู่นั้นไม่เพียงพอสำหรับทุกคน นึก ๆ แล้วก็น่าเศร้าใจนัก อาหารการกินเคยมีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ มีทั้งหมู ทั้งวัว ไก่หรือก็มาก สัตว์ป่าก็มีไม่น้อย แต่นี่กลับมาต้องเก็บผักเก็บหญ้ากินกันตาย


 


แม่ของอาคำร้องไห้กระซิก  เมื่อพบว่าทารกในอ้อมกอดนั้นตายเสียแล้ว   เสียงร้องไห้ของหล่อนถูกกลบไว้ด้วยความอาดูรสูญสิ้นที่ท่วมท้นอยู่ในใจ  ความเจ็บปวดสะท้านสะเทือนอยู่ในทรวงอก แทบไม่มีใครสังเกตเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับหล่อนและลูกน้อยของหล่อน อาคำก็ร้องไห้เช่นกัน เขารักน้องตัวน้อยของเขา เขาก็จะไม่ได้เล่นกับน้องของเขาอีกแล้ว


 


พ่อของอาคำไม่ได้เดินทางมาด้วย เพราะหายสาบสูญไปตั้งแต่ถูกเกณฑ์ไปเป็นลูกหาบให้กับกองทหาร  บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ ไม่มีใครกินข้าวลง ผู้เฒ่าคนหนึ่งเข้ามาจับตัวเด็กซึ่งตอนนี้ซีดเหลือง


"เราต้องรีบทำพิธีศพให้เด็ก" ผู้เฒ่าบอก


 


ทารกดูเหมือนหลับสนิท ปากอ้าค้าง มือน้อยนั้นกำแน่น อาคำลูบผากน้องน้อยอย่างรักใคร่


ส่วนแม่ของอาคำก็บอกว่า  "หลับเสียเถิดนะ แม่จะกอดเจ้าเอง" หล่อนคิดไปว่าลูกของหล่อนเพียงแต่หลับไป


 


พิธีศพของเด็กทารกกระทำกันตามมีตามเกิด ใครบางคนบอกว่าไม่ควรจะฝังเพราะมันจะทำให้เสียเวลาในการขุดหลุม แค่หากิ่งก้านใบไม้มาปิดไว้ก็น่าจะเพียงพอ หากมัวแต่ชักช้าพวกทหารอาจตามมาพบเข้าก็ได้ และถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่มีใครรอด


 


แต่ผู้เฒ่าซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มบอกว่า


"การทำอย่างนี้โหดร้ายเกินไป ลองคิดดูสิว่าวิญญาณของเด็กจะเป็นอย่างไรถ้าเราไม่ทำพิธีให้เขาอย่างครบถ้วน ทารกน้อยเกิดมาและมีชีวิตอยู่เพียงสั้น ๆ ท่ามกลางความเวทนา เราอย่าให้เขาตายไปด้วยความเวทนาเลย"


 


อาคำ สะอื้นฮัก ๆ ด้วยความเสียใจ เขาได้สูญเสียน้องน้อยของเขาไปตลอดกาล  แต่อาคำก็ยังพยายามข่มเก็บความเสียใจไว้กับตัว ไม่อยากให้คนอื่นต้องพลอยเศร้าใจไปมากกว่าที่เป็นอยู่ อาคำร้องไห้แต่ไม่มีเสียง เสียงร้องของเขาจึงไม่มีใครได้ยิน.