Skip to main content

คนขี้เหงา

คอลัมน์/ชุมชน



 


คิดถึงฉันไหม ทำไมไม่มาหา
หรือฉันไม่มีค่าเพียงพอ
ไม่เคยสนใจเลย ไม่มาเคล้าคลอ
หรือจะรอ ให้ตายจากกัน


 



* กลางวันฉันเหงา กลางคืนฉันโหยหา
คิดถึงทุกเวลาห้านาที
เป็นคนขี้เหงา เข้าใจบ้างซิ
มีใครบ้างเป็นห่วงเป็นใย


 



** แล้วที่ฉันไม่สบายรู้หรือเปล่า
ข่าวคราวถามถึงกันไม่มีบ้างเลย
ทิ้งให้คนป่วยน้อยใจตามเคย
นานเลยกว่าจะหาย


 



(http://www.kapook.com/musicstation/newmusicstation/play.php?id=1377)


 




วันนี้ปวดหัวเล็กน้อยไม่ใช่เพราะพิษไข้จากร่างกาย แต่เป็นเพราะคิดไม่ออกว่าจะส่งต้นฉบับให้ "ประชาไท" อย่างไร ทุกครั้งที่จะทำบทความให้จะต้องตั้งใจให้มั่นว่า คนอ่านจะต้องได้อะไรบ้างจากงานเขียน ไม่ใช่ให้คนอ่านเสียเวลามาอ่านฟรีๆ ในที่สุดก็นึกขึ้นมาได้ว่า เมื่อตอนเด็กกว่านี้ ราวปี 2532-2533 เพลง "คนขี้เหงา" ของ "นีโน่" ดังมาก เป็นของค่ายเพลง "คีตา" แล้วมีสปอนเซอร์ที่เป็นฟิล์มถ่ายรูปที่มีสัญลักษณ์ "สีเหลือง" มาอุปถัมภ์ ตอนนั้นผู้เขียนทำงานให้กับค่าย "สีเขียว" จึงจับตามองตามหน้าที่ เป็นช่วงที่เพลงไทยออกมากันมากมาย




ที่ตลกมากพอที่ทำให้จำเพลงนี้ได้คือยายของผู้เขียนจำเพลงนี้ได้ เคยเปรยๆ ว่าคนแก่ก็เหงาได้ แล้วชอบเพลงนี้ของนีโน่ ผู้เขียนขำแต่ไม่กล้าพูด ตอนนั้นยายราวๆ 70 กว่าๆ  ตอนนี้ยายอายุ 92 แล้ว ยังมีชีวิตอยู่ ยายแก่ไปมากแต่แข็งแรงกว่าคนในวัยเดียวกัน ตอนนั้นแม้จะ 70 กว่าๆ ยายก็แข็งแรงแบบคนสาวๆ แพ้เลย  เอาเป็นว่าผู้เขียนอยากได้จุดนี้ของยายมากๆ แต่ขออยู่ไม่นานอย่างยายเพราะกว่าจะถึงสมัยนั้นคงไม่โชคดีอย่างยายที่มีลูก-หลาน-เหลน คอยดูแล (ถ้าจำไม่ผิด ยายอาจได้เห็นโหลนก็ได้ เพราะหลานที่เป็นลูกของพี่ชายของป้าผู้เขียนก็โตเป็นสาว-หนุ่มกันหมดแล้ว) เอาเป็นว่างานนี้ขอยืมยายมาหากินหน่อยแล้วกัน


 




ที่ผู้เขียนโยงมาตรงนี้เพราะผู้เขียนตอนป่วยที่ผ่านมานั้นเหงาใจแทบขาด แม้คนรอบข้างจะเต็มไปหมด เดินไปทางไหนก็มีคนเดินสวนไปมา แต่มันแห้งๆ ตอนเดินขณะป่วยนี่มันทรมานเหลือเกิน หากล้มไปจริงๆ และอยู่โรงพยาบาลไปเลยคงเหงาอีกแบบ หากแต่ตอนป่วยแบบที่พอทำไรได้บ้างแล้วกลับบ้านคนเดียวนี่ มันหนาวใจอย่างบอกไม่ถูก อากาศตรงนี้ก็หนาวๆ ซ้ำอีก ขนาดที่มาอยู่อเมริกาคนเดียวกว่า 13 ปีแล้ว ตอนแก่ตัวเรี่ยวแรงถดถอยนี่ มันต่างกันแยะ เคยคิดเหมือนกันว่าถ้าบังเอิญต้องตายปัจจุบันทันด่วนในห้องพักคนเดียวนี่ จะเป็นอย่างไร คิดแล้วก็ปลงว่าอะไรจะเกิดต้องเกิด ทำได้แค่นั้น


 


 



พ่อแม่ผู้เขียนโชคดีกว่าผู้เขียนที่มีลูก-หลาน ล้อมรอบ อายุมาก เลขเจ็ด เลขแปดกัน ความสุขคือการที่มีครอบครัวที่ปัญหาไม่มากนัก แต่กว่าจะมาวันนี้ก็ผ่านอะไรมาไม่น้อย แต่ปัญหาคนรุ่นพ่อแม่เราก็คนละแบบกับปัญหารุ่นพวกเราปัจจุบัน ความซับซ้อนก็น้อยกว่า แต่เราคงเปรียบไม่ได้ ปัจจุบันมีเครื่องไม้เครื่องมือมีเทคโนโลยีมากมาย สังคมซับซ้อนขึ้น อะไรง่ายๆ ไม่มีแล้ว นอกจากความมักง่ายของคน


 


 




ผู้เขียนมักถูกถามว่า มาอยู่เมืองนอกคนเดียวปกติไม่เหงาเหรอ ก็ตอบไปว่า "หงอย" เสียมากกว่าเพราะหาคนที่จะคุยด้วยได้ไม่มาก ไม่ใช่เพราะอะไร แต่เพราะตัวตนของผู้เขียนที่คิดต่างกับคนที่อเมริกา เราเข้าใจเขาง่ายกว่าเขาเข้าใจเรา แล้วในขณะเดียวกันก็พบว่าหลายครั้งก็คุย "สาระ" กับคนไทยหลายคน แล้วเค้าไม่รู้เรื่อง ไม่จำกัดว่าที่ไหนก็ตาม เป็นเพราะคนไทยก็เป็นไทย ยกเว้นเมื่อเอาสนุกเม้าท์แตกแบบ "ทอล์คโชว์" นั่นแหละจึงติดอกติดใจกันนัก สาระไม่ได้ ดังนั้น ตนเองก็ตกในลักษณะ "นกมีหูหนูมีปีก" เข้าได้ทั้งสองแบบ แต่ไม่ใช่ทั้งสองแบบ


 


 




บางครั้งมีคนไทยบางคนมักเข้าใจผิดคิดว่าผู้เขียนเป็นคน "condescending" ซึ่งเปล่าเลย เพียงเพราะว่าการชี้แจงที่ต่างมิติ ไม่เหมือนในกรอบของไทย ก็ทำให้คนบางคนที่ใช้กรอบแบบไทยอาจรู้สึกไปเอง ในขณะที่คุยกับฝรั่ง กลายเป็นว่าเรา "informative" อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ผู้เขียนต้องระวัง นอกจากนี้แม้ในแนวการเขียนเองก็เกิดปัญหาว่า "condescending" เพราะเอาเรื่องส่วนตัวมาเล่า บางทีเหมือน "ยกตนข่มท่าน" ซึ่งไม่ได้มีเจตนา เพราะบางเรื่องนั้นผู้เขียนเห็นเป็นเรื่องปกติ แต่คนอ่านรู้สึกว่าไกลเกินตัว "เว่อร์" ทำให้หลายหนก็เกร็ง ทั้งที่ไม่คิดอะไรเลย เสียใจอยู่หลายครั้งที่โดนตำหนิ เกร็งไปหลายหน ทุกวันนี้ก็พยายามเลี่ยงอย่างที่สุด


 


 




การเป็นคนขี้เหงาหรือขี้หงอยของผู้เขียน ไม่ได้เป็นไปแบบในเพลงซักเท่าไร แต่เป็นเรื่องของคนที่มีความเห็นต่าง สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนชอบฝรั่งคือ มีเสรีมากพอที่แตกต่างทางความคิดในระดับหนึ่ง เพราะความเป็นปัจเจก แต่แต่ละคนก็ไม่มีเวลาให้ใครมากนัก การอยู่อย่างคนเดียวลำพังจึงไม่ใช่เรื่องแปลกนัก ส่วนแบบไทยนั้นก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง การบอกว่าตนเองแตกต่าง ยิ่งถ้าเป็นอะไรที่ในค่านิยมคนไทยนั้นรับไม่ได้ เช่น เรื่องการเมือง ตอนนี้เรื่องการขับไล่นายกฯ เป็นหัวข้อร้อน ถ้าไปพูดว่าไม่เห็นด้วยว่านายกฯควรลาออก อาจโดนกลุ่มที่กำลังตะโกนไล่นายกฯ หันมากระทืบถึงตายได้  อันนี้ไม่รวมที่รุมกระทืบคนทุบรูปพระพรหมจนตายคามือและเท้าตามข่าว


 


 




แต่ทุกสังคมก็มีเสน่ห์และความน่าเกลียด ปัจเจกบุคคลก็เช่นกัน ซึ่งที่สำคัญคือการมองอะไรอย่างยุติธรรมที่จะเข้าใจว่าไม่มีอะไรดีหมดหรือเสียหมด เพียงแต่ว่าถ้าจะเสียนี่ เรามีกำลังหรือทรัพยากรมากพอที่จะเสียรึไม่ ไม่ว่าเวลา กำลังใจ กำลังกาย หรือ กำลังเงิน ซึ่งการประเมินแบบนี้ก็ไม่มีอะไรที่เป็น "ภาวะวิสัย" และต่างกันไปตามเงื่อนไขของปัจเจกบุคคลหรือสังคมนั้นๆ


 



สังคมไทยนั้นเป็นสังคมที่น่ารัก ไม่แพ้สังคมอื่น ข้อดีก็มีมาก ข้อเสียก็มีเยอะ สังคมอเมริกันก็เช่นกัน การเป็น "คนขี้เหงา" ของบางคนน่ามาจากเรื่องของความต่างทางความคิด บางคนอาจมาจากปัญหาอื่นๆ เช่น ขี้อาย อายุมาก หรือไม่มีทรัพยากรมากพอที่จะทำให้คนอยากเข้ามารู้จัก แต่ทั้งนี้ก็ไม่ใช่ความผิดของเขาที่แตกต่าง สังคมที่ดีต้องเป็นสังคมที่ยอมรับความหลากหลายของคน แต่ไม่ยอมรับและทนกับความรุนแรง ความกักขฬะ ความทุจริต และความไร้ซึ่งจริยธรรม


 


 




ผู้เขียนจะยอมทนที่จะเหงาแบบผู้เขียน แต่พยายามที่จะทำให้ตนเองเข้าใจคนอื่น พยายามลดความไม่เข้าใจ ความรุนแรง และพยายามให้เกิดความอดทนในความแตกต่างในสังคมให้ได้ สิ่งนี้เป็นเรื่องที่ทุกคนในสังคมไม่ว่าที่ในไทยหรือที่ไหนๆในโลกต้องทำ ยิ่งในช่วงที่มีการประจันหน้า มีความขัดแย้งที่เข้มข้น การเปิดใจของทุกฝ่ายที่ขัดแย้งยิ่งต้องมีสูงมาก อันนี้ไม่ว่าใครก็ตามต้องอย่าตกเป็นเครื่องมือของใครได้ง่าย     


   



คืนนี้ ผู้เขียนจะฟังเพลงนี้ของนีโน่ อีกสองสามรอบ จะนึกถึงตอนเด็กๆ ที่โลดแล่นไปในสังคมแบบเขลาๆ และไม่ได้คิดอะไรเกินกว่าสนุกๆ ไปวันๆ  แล้วก็จะได้พิจารณาความเปลี่ยนแปลงของตนเอง จากนั้นก็จะมีความสุขแบบเหงาๆ แบบ "หงอยๆ" ตรงนี้ เพราะความแตกต่างมันไม่น่าจะทำร้ายคนที่รู้เท่าทัน แต่คนด้วยกันเองต่างหากที่ไม่เท่าทันก็จะหันมาทำร้ายกันเอง