Skip to main content

ประดุจดอนกิโฆเต้

คอลัมน์/ชุมชน








แม่


 


แววตะวันวาดฟ้า


หยาดน้ำตาใครคนหนึ่ง


ความสับสนในห้วงคำนึง


คือภาพฝันตราตรึงจากเมื่อวาน


………………….


รู้…เธอทุกข์ระทม


ฝันแล้งลมล้วนเลยผ่าน


ทรงจำและตำนาน


ชีวิตคือความยากไร้


 


ก่อนนั้นเราฝันว่า


ตะวันลาเพื่อมาใหม่


รอยยิ้ม น้ำตาใด


ล้วนเปลี่ยนไปตามช่วงกาล


 


หากวันแล้ววันเล่า


เรื่องเก่าเก่ายังเล่าขาน


นักฝันแดนกันดาร


ถูกประหารเสมอมา


 


ประหารด้วยฝันสวย


อีกคมดาบปรารถนา


ผู้มีทรัพย์ วิชา


อำนาจเขาเราหรือทัน


 


น้ำตาแม่วันก่อน


จึงรุ่มร้อนในใจฉัน


เพราะเรา…รู้เท่ากัน


ฝันเพื่อพ่าย ฝันเพื่อพ่าย


……………


แววตะวันลับฟ้า


กรุ่นหอมดอกเก็ดถะหวาแล้วจางหาย


หากคืนนี้ฟ้าพราวด้วยดาวพราย


แม่จงรู้คือความหมายรักฝากมา.


 


 (วัยฝัน 2529)


 


 


 


ในปี 2529 แม่มีอายุ 41 ปี ภาพที่เราเห็นจนชินตาคือหญิงผู้หนึ่ง บอบบางแต่แข็งแกร่ง ผิวสีน้ำตาลคล้ำไหม้ขึ้นทุกวันด้วยแดดเผา


 


แม่มีเสียงหัวเราะ มีรอยยิ้ม มีความเบิกบานในทุกๆ วัน เฝ้าดูแลถนอมดอกไม้ในกระถางสัปปะรังเคสารพัดชนิด แม่นิยมนำข้าวของเครื่องใช้เก่าๆ มาดัดแปลงใช้ประโยชน์ ทำนั่นทำนี่ ทำนี่ทำนั่น มีกระทั่งแจกันดอกไม้จากขวดน้ำเกลือเก่าที่แม่อุตส่าห์ไปขอจากโรงพยาบาล


 


ยังจำได้ แม่ใช้มีดคมกริบกรีดสายน้ำเกลือเป็นเส้นๆ แล้วตวัดพันคล่องแคล่ว ไม่นานนักก็สานออกมาเป็นปลาสีขาวตัวอ้วน มีหางยาวรุงรัง เราพากันยิ้มร่าตาใสเมื่อแม่แขวนปลาเหล่านั้นไว้ใต้ถุนบ้าน  ปลูกแพรเซี่ยงไฮ้ดอกโต เวลาเดินผ่านเราชอบกระตุกหางปลา แล้วมันก็จะเอียงดุ๊กดิ๊ก น่ารักน่าเอ็นดู


 


แม่ยังทำที่รองแก้วจากผักตบชวา (บางทีก็เอายอดอ่อนมาลองทำแกงส้ม) ทำรองเท้าใส่ในบ้านด้วยกระดาษลังหุ้มผ้า เย็บเศษผ้าต่อกันเป็นผ้าห่มผืนโต ทำเสื่อ ทำหมอน ทำแม้แต่ขี้ผึ้งสำหรับถูบ้าน ไม่รวมการถนอมอาหารสาระพัน ฉันเองยังเคยแปลกใจเมื่อกลับบ้านมาในเย็นวันหนึ่งพบว่าแม่อวด "ขมิ้นผง, ข่าผง, ขิงผง ฯลฯ" บรรจุขวดเสียสวยงาม


 


พ่อบอกว่า แม่เป็นคนชอบการเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด แม่สนุกกับการดัดแปลงของไร้ประโยชน์ให้เป็นประโยชน์ กระตือรือร้นอ่านหนังสือประเภท "แม่บ้านทันสมัย" พอๆ กับเรื่องผีและหนังสืออาชญากรรม


 


เรื่องแปลกที่สุดของแม่ คงเป็นหนังสืออาชญากรรมนี้เอง แม่เอามาจากไหนไม่ทราบเป็นตั้งๆ บางคืนฉันลองหยิบกลับมาดูในห้องส่วนตัว 2- 3 เล่ม แค่พลิกดูคร่าวๆ กลัวแทบตาย มีแต่เลือด ศพ และความรุนแรงที่มนุษย์กระทำต่อกัน


 


แต่พ่อนั่นเองที่ไขปริศนาข้อนี้ (โดยที่ไม่เคยแม้จะเหลือบมองหนังสือน่ากลัวเหล่านั้น) พ่อบอกว่า ความเป็นกับความตายอยู่ใกล้กันนิดเดียว บางทีมันอยู่ด้วยกันเสมอมา เมื่อเห็นการตายเราจะมีกำลังใจในการอยู่


 


ในวัยนั้นฉันไม่เข้าใจแม่อย่างแน่นอน รู้เพียงว่า วันที่มีการฆ่าล้างครัวในบ้านหลังหนึ่ง ทันทีที่ชายซึ่งฟันภรรยาจมกองเลือด ตัดแขนตัดขาเป็นชิ้นๆ แบกมีดฟันหญ้าผ่านหน้าบ้านเราไป แม่ขมีขมันลุกขึ้นจะไปดูบ้านศพ


 


ตอนนั้นน้องยังเล็กมาก และหวาดกลัวจับใจ ร้องไห้ตั้งแต่อยู่โรงเรียนกลัวแม่ไม่อยู่บ้าน แล้วแม่ก็ไม่อยู่บ้านจริงๆ  แม่ไปที่บ้านซึ่งเกิดเหตุฆาตกรรม ไปช่วยทำความสะอาด ปาดเลือดที่ไหลนองเรือนลงตามร่องไม้ เช็ดถูสะอาดเอี่ยม  แม่พูดแต่เพียงว่า  "เป็นเพื่อนกันมา รู้จักกันมานาน สงสารลูกมัน พ่อฆ่าแม่แบบนี้ อนาคตจะเป็นอย่างไร"


 


มีหลายครั้ง ฉันเคยนั่งดูแม่ด้วยความพิศวง ฉันเคยถามว่า พ่อกับแม่พบกันและรักกันได้อย่างไร ทั้งคู่กลับมีคำตอบคนละทาง


 


พ่อบอกว่า รักแม่มานาน และรักในความเป็นคนเข้มแข็ง กล้าสู้ กล้าได้กล้าเสีย แต่มีจิตใจอ่อนโยน รักเด็ก รักสัตว์ ไม่นิ่งดูดายกับปัญหาของคนอื่น


 


ขณะที่แม่บอกแต่เพียงว่า พ่อเป็นคนตลกดี นิสัยไม่ดีมีมาก แต่อยู่ไปเพื่อลูก


 


ฉันกับน้องในวัยนั้นไม่เข้าใจในสิ่งที่แม่สื่อสารเท่าใดนัก แต่เราก็แปลกใจที่แม่ให้เราทั้งคู่ใช้นามสกุลของแม่เท่านั้น ไม่อนุญาตให้ใช้นามสกุลพ่อตราบจนโต แม่ยังจำใจไปจดทะเบียนสมรสเมื่อทางการบอกว่าจะได้ใช้สิทธิ์ (อะไรไม่ทราบ) เพื่อลูก แต่ไม่ทราบเหมือนกันว่าแม่ทำได้อย่างไร ใบทะเบียนสมรสของแม่จึงออกมาคนละนามสกุลกับพ่อ


 


แต่ในเวลาเดียวกัน เราเคยตื่นกลางดึกแล้วได้ยินแม่พูดกับพ่อเบาๆ ว่า  "ฉันไม่พอใจ ฉันอยากจะคุยเรื่องนี้กับพี่ แต่ต้องคุยกันเบาๆ เดี๋ยวลูกจะได้ยิน"


 


ฉันนอนลืมตาโพลงในความมืด แว่วยินการทะเลาะถกเถียงที่คงเงียบที่สุดในโลก ทั้งสองโต้แย้งและชี้แจงต่อกันในเรื่องอะไรไม่ทราบ แต่ครั้นรุ่งเช้า พ่อก็เอาข้าวเหนียวปั้นจิ้มแก้มแม่ ทำหน้าเป็น และแม่ก็ยิ้มขำ ทำกับข้าวตามปกติ


 


มีหลายสิ่งหลายอย่างเหลือเกิน ที่ฉันคิดว่าไม่เข้าใจในตัวพ่อและแม่ อีกทำให้ไม่อาจเข้าใจตัวเอง ฉันเป็นเด็กที่รำคาญการพยายามเจาะรูบนสังกะสี เพื่อจะทำที่คลึงแป้งขนมลอดช่อง (แม่ทำเองอีกตามเคย) การทำถังปั่นไอติมจากกระป๋องนมเก่า แม้แต่การที่แม่ไปสั่งทำโม่ซีเมนต์ สำหรับปั่นถั่วเหลือง ทำน้ำเต้าหู้หม้อโตในทุกๆ วัน ไม่นับการแปรรูปอาหารประเภท มะม่วงแผ่น มะม่วงกวน มะขามดอง ข้าวเกรียบฟักทอง ฯลฯ


 


มีแต่หมูหยองกับซอสมะเขือเทศเท่านั้น ที่แม่ทำแล้วฉันพึงพอใจ แต่ก็กินแค่นิดหน่อย อะไรไม่ชอบก็ไม่กิน พ่อพูดว่า แม่ทำให้ฉันเสียนิสัย สอนลูกให้เป็นตัวของตัวเอง (!) ขณะที่แม่ก็ว่าพ่อนั่นแหละ อะไรๆ ก็อ่อนแอ แค่ฟ้าแลบฟ้าร้องก็หน้าถอดสี


 


แล้วฉันจึงออกมาเป็นคนที่กลัวฟ้ากลัวฝน กลัวผี แต่ไม่กลัวคน ชอบการอ่านหนังสือ ชอบประดิษฐ์สิ่งของ แต่เกลียดการกินอาหารแปรรูปมาก ทั้งปีนต้นไม้ไม่ได้ ด่าใครไม่เป็น พูดเสียงเบามาก และเรื่องมากกับชีวิตความเป็นอยู่


 


บ้านเรามีความขัดแย้งมากเหลือเกิน ฉันคิดอย่างนั้นเสมอมา พ่อติดข้าวเหนียว ชอบอาหารพื้นเมือง กินข้าวสวยไม่อิ่ม ขณะที่แม่ก็ยืนยันว่าบ้านเราจะต้องมีข้าว 2 ชนิด เพราะแม่ชอบกินข้าวจ้าว  ถึงตอนเคยเช่าที่ทำนา แม่ก็ยังมุ่งมั่นขอปลูกข้าวจ้าวบางส่วน อาหารที่แม่โปรดต้องมีกะทิ มีการผัดน้ำมัน มีขนมตบท้าย การกินอยู่ของพ่อกับแม่สร้างความวุ่นวายให้พวกเรามาก น้องปรับตัวได้ดีกว่าพี่ เพราะเธอสามารถกินได้แทบทุกอย่าง ขณะที่ฉันพาลเกลียดการกินทุกข้าว!


 


มีเรื่องแปลกอีกอย่างหนึ่งเกี่ยวกับการกิน สมัยนั้น ในหมู่บ้านอันห่างไกล การกินสิงสาราสัตว์เป็นเรื่องปกติ เช่น งู เป็นต้น


 


พ่อชอบกินงู (งูสิง) แต่กลัวงูมาก ขณะที่แม่ไม่กินสัตว์แปลกๆ แม้แต่อย่างเดียว แต่ไม่เคยกลัวสัตว์ชนิดใดทั้งสิ้น บ่ายวันหนึ่ง ขณะเดินบนถนนที่แดดร้อนเปรี้ยงๆ กับแม่ ฉันจึงตะลึงตาค้าง เมื่อจู่ๆ แม่ก็ร้องออกมาว่า "งูสิง!"


 


แล้วด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อ แม่ตวัดมือคว้าหางงูฟาดฉับเข้ากับต้นไม้ ไม่กี่ที งูที่น่าสงสารก็หมดฤทธิ์ แล้วแม่ก็นำงูที่ยังตัวอ่อนปวกเปียกนั้นขึ้นคล้องคอ ฉันมองแม่อย่างหวาดๆ แต่แม่ไม่รู้ไม่ชี้ จูงมือฉันเดินต่อไปด้วยใบหน้ายิ้มพราย


 


พ่อดีใจมากเมื่อแม่โยนงูให้ "ทำอะไรตามใจพี่ แต่บอกก่อนฉันไม่กิน" แล้วฉันก็ได้เห็นกรรมวิธีรับประทานงู ซึ่งพ่อทำอย่างประณีตบรรจง คงเป็นอาหารรสวิเศษ เพราะมีการตักแบ่งเพื่อนบ้าน ดีใจกันถ้วนหน้า


 


แม่ยังเคยกลับบ้านมาหลังจากเข้าป่าไปคนเดียว "ฉันเห็นหมีด้วยล่ะ วันนี้ น่ารักมากๆ แอบดูมันอยู่ตั้งนาน" หรือ "คิดถึงสมัยก่อนนะ ตอนที่บ้านเรายังมีช้าง พ่อน่ะขี้ขลาดรู้ไหม จะมาแอ่วสาว ไปยืนซุ่มข้างรั้ว ช้างหายใจใส่ทีเดียวเผ่นแทบไม่ทัน"


 


เรื่องนี้ล้อเลียนกันมาแสนนาน ว่ากันว่า พ่อดีใจมากที่ตระกูลของเราขายช้างไปจนหมดสิ้น แถมด้วยที่ไร่ที่นา เพราะพ่อเป็นคนชอบความศิวิไลซ์!


 


ฉันมักจะคิดถึงแม่เสมอ เวลาเดินทางห่างบ้าน คิดถึงพฤติกรรมแปลกๆ ทั้งของพ่อและแม่ คิดถึงความรักอันซับซ้อนซ่อนเงื่อน แต่ไม่มีเงื่อนไขใดๆ สำหรับลูกทุกคน พ่อแม่รักเรา และทำให้พวกเขารักกัน ฉันยังจำได้ดีที่แม่สอนว่า  "อยู่ด้วยกันให้รักกัน ความรักเป็นคาถาที่ดีที่สุด" (แม่เหน็บแนมพ่อนิดๆ เพราะพ่อเป็น "ปู่จารย์" ของหมู่บ้าน)


 


ฉันเขียนบทกวีเกี่ยวกับแม่หลายบท แต่ชิ้นนี้เป็นบทแรกที่ตีพิมพ์ลงหนังสือ แม่ดีใจมาก แต่ติงว่า "เขียนเศร้าไป ดูชีวิตไร้ความหวัง" ฉันได้แต่ยิ้ม แล้วตั้งใจกินอาหารที่แม่พยายามทำให้ชิม (แปลกตามเคย)


 


หลังแม่จากเราไปหลายปี เมื่อกลับบ้าน ได้เห็นเศษซากข้าวของที่แม่เคยประดิดประดอย ปลาจากขวดน้ำเกลืออันขะมุกขะมอมเปื้อนฝุ่น กลีบหางฉีกขาดล้มคว่ำจมดิน โม่ถั่วเก่าแก่มีรอยแตกกะเทาะ ทิ้งขว้างอย่างไร้ค่า สังกะสีบิ่นๆ ที่แม่พยายามเอามาทำสิ่งต่างๆ มากมาย แม้แต่ที่ครอบเทียนบิดเบี้ยว หรือผ้าห่มเย็บมือเดินด้ายโย้เย้ สลับเฉดสีลายพร้อย


 


ฉันเฝ้ามองสิ่งเหล่านั้นทั้งน้ำตา กระปุกเล็กกระปุกน้อยที่ใส่ผลิตภัณฑ์อาหารของแม่ ถ้วยโถโอชาม กระทั่งตุ๊กตายัดนุ่นที่แม่ทำให้ (เลียนแบบบาร์บี้) วิทยุเอเอ็มไร้ถ่าน กระติกน้ำร้อนลายดอกโบตั๋น และหนังสือเล่มโปรดของแม่


 


ฉันเก็บ ‘หลายชีวิต’ ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช และ ‘ตลิ่งสูงซุงหนัก’ ของนิคม รายยวา ด้วยความหวงแหนสุดใจ โดยเฉพาะเล่มหลังนี้ แม่รักมาก อ่านซ้ำหลายครั้ง ขณะที่ ‘มาจากป่าชายเลน’ ของเสกสรรค์ ประเสริฐกุลนั้น แม่เคยบอกแต่ว่า "สนุกดี" (แต่ฉันกลับประทับใจมาก)


 


กลับบ้านในวันไม่มีแม่อีกต่อไป ฉันหวนระลึกถึงสิ่งต่างๆ และคำพูดของพ่อ


"ความเป็นกับความตายอยู่ใกล้กันนิดเดียว บางทีมันอยู่ด้วยกันเสมอมา เมื่อเห็นการตายเราจะมีกำลังใจในการอยู่"


 


และคิดถึงบทกวีที่เขียนตอนอายุ 16 ปี ที่ฉันแอบเห็นแม่มีน้ำตา (ต่อหน้าไม่พูดอะไรเลย) วันที่ฉันบอกว่า "ไปก่อนนะ" หมายถึงออกจากบ้านไปทำงานที่อื่น


 


ฉันเพิ่งมาตระหนักว่า บทกวีแก่แดดเหล่านั้น ยังเป็นจริงและมีอยู่จริงต่างหาก ตราบใดที่สังคมยังประกอบไปด้วยความแตกต่างอย่างสุดขั้ว ยังเห็นภาพแม่ที่พยายามดิ้นรน กระเสือกกระสน มีชีวิตรอดให้ได้ในความลำบากยากจน หาความงามจากสิ่งที่พอมีอยู่ เท่าที่ทำได้ ไม่เคยงอมืองอเท้า พยายามสุดชีวิตจะพาเรือโทรมๆ ท่องไป


 


น่าเศร้ายิ่งนัก วันที่กลับไปยืนริมฝั่งคลอง ดูสายน้ำไหล เห็นอดีตสวนมะลิ สวนกุหลาบ แปลงแกลดิโอลัส ซัลเวีย ฮอลลี่ฮ็อค รักเร่ เก็ดถะหวา เข็มขาว หรือกระถางไฮเดรนเยียสุดโปรดของแม่ เห็นความรุ่งเรืองกับล่มสลาย ชีวิตและการจากลา ความหนักหน่วงเหลือทนของชีวิต


 


ชีวิตช่างสุดประมาณการมิได้ ในที่สุดแม่ก็ตายไปพร้อมกับความฝันอีกร้อยพันซึ่งไม่เคยเป็นจริง พ่อกับฉันต่างหากยังมีชีวิตอยู่ เพราะเราปรับตัวไปตามสังคมที่เปลี่ยนแปลงทุกขณะจิต


 


ฉันคิดถึงแม่ และคิดถึงพ่อด้วย คิดถึงว่าเราสองคนพี่น้องดำเนินชีวิตมาไม่ไกลจากพ่อกับแม่เลย เรายังรักการอ่าน กลัวผี ไม่กลัวคน ชอบปลูกต้นไม้ ชอบทำอาหาร แต่แม้จะมีความฝันอีกมากมายเพียงใด เรายังมีหัวใจเล็กกว่าแม่นัก


 


เพราะบางอย่าง เมื่อรู้ว่าทำไปไม่ได้ผล เราก็จะเลิกทำ ขณะที่แม่ไม่เคยเป็นเช่นนั้น แม่ฝัน ในสิ่งสุดเกินฝัน ประดุจดอนกีโฆเต้ รู้ว่าแพ้แต่ก็ยังทำ คนเห็นเป็นเรื่องน่าเวทนายังมุ่งไป


 


คล้ายๆ กับใครอีกบางคน ที่ถูกโยนระเบิด ถูกข่มขู่มากมาย ยังมุ่งหน้าพายเรือล่องแม่ปิง  (จะรักษาน้ำแม่ปิง) เห็นก็เห็น พายุมาฟ้ามืดแล้ว


 


(ขณะที่คนอีกมากมาย ดีหรือร้าย ไว้รอดูในทีวี).


 0 0 0


 


 


 


 


 


 


 


 


 


 


 


 


   


 


http://www.prachatai.com/05web/upload/Village/library/2006Q1/20060329-2…" widt