Skip to main content

ฆาตกรรมพระสุพจน์ สุวโจ : ฆ่าทำไม? ฆ่าเพื่ออะไร?

คอลัมน์/ชุมชน


 


สภาพศพพระสุพจน์ สุวโจ (ด้วงประเสริฐ) อายุ ๓๙ ปี(พรรษา ๑๓) ซึ่งพบในที่เกิดเหตุเมื่อเวลาผ่านมาแล้วหลายชั่วโมง ริมทางเดินเล็ก ๆ ใกล้กอไผ่ ในสถานปฏิบัติธรรม " สวนเมตตาธรรม " บ้านห้วยงูใน ตำบลสันทราย อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ นั้น น่าจะสร้างความตระหนกตกใจชนิดอกสั่นขวัญแขวนให้กับผู้พบเห็นอย่างทั่วหน้า ไม่ว่าคนๆ นั้นจะเป็นใคร และนับถือศาสนาใดหรือไม่ก็ตาม


เพราะแผลบาดลึกเหวอะหวะบริเวณอุ้งมือซ้าย, แขน, ไหล่ และที่ปรากฏอยู่บนใบหน้า บริเวณคิ้วซ้าย ดวงตา และแก้ม ตลอดจนที่ลำคอและศีรษะ(เหนือใบหูซ้าย) ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับพระภิกษุหรือกับใคร ก็ถือได้ว่าผู้กระทำ หรือผู้ฆ่า น่าจะมีความโหดเหี้ยมอย่างผิดมนุษย์


ที่ว่ามานี้ยังไม่นับบาดแผลฉกรรจ์ที่สุดอยู่ที่บริเวณลำคอด้านซ้ายทั้ง ๓ แผล ซึ่งนายแพทย์เวรประจำโรงพยาบาลอำเภอฝาง ผู้ชันสูตรศพในที่เกิดเหตุ แจ้งว่าถูกของมีคมฟันเฉือนอย่างรุนแรง บาดลึก กระทั่งตัดเส้นเลือดใหญ่ขาดสะบั้น ตรงกันกับความเห็นของเจ้าหน้าที่ชันสูตรของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ที่กล่าวว่า


" เพียงแผลเดียวก็ทำให้สิ้นชีวิตได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องทำร้ายท่านถึง ๓ แผล หรือต้องทำให้มีบาดแผลในที่อื่นๆ อีกเลย... "


น่าแปลกที่ความรู้สึกดังกล่าวนี้ มิได้เกิดขึ้นกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งที่ สภ.อ.ฝาง ที่จังหวัดเชียงใหม่ ที่กองบัญชาการฯ ภาค ๕ หรือกระทั่งหน่วยงานในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติอื่นๆ ซึ่งมีระดับความรับผิดชอบสูงขึ้นไป


ทั้งนี้ เพราะนับแต่แรกพบศพ กระทั่งการชันสูตรเบื้องต้นเสร็จสิ้น ดูเหมือนกับว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้รับผิดชอบมี " สูตรสำเร็จ " หรือได้ " ตั้งธงคำตอบ " ไว้เรียบร้อยแล้ว


และอาจเพราะเหตุที่ว่ามาแล้วนี้เอง ที่ทำให้เรื่องราวต่อๆ มาในเวลากว่าสิบวัน เบี่ยงประเด็นออกไปจากที่ควรจะเป็น จนในที่สุด แม้แต่ " มือสืบสวนสอบสวน " ระดับประเทศ ที่มารับผิดชอบคดีนี้ภายหลัง ต้องออกมายอมรับความผิดพลาดต่อสาธารณะ และขอเวลาเพิ่มเติมในการคลี่คลายคดี เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน นี้เอง


 



 


หลังการพบศพเพียง ๙ ชั่วโมง เมื่อผู้เขียนและบิดา-มารดา รวมทั้งน้องชายของผู้ตาย ตลอดจนคณะกรรมการและเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ องค์กรต้นสังกัดของผู้ตายและสถานปฏิบัติธรรมที่เกิดเหตุ ได้เดินทางจากกรุงเทพฯ ไปถึงสถานีตำรวจภูธรอำเภอฝาง เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้รับผิดชอบในคดีนี้ ยังยืนยันอย่างหนักแน่น ว่า " สาเหตุการตาย " เกิดจากพระสุพจน์ สุวโจ (ด้วงประเสริฐ) เข้าไปห้ามปรามหรือเข้าไปต่อว่าผู้ลักลอบตัดไม้ไผ่ในเขตสถานปฏิบัติธรรม " สวนเมตาธรรม " กระทั่งคนตัดไม้เกิดบันดาลโทสะ หันมาทำร้ายพระสุพจน์จนถึงแก่มรณภาพ ทั้งยังเล่าอีกว่า ในที่เกิดเหตุพบร่องรอยการตัดฟันต้นไผ่ ๒ ต้น พบลำไผ่ที่ตัดแล้ว ๑ ต้น สูญหายไป ๑ ต้น โดยจุดเกิดเหตุห่างจากกุฏิที่พักของพระสุพจน์ประมาณ ๓๐๐ เมตรเศษ


เมื่อผู้เขียน (ซึ่งเป็นหนึ่งในพระภิกษุผู้ศึกษาและปฏิบัติธรรมอยู่ในสถานปฏิบัติธรรมแห่งนั้นมากว่า ๗ ปี) กล่าวโยงถึงความขัดแย้งเกี่ยวกับที่ดินของสถานปฏิบัติธรรม ซึ่งมีอยู่กว่า ๗๐๐ ไร่ และเป็นที่หมายตาของผู้มีอิทธิพลทั้งในและนอกเขตอำเภอฝางมาไม่น้อยกว่า ๓ ปี ทั้งยังมีการทำร้ายโยมอุปัฏฐากกับคนงาน ตลอดจนมีการคุกคามข่มขู่ผู้เขียนและผู้ตายมาแล้วหลายครั้ง ไม่นับรวมการลอบเผาป่า และการลักทรัพย์ ตลอดจนการยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อข่มขู่ ที่กระทำมาอย่างต่อเนื่อง และนับวันจะรุนแรงยิ่งขึ้น แทนที่สารวัตรสืบสวนคดีนี้จะรับฟัง กลับโต้แย้งว่าหากคนร้ายตั้งใจจะมาฆ่าพระจริง ไปฆ่าหรือไปยิงเสียที่กุฏิมิง่ายกว่าหรือ มิหนำซ้ำ ยังกล่าวย้ำต่อหน้าสื่อมวลชนว่า " ไม่มีอะไรหรอก พระท่านหวงไม้ พอมีคนมาตัดก็ไปด่าว่าเขา ชาวบ้านเลยบันดาลโทสะ ฟันเสียจนตาย... "


ท่าทีของนายตำรวจยศพันตำรวจโทผู้นี้เป็นสาเหตุให้ผู้เขียนต้องถามเขาไปโดยเร็วว่า เพียงระยะเวลาผ่านมาไม่กี่ชั่วโมงเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถสรุปคดีได้อย่างชัดเจนเช่นนี้แล้วหรือ มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยได้แล้วหรือไม่ มีการสืบพยานไปแล้วกี่ปาก มีการสอบสวนหรือสอบปากคำผู้เกี่ยวข้องไปบ้างแล้วหรือยัง วัตถุพยานจากที่เกิดเหตุได้มีการพิสูจน์ในทางนิติวิทยาศาสตร์ หรือทางนิติเวชไปบ้างแล้วหรือไม่ ได้ผลออกมาอย่างไร ทำให้เขานิ่งอึ้งไป และลดท่าที ตลอดจนน้ำเสียงแสดงอำนาจบาตรใหญ่ไปได้บ้าง


เมื่อผู้เขียนได้สอบถามต่อไปว่า ...เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่คิดจะสอบถามจากญาติหรือผู้เกี่ยวข้องบ้างดอกหรือ ว่า พระสุพจน์ สุวโจ เป็นใคร มีจริตนิสัยอย่างไร ผ่านการศึกษามาในระดับใด บรรพชาอุปสมบทโดยอุปัชฌาย์ใด เคยศึกษาและปฏิบัติธรรมมากับครูบาอาจารย์ท่านใดบ้าง?... ดูเหมือนว่าคำถามเหล่านี้จะสะกิดใจ ทำให้สารวัตรสืบสวนท่านนี้ได้สติขึ้นบ้าง แต่กระนั้นก็อาจจะยังไม่เพียงพอนัก เพราะว่าหลังจากนั้นมาอีกหลายวัน ไม่ว่าจะเป็นสถานีตำรวจภูธรอำเภอฝาง กองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค ๕ ตลอดจนกรมสืบสวนคดีพิเศษ กระทรวงยุติธรรม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเอง ก็ยังพยายามยืนยันกับสื่อมวลชนและผู้สนใจฝ่ายต่างๆ อยู่เพียงประเด็นเดียว ว่า.. คดีนี้เกิดจากการทะเลาะวิวาทและบันดาลโทสะเพราะพระไปห้ามชาวบ้านไม่ให้ตัดไม้ไผ่ในเขตวัดเป็นหลัก


และแม้ว่าเวลาจะผ่านมา (ถึงขณะที่เขียนบทความนี้) ประมาณ ๑๒ วันแล้วก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกฝ่าย ก็ยังไม่มีใครเชิญญาติของพระสุพจน์ (ผู้ตาย) และ/หรือพระภิกษุผู้อยู่ร่วมสำนักกับพระสุพจน์ ไปให้ถ้อยคำ หรือสอบถามรายละเอียดอันน่าจะเกี่ยวข้องกับคดีแต่ประการใดเลย มีเพียงบางหน่วยงานของกระทรวงยุติธรรมเท่านั้น ที่คณะญาติต้องดั้นด้นไปยื่นเรื่องราวร้องทุกข์ เช่นเดียวกับคณะกรรมาธิการบางคณะในรัฐสภา ที่ญาติได้ติดต่อเพื่อไปยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรม ทั้งต่อการดำเนินคดี และต่อการมรณภาพของพระสุพจน์ สุวโจ (ด้วงประเสริฐ)


ทั้งนี้ มิพักจะต้องกล่าวถึงความช่วยเหลือหรือการให้กำลังใจ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานของรัฐ หรือหน่วยงานใดในสังกัดคณะสงฆ์ ที่นอกจากที่ผ่านมาจะมิเคยได้สนับสนุนกิจกรรมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระสุพจน์ อาทิ การจัดทำและพิมพ์หนังสือธรรมะกว่า ๑๐๐ เล่ม การจัดทำเว็บไซต์ธรรมะ เช่น เว็บไซต์พุทธทาสศึกษา ( www.buddhadasa.org ) เว็บไซต์สมาคมคนน่ารัก ( www.khonnaruk.com ) เว็บไซต์กลุ่มเสขิยธรรม ( www.skyd.org ) หรือเว็บไซต์รณรงค์เพื่อให้วัดและพระปลอดบุหรี่ ( www.nosmoke.in.th ) หรือกิจกรรมอื่น ๆ เช่น การจัดอบรมธรรมะแบบมีส่วนร่วม หรือการจัดเสวนาอภิปรายเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้ธรรมะกับชีวิตและสังคม แล้ว มิหนำซ้ำ บางคราวยังมีความพยายามจะจับผิด หรือใส่ร้ายป้ายสีต่อสิ่งที่พระสุพจน์และเพื่อนกระทำ ในนาม " กลุ่มพุทธทาสศึกษา " และ " กลุ่มเสขิยธรรม " เอาเสียด้วย




การลอบสังหารพระสุพจน์ สุวโจ (ด้วงประเสริฐ) นั้น หากมิได้รับการเผยแพร่ข้อมูลจากสื่อมวลชน ว่าท่านจบการศึกษาจากคณะสัตวแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บรรพชาอุปสมบทกับพระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ แห่งวัดชลประทานรังสฤษฏ์) แลัวเดินทางไปศึกษาและปฏิบัติธรรมอยู่ในสวนโมกขพลาราม (วัดธารน้ำไหล) อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี กับพุทธทาสภิกขุ (พระธรรมโกศาจารย์) กระทั่งก่อนย้ายออกมา ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่แทนผู้ช่วยเจ้าอาวาสในสำนักปฏิบัติธรรมแห่งนั้น ตลอดจนเป็นผู้มีผลงานทั้งการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตอย่างกว้างขวางอย่างหาตัวจับยากแล้ว การมรณภาพของท่านผู้นี้จะได้รับความสนใจ หรือเหลียวแลจากใครบ้างหรือไม่ ก็มิอาจทราบได้


ใช่หรือไม่ว่า นี่คือปรากฏการณ์ที่น่าวิตกกังวลยิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ในแวดวงพระพุทธศาสนา หรือในบรรดาผู้เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ คณะสงฆ์ และสังคมพุทธบริษัทโดยทั่วไป


ใช่หรือไม่ว่า ในขณะที่เรากำลังเรียกร้องให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาแห่งโลก กำลังเรียกร้องให้ชาวพุทธทั่วโลกมาร่วมกิจกรรมทางพุทธศาสนา เช่น วันวิสาขบูชา เช่นเดียวกับบรรดาเพื่อนมุสลิมเดินทางไปนครเมกกะนั้น เรากลับปล่อยปละละเลย ให้พระหนุ่มเณรน้อย หรือกระทั่งแม่ชี ทำหน้าที่เผยแผ่ธรรมะของท่านไปอย่างโดดเดี่ยว และปราศจากการไยดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากท่านเหล่านั้นมิได้มียศถาบรรดาศักดิ์ สังกัดวัดหรือสำนักที่มีชื่อเสียง ที่มีศิษยานุศิษย์เป็นผู้มีชื่อเสียงในวงสังคม


ใช่หรือไม่ว่า เราทั้งหลาย ได้พากันทอดทิ้งให้บรรดาศาสนบุคคลผู้สนใจในการประยุกต์ใช้ธรรมะ ประยุกต์ใช้ข้อธรรมในทางพระศาสนา กับการแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าที่กำลังทำงานอยู่ในเมือง ในป่า หรือในชนบทหัวไร่ปลายนาทั่วประเทศ ต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงภัยที่อาจรุนแรงได้ในระดับ " ถึงแก่ชีวิต " อย่างชนิดโดดเดี่ยว และแทบจะเรียกได้ว่า " เพียงลำพัง "




 


สถานปฏิบัติธรรม " สวนเมตตาธรรม " นั้น ถูกคุกคามข่มขู่โดยประสงค์ต่อที่ดินอันมีเนื้อที่กว้างขวางและมีสภาพอุดมสมบูรณ์ ในลักษณะป่าต้นน้ำ มาอย่างต่อเนื่อง ไม่น้อยกว่า ๓ ปีแล้ว


โดยในระยะที่ผ่านมานั้น พระสุพจน์ สุวโจ และเพื่อนภิกษุ พยายามทุกวิถีทางที่จะรักษาที่ดินผืนนี้ไว้ให้ได้ พร้อม ๆ ไปกับการดูแลและรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของผู้เกี่ยวข้องในสถานที่แห่งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการยื่นเรื่องร้องเรียนเพื่อขอความเป็นธรรมจาก ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร การขอความเป็นจากผู้ว่าราชการจังหวัด การแจ้งความดำเนินคดีกับผู้บุกรุกรังแก ตลอดจนการขอกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจมารักษาความปลอดภัย (โดยต้องจ่ายค่าตอบแทนเป็นรายเดือนๆ ละ ๑,๕๐๐ บาท !! ) ก็ตาม


แต่สุดท้าย พระสุพจน์ สุวโจ ก็ยังต้องสูญเสียชีวิต โดยการเข่นฆ่าที่โหดเหี้ยมทารุณยิ่ง มิหนำซ้ำ ยังถูกหมิ่นแคลนต่อชีวิตในสมณเพศ ทั้งที่มิได้มีการสืบสวนสอบสวนใดๆ ว่า เป็นผู้ใช้ความรุนแรงทางวาจาจนเป็นเหตุให้ถูกสังหารจนถึงแก่มรณภาพ ทั้งยังมีความพยายามเบี่ยงเบนประเด็น ว่าเป็นพระที่มิได้ปฏิบัติกิจวัตรของสงฆ์อย่างที่เหมาะที่ควร เพียงเพื่อจะให้ง่ายในการปิดคดีของเจ้าหน้าที่บางคนบางกลุ่ม ซึ่งจะว่าไปแล้ว ก็น่าสงสัยนัก ว่าเหตุใดคนเหล่านั้นจึงพากันกระทำและให้ข่าวด้านลบต่อพระสุพจน์ ในด้านต่างๆ อย่างสอดคล้องกับนายทุนผู้มีอิทธิพล ยิ่งกว่าจะมุ่งอนุเคราะห์ความเป็นธรรม ให้กับพระภิกษุผู้ถูกทำร้ายจนตกตายไปในวัยอันมิสมควร


กล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว พระสุพจน์ สุวโจ จะมรณภาพไปโดยน้ำมือใคร จึงอาจจะมิได้เป็นปัญหาสำคัญ มากไปกว่าคำถามที่ว่าท่านผู้นี้ถูก " ฆ่าทำไม " และ " ฆ่าเพื่ออะไร " อันจะนำไปสู่การระวังป้องกัน และดูแล มิให้เกิดขึ้นอีก


ไม่ว่าจะ " กับใคร " หรือ " โดยใคร " ...


หมายเหตุ ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งกับผู้เขียนว่า ผู้ต้องสงสัยซึ่งตำรวจพบขวานและเสื้อผ้าเปื้อนเลือดตามสมมติฐานว่าชาวบ้านฆ่าพระเพราะบันดาลโทสะ ได้รับการพิสูจน์จากนิติเวชแล้ว ว่าเสื้อผ้าและขวานนั้นมิได้เปื้อนคราบโลหิตของพระสุพจน์ สุวโจ แต่อย่างใด